บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 เปลี่ยนจากผู้มาเยือนมาเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์

ในระหว่างที่รถยนต์กำลังเคลื่อนที่อยู่ในระหว่างที่รถยนต์กำลังเคลื่อนที่อยู่ ทหารรูปร่างใหญ่คนนั้นก็ไม่กล้ามองไปทางสวีเส้าถางอีกแม้แต่ครั้งเดียว ได้แต่ก้มหน้าอย่างหมดอาลัย สองชั่วโมงต่อมา รถทหารก็ขับเข้ามายังฐานทัพของเขตทหารตะวันออกเฉียงใต้

สวีเส้าถางถูกจับตัวมา แต่เขากลับไม่มีท่าทีว่าตนเองเป็นผู้ต้องหาเลย เขาเพียงแค่สำรวจไปรอบฐานทัพอย่างไม่ใส่ใจ นี่คงจะออกจากเมืองเทียนไห่แล้วสินะ ตอนนี้น่าจะอยู่ในเขตของภูเขาโจวซานแล้ว

นี่มันบ้าอะไรกัน? ทั้งที่ในฐานทัพมีเฮลิคอปเตอร์อยู่เต็มไปหมด แต่กลับใช้รถเก่าไม่กี่คันไปจับตัวเขา? นี่จะไม่ให้เกียรติกับเขาในฐานะผู้ต้องสงสัยเลยหรือไง?

“ขออนุญาตครับ!” พีร์หย่งชุนพาสวีเส้าถางมาถึงหน้าประตูห้องหนึ่ง

“เข้ามาได้!” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากข้างในห้อง

พีร์หย่งชุนเปิดประตู และยืดตัวตรงเดินเข้าไป ก่อนจะทำความเคารพคนข้างในแล้วพูดรายงาน “ผู้บัญชาการครับ ผมพีร์หย่งชุนสมาชิกทีมอินทรีได้รับคำสั่งให้นำตัวผู้ต้องสงสัยมาถึงแล้ว โปรดออกคำสั่งครับ!”

“ทิ้งผู้ต้องสงสัยไว้ที่นี่ นายออกไปพักได้!” ชายวัยกลางคนโบกมือสั่ง

“ครับผม!”

พอพีร์หย่งชุนเดินออกไป ในห้องทำงานที่กว้างใหญ่ก็เหลือเพียงชายวัยกลางคนและสวีเส้าถางเพียงสองคนเท่านั้น

สวีเส้าถางมองสำรวจชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว คิ้วหนาตาโต โครงหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีมุมชัดเจน ดวงตามีพลัง เขายืนมือไขว้หลังอยู่ตรงนั้น ทำให้รู้สึกถึงความน่าเกรงขามที่แพร่ออกมาโดยที่ไม่ต้องแสดงออก เขาสวมชุดทหารที่ตัดเย็บอย่างประณีต บนไหล่มีตราดาวสีทองสองดวง แสดงว่ามียศเป็นพลโท!

สวีเส้าถางมองเขา ขณะเดียวกันเขาก็มองกลับไป และเห็นได้ชัดว่า ในสายตาของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความไม่พอใจ และมีความโกรธที่แฝงกันอยู่ในนั้นด้วย

“คุณก็คือซ่งอานปังสินะ?” สวีเส้าถางนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเขาอย่างไม่หวาดหวั่น และไม่สนใจว่าชาในถ้วยชาบนโต๊ะจะถูกดื่มไปแล้วหรือไม่ เขายกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอย่างไม่ลังเล ไม่มีท่าทีว่าเป็นผู้ต้องหาเลยแม้แต่น้อย

ชุ่มคอมาก! ไอ้พวกทีมอินทรีนั่น ตลอดการเดินทางสองชั่วโมงไม่ให้เขาดื่มน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว คอแห้งจะตายอยู่แล้ว! ชาของเจ้าหน้าที่ชั้นสูงในกองทัพมันก็แตกต่างจริงๆ ถึงแม้ตอนดื่มจะไม่รู้สึกอะไรมาก แต่หลังจากดื่มแล้วกลับรู้สึกถึงรสชาติที่ติดอยู่ตรงริมฝีปาก”

ซ่งอานปังตกตะลึงไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าคนคนนี้จะกล้าทำตัวโอหังขนาดนี้ต่อหน้าเขา นี่เขายังคิดว่าที่นี่คือบาร์หรือไนต์คลับที่เขาเคยไปอยู่หรือไง? ซ่งอานปังพยายามข่มกลั้นความโกรธไว้ในใจ แล้วถามกลับ “นายคือสวีเส้าถางสินะ?”

“คุณส่งคนมาจับผม แล้วคุณไม่รู้จักผมหรือไง?” สวีเส้าถางเหลือบตามองบน แล้วเอ่ยพูด “พูดมาเถอะ จับผมมาทำไม? เร็วๆ ด้วย ผมยังต้องกลับไปกินข้าวอีก!”

สวีเส้าถางคิดในใจ ว่าลูกชายของคุณนายซ่งก็ไม่เห็นจะดีเด่นอะไรเลยนี่นา หน้าตายังไม่หล่อเท่าตัวเองเลยด้วยซ้ำ! เจอก็ได้เจอแล้ว ถึงเวลาที่เขาต้องกลับบ้านแล้ว

“ปัง!”

ซ่งอานปังตบลงบนโต๊ะทำงานของตัวเองอย่างแรง ทำให้ของบนโต๊ะสั่นสะเทือน เขาจ้องมองสวีเส้าถางด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวแล้วตะโกนว่า “ทำไมฉันถึงจับนายมา นายไม่รู้ตัวเลยหรือไง? ฉันแค่อยากดูว่าเป็นใคร ถึงได้ใจกล้าถึงขนาดคิดจะทำร้ายลูกสาวของฉันซ่งอานปังคนนี้?!”

เขาโกรธมากจริงๆ ลูกสาวของเขาถูกเลี้ยงดูประคบประหงมราวกับสิ่งล้ำค่า ถ้าไม่มีการป้องกันไว้ล่วงหน้า ลูกสาวสุดที่รักของเขาคงจะถูกไอ้บ้านี่ทำร้ายไปแล้ว!

“โอเค งั้นตอนนี้คุณก็ได้เห็นแล้ว ควรจะปล่อยผมไปได้แล้วหรือเปล่า?” สวีเส้าถางไม่ได้ใส่ใจความโกรธของซ่งอานปัง เขาบิดคอที่ค่อนข้างแข็งไปมา แล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะยื่นมือที่ถูกใส่กุญแจมือไปตรงหน้าซ่งอานปัง ส่งสัญญาณให้ซ่งอานปังเรียกคนมาปลดล็อกกุญแจมือให้เขา

“หึหึ มาถึงที่นี่แล้ว ยังคิดจะกลับไปได้อีกเหรอ? ข้อหาทำร้ายคนในครอบครัวของเจ้าหน้าที่ระดับสูง แค่ข้อหานี้ก็เพียงพอที่จะประหารชีวิตนายแล้ว!” ซ่งอานปังจ้องมองสวีเส้าถางด้วยสายตาโกรธจัด ไม่มีวี่แววว่าจะปล่อยเขาไป

สวีเส้าถางยักไหล่อย่างไม่แยแส แล้วนั่งกลับไปที่เดิม ก่อนจะยกยิ้มให้ซ่งอานปังพร้อมกับพูดว่า “ผู้บัญชาการซ่ง คุณอย่าลืมสิว่า บอดี้การ์ดของลูกสาวคุณก็เกือบจะทำให้ผมตายเช่นกัน! ถ้าผมจำไม่ผิด การทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาจนผู้อื่นจนเกือบตายก็ควรจะถูกจับและถูกตัดสินความผิดเช่นกันจริงไหม?”

“ฮึ! ทำร้ายจนตายก็ช่างสิ! ถือว่าเป็นการกำจัดภัยร้ายให้ประชาชน!” ซ่งอานปังพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “เดิมทีฉันคิดว่านายต้องตายแน่ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าแค่สัปดาห์เดียวนายก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว สมกับที่เขาพูดกันว่าคนดีมักจะมีชีวิตไม่ยืนยาว แต่คนชั่วร้ายมักจะอายุยืนยาว!”

ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่เอาความเรื่องนี้ เพราะคิดว่าคนคนนี้ต้องตายแน่ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่สัปดาห์เดียว เขากลับแข็งแรงจนออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว? ทำให้ความโกรธในใจที่กำลังจะลดลงของซ่งอานปังกลับมาลุกโชนอีกครั้ง ถ้าไม่ประหารไอ้สารเลวที่เกือบจะทำให้ลูกสาวของเขาต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ก็ไม่เพียงพอที่จะดับความโกรธในใจเขาลงได้!

สวีเส้าถางสีหน้าบึ้งตึง คิดในใจว่า บ้าเอ๊ย หมายความว่าฉันสมควรตาย บอดี้การ์ดของลูกสาวนายไม่ฆ่าฉันตาย ตอนนี้ตายที่เป็นถึงผู้บัญชาการของเขตทหารตะวันออกเฉียงใต้จึงเตรียมจะฆ่าฉันเองหรือไง? นายคิดว่าตระกูลซ่งสามารถทำทุกอย่างตามใจได้โดยไม่สนใจกฎหมายอย่างนั้นเหรอ?

“ซ่งอานปัง คุณคิดจะฆ่าผมจริงๆ เหรอ?” สวีเส้าถางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและยกยิ้มเจ้าเล่ห์

ซ่งอานปังเป็นถึงผู้บัญชาการ ในเขตทหารตะวันออกเฉียงใต้ ใครกล้าเรียกชื่อเขาออกมาตรงๆ เช่นนี้? แต่คนตรงหน้ากลับกล้าดูถูกเขาเช่นนี้? ซ่งอานปังโมโหมากกว่าเดิม: “จะประหารนายหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะตัดสินใจได้ ให้ศาลทหารตัดสินโทษเถอะ!”

พูดได้น่าฟัง ให้ศาลทหารตัดสิน แม่ง ศาลทหารไม่ใช่คนของพวกนายหรือไง? ดูเหมือนว่าซ่งอานปังคิดจะเอาชีวิตเขาจริงๆ สินะ! สวีเส้าถางเตรียมจะสั่งสอนซ่งอานปังสักหน่อย แต่กลับนึกอะไรขึ้นมาได้ เขายกยิ้มเล็กน้อย แล้วชี้ไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะถามเขาเสียงนิ่ง: “คงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าผมจะขอใช้โทรศัพท์สักหน่อย?”

“ทำไม จะให้พ่อของนายมาช่วยหรือไง? ฉันไม่กลัวที่จะบอกนายตามตรงเลย ว่าตระกูลสวีของนายยังไม่มีอำนาจขนาดนั้น!” ซ่งอานปังรู้ดีว่าตระกูลสวีมีพื้นหลังยังไง เป็นแค่ครอบครัวที่ทำธุรกิจเท่านั้นเอง ในสายตาของพวกเขาที่อยู่ในระดับนี้ ไม่ว่านักธุรกิจจะร่ำรวยแค่ไหนก็ไม่สามารถขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันได้ ต่อหน้าอำนาจความยิ่งใหญ่ เงินทองมีประโยชน์อะไร?

สวีเส้าถางไม่สนใจรอยยิ้มดูถูกของเขา เขาเดินไปยกโทรศัพท์ขึ้นมาและกดหมายเลขโทรศัพท์หมายเลขหนึ่งแล้วกดโทรออก

ซ่งอานปังไม่ได้ขัดขวางการกระทำของเขา เขาเองก็อยากรู้ว่าเด็กคนนี้จะทำอะไร

ปลายสายกดรับสายอย่างรวดเร็ว เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจดังเข้ามาในสาย: “ไม่ทราบว่าใครครับ?”

พอได้ยินเสียงนี้ ซ่งอานปังถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที เสียงนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี นี่มันเสียงของพ่อเขาซ่งหยีเหนียนนี่นา!

ในเวลานี้ ซ่งอานปังรู้สึกตกใจมาก ทำไมไอ้บ้านี่ถึงมีเบอร์โทรศัพท์ของพ่อเขาได้ และพ่อของเขายังรับสายเองอีก นั่นต้องเป็นเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของท่านแน่นอน! เบอร์โทรศัพท์ประจำตำแหน่งจะเป็นเลขานุการหรือทหารคุ้มครองของท่านรับสายแทน

ผู้ที่รู้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของพ่อเขา นอกจากเจ้าหน้าที่อาวุโสแล้ว ก็มีเพียงลูกหลานของตระกูลซ่งเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หรือว่าจะเป็นญีโน่ที่บอกเขา? ไม่น่าเป็นไปได้!

“ผมคือใครไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ ท่านซ่งยังจำสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อวันที่สิบสามมีนาคมได้หรือเปล่า?” สวีเส้าถางพูดเสียงเรียบเฉย

ในฐานะหนึ่งในสมาชิก “ผู้ครองกฏ” ผู้ที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้มีจำนวนมาก และบังเอิญว่า ซ่งหยีเหนียนก็เคยถูกเขาช่วยไว้เช่นกัน เขาเคยช่วยชีวิตซ่งหยีเหนียนไว้ได้ และเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ ซ่งหยีเหนียนจึงให้คำมั่นสัญญาไว้

“จำได้ครับ ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรให้ช่วยเหรอครับ? ผมจะทำให้เต็มที่!” เสียงของซ่งหยีเหนียนที่ดูกำลังดีใจดังมาจากโทรศัพท์

ซ่งหยีเหนียนรู้สึกดีใจมากจริงๆ เมื่อสามปีก่อน ในขณะที่เขาตรวจสอบเขตทหารภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เขาถูกกลุ่มคนร้ายติดอาวุธที่ไม่ทราบตัวตนลอบฆ่า และเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้างกายของเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่า จนสูญเสียไปเกือบหมด ในขณะที่เขาคิดว่าชีวิตของเขาจะต้องจบลงในทะเลทรายเขตทหารภาคตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว จู่ๆ ก็มียอดฝีมือผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา ไม่เพียงจะช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ยังจัดการศัตรูทั้งหมดด้วย

ในฐานะหนึ่งในผู้อาวุโสในกองทัพทหารหวาเซี่ย ซ่งหยีเหนียนเคยเจอยอดฝีมือมาจำนวนมาก แต่เขาไม่เคยเห็นยอดฝีมือที่เก่งกาจระดับนี้มาก่อน เขาเชื่อว่าถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือจาก “กลุ่มมังกร” ต่อหน้ายอดฝีมือผู้นี้ก็อาจจะไม่สามารถสู้ได้ วิธีการจัดการที่เด็ดขาดและการโจมตีที่เฉียบขาด ยังติดอยู่ในความทรงจำของเขาไม่จางหาย

ในขณะนั้น เขาถามถึงตัวตนที่แท้จริงของผู้ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ แต่อีกฝ่ายกลับบอกเพียงสามคำว่า "คนหวาเซี่ย" แม้ฝ่ายนั้นจะไม่ได้ขออะไรจากเขา แต่เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาจึงได้ให้สัญญาไว้ว่า ขอแค่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นอันตรายต่อประเทศ เขารับปากจะช่วยอีกฝ่ายหนึ่งเรื่อง

คำสัญญานี้มีสำคัญมาก แต่ซ่งหยีเหนียนกลับรู้สึกว่ามันคุ้มค่า! เขาผ่านการเดินข้ามภูเขาศพและทะเลเลือดมาแล้ว จึงได้มองชีวิตและความตายเบาบางลงแล้ว แต่เขายังไม่สามารถตายตอนนี้ได้ เพราะเขาคือเสาหลักของตระกูลซ่ง หากเขาตายไป ตระกูลซ่งจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก และอาจถูกลบชื่อออกจากเหมืองหลวง! ถ้าพูดจาก็อีกแง่มุมหนึ่ง คนผู้นี้คือผู้ที่ช่วยชีวิตทั้งตระกูลซ่งไว้!

 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel