บทที่ 6 ซ่งอานปัง
เสียงรถตำรวจเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ตระกูลสวี หลี่ซิวผิงสั่งให้ตำรวจที่รับผิดชอบขับรถให้เร็วที่สุด เขาต้องส่งสวีเส้าถางไปยังสถานีตำรวจในเมืองโดยเร็วที่สุด ที่นั่น สวีเส้าถางจะปลอดภัยกว่า!
ในขณะที่หลี่ซิวผิงกำลังวิตกกังวล รถตำรวจกลับหยุดลงกะทันหันจนเกิดเสียง "เอี๊ยด" พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะถนนข้างหน้าถูกปิดกั้น และมีทหารติดอาวุธจำนวนมากยืนขวางบนถนน
หลี่ซิวผิงถอนหายใจ กลัวอะไร มันก็มักจะเป็นอย่างนั้น เขามองไปที่สวีเส้าถางที่ท่าทางดูง่วงนอน ในขณะที่เขากำลังรู้สึกตกใจกับภาวะจิตใจที่เข้มแข็งของคุณชายคนนี้ เขาก็ส่ายหัวอย่างจนใจ และพูดในใจ: "พี่ชาย ผมพยายามสุดความสามารถแล้ว..."
รถตำรวจเพิ่งหยุดลง ทหารกลุ่มหนึ่งก็วิ่งเข้ามาข้างหน้า ชี้กระบอกปืนไปที่ตำรวจเหล่านี้ ผู้นำกลุ่มที่เป็นผู้ชายร่างใหญ่หน้าดำเดินเข้ามาหาหลี่ซิวผิง แล้วแสดงบัตรประจำตำแหน่งทหารให้เขาดูและพูดว่า "ผู้อำนวยการหลี่ ผมมาที่นี่ตามคำสั่งของผู้บัญชาการซ่งจากเขตทหารตะวันออกเฉียงใต้เพื่อมาควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยครับ!"
หลี่ซิวผิงรู้จักคนคนนี้ เขาคือพีร์หย่งชุนผู้นำกองทัพกำปั้นทีมอินทรีที่มีชื่อเสียงของเขตทหารตะวันออกเฉียงใต้! เขาพยายามรักษาท่าทีน่าเกรงขามและโบกมือก่อนจะพูดว่า "พีพีร์ ผู้ต้องสงสัยควรจะถูกพวกเรานำไปยังสถานีตำรวจเพื่อสอบสวน นี่คือคดีอาญา การที่ฝ่ายทหารของพวกคุณเข้ามาแทรกแซง แบบนี้ถือว่าทำเกินอำนาจ!"
นี่คือข้ออ้างเดียวที่เขานึกออกเพื่อปกป้องสวีเส้าถางไว้ได้ชั่วคราว เขาหวังว่าวิธีนี้จะได้ผลกับพีร์หย่งชุน
"แกร๊ก..."
เสียงการดึงไกปืนดังขึ้น กลุ่มทหารมีท่าทีจะโจมตีทันทีหากมีการต่อต้าน ใบหน้าของเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างก็ซีดเผือดด้วยความกลัว ยกเว้นหลี่ซิวผิงพวกเขาชัดเจนว่าคนพวกนี้จะลงมือโดยไม่มีลังเล พวกเขากลัว กลัวว่าหลี่ซิวผิงจะยืนกรานต่อไป แล้วทหารตรงข้ามจะฆ่าพวกเขาจริงๆ! ปืนที่พวกเขามีในมือเมื่อเทียบกับอาวุธรุนแรงของกลุ่มทหาร มันคงไม่ต่างจากไม้ฟืนมากนัก!
พีร์หย่งชุนยกมือขึ้นส่งสัญญาณ บ่งบอกให้คนในทีมหยุดเคลื่อนไหวชั่วคราว และพูดกับหลี่ซิวผิงเสียงดังว่า “ผู้ต้องสงสัยสวีเส้าถาง ถูกแจ้งจับข้อหาทำร้ายคนในครอบครัวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพวกเรา ควรจะถูกนำตัวกลับฐานเพื่อทำการสอบสวน ผู้อำนวยการหลี่ อย่าทำให้ผมต้องลำบากใจเลยครับ!”
ทั้งสองคนหนึ่งคือผู้อำนวยการกรมตำรวจ อีกคนคือหัวหน้าทีมอินทรี ของเขตทหารตะวันออกเฉียงใต้ ในเหตุการณ์ฝึกซ้อมต่อต้านการก่อการร้ายบางครั้งก็เคยร่วมมือกัน ถือว่ามีความสัมพันธ์กันบ้าง แต่ว่า ตอนนี้เขามีคำสั่งทางทหารติดตัว ความสัมพันธ์ใดๆ ก็ไม่มีประโยชน์!
“เฮ้อ……” หลี่ซิวผิงถอนหายใจ ก่อนจะมองไปทางตำรวจที่กำลังหวาดหวั่นอยู่ข้างหลัง เขารู้ว่าถ้าเขาไม่ส่งสวีเส้าถาง ให้กับพวกเขา กลุ่มทหารที่ไม่กลัวใครพวกนี้จะต้องยิงใส่ทุกคนแน่ ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่สวีเส้าถางจะถูกนำตัวไป กลัวว่าตำรวจเหล่านี้ก็คงต้องจบชีวิตที่นี่ด้วย
พอคิดถึงตรงนี้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำตามคำขอร้องของสวีเหวินเจิ้งได้ แต่สุดท้ายเขาก็ยกมือออกคำสั่ง “ส่งผู้ต้องสงสัยให้พวกคุณแล้ว! เก็บอาวุธ!”
เรื่องมันวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ และฝ่ายตรงข้ามใช้ข้อหาทำร้ายคนในครอบครัวของเจ้าหน้าที่ระดับสูง เขาที่เป็นแค่ผู้อำนวยการกรมตำรวจก็เข้าไปแทรกแซงไม่ได้ด้วย เพราะถือเป็นเรื่องของทางกองทัพ! หลี่ซิวผิงอยากจะตบสวีเส้าถาง สองสามครั้ง ทำไมถึงไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่งด้วย ตอนนี้จะทำยังไง ใครจะช่วยนายได้?
สวีเส้าถางกลับไม่ใส่ใจอะไร เขาก็อยากจะเห็นว่าผู้บัญชาการของเขตทหารตะวันออกเฉียงใต้เป็นคนแบบไหน ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินว่ามีบุคคลเช่นนี้อยู่ แต่ไม่เคยเจอกันมาก่อน ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้พบกับคนรู้จักเก่าก็แล้วกัน
หลังจากสวีเส้าถางถูกทหารพาไป ตำรวจทุกคนต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก การต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มมือสังหารพวกนี้ทำให้พวกเขารู้สึกกลัวมากจริงๆ!
“ฮัลโหล พี่ครับ…” หลี่ซิวผิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก แล้วแจ้งข่าวที่สวีเส้าถางถูกทหารพาไปให้สวีเหวินเจิ้งรู้ ตอนนี้คนที่สามารถช่วยสวีเส้าถางได้ คงมีเพียงซ่งญีโน่แล้ว
สวีเส้าถางไม่รู้เลยว่าสวีเหวินเจิ้งกับหลี่ซิวผิงกำลังกังวลใจ เขามองไปทางทหารที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัย และใช้ศอกกระแทกไปทางพีร์หย่งชุน “พวกนายไม่ใช่ทหารหน่วยพิเศษเหรอ? ทำไมถึงไม่มีเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธล่ะ?”
เฮลิคอปเตอร์ออกจะเร็ว ใช้เวลาไม่นานก็ถึงจุดหมายแล้ว!
พีร์หย่งชุนสีหน้าบึ้งตึง แล้วมองสวีเส้าถางด้วยสีหน้าไม่พอใจ “อยู่นิ่งๆ ถ้ายังพูดมากอีก หึ…”
พอพูดถึงตรงนี้ ทหารที่อยู่ข้างๆ พีร์หย่งชุนก็หยิบปืนขึ้นมา ทำท่าจะใช้ปืนทุบคน! นี่เป็นวิธีการที่ทหารมักใช้กัน ถ้าใช้ปืนทุบลงไป ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ต้องนอนอยู่เฉยๆ อย่าหวังว่าจะให้ทหารที่ผ่านการต่อสู้ในสนามรบจะพูดอะไรจำพวก “การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีอารยธรรม” ในสายตาของพวกเขามีแต่ศัตรูกับเพื่อนร่วมรบ และเห็นได้ชัดว่าในตอนนี้ในสายตาของพวกเขาสวีเส้าถางคือศัตรู!
“หน่วยพิเศษบ้าบออะไรเนี่ย สู้หน่วยตำรวจติดอาวุธไม่ได้สักนิด…” สวีเส้าถางบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ เพราะแม้แต่หน่วยตำรวจติดอาวุธก็ยังมีเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธ แต่พวกที่อ้างว่าตนเป็นหน่วยพิเศษกลับใช้รถทหารในการทำงานอีก ถ้าต้องการกำลังสนับสนุน รอให้พวกเขามาถึง คงจะสายเกินไปแล้ว!
ทหารในรถได้ยินคำพูดของสวีเส้าถาง ต่างก็มีสีหน้าโกรธเคือง มีทหารรูปร่างใหญ่ที่อารมณ์ร้อนคนหนึ่งจับปืนลุกขึ้น พร้อมที่จะใช้ด้ามปืนฟาดไปที่ศีรษะของสวีเส้าถาง แต่ตอนที่เขายกด้ามปืนขึ้นมา แล้วสบตาเข้ากับสายตาที่เย็นชาของสวีเส้าถาง เขาที่เป็นถึงทหารที่ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชนกลับต้องหยุดชะงักไปทันที เขารู้สึกขนลุกซู่ และหนาวเย็นไปทั้งตัว เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับเสือที่แสนอันตราย!
ความรู้สึกนี้ แม้แต่ตอนที่เผชิญหน้ากับผู้ฝึกสอน เขาก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน มันเป็นสายตาที่เย็นยะเยือกจนทำให้เขาหายใจไม่ออก ทำให้รู้สึกกลัวมาจากก้นลึกของหัวใจ! เขาถึงขั้นรู้สึกว่า ถ้าหากเขาฟาดด้ามปืนลงไปจริงๆ เขาคงไม่รอดแน่! เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนี้ แต่ประสบการณ์ในชีวิตทหารทำให้เขาเชื่อว่าสัญชาตญาณของเขาไม่ผิด! คนที่สามารถมีชีวิตรอดจากสนามรบที่เต็มไปด้วยกระสุน มักจะพึ่งสัญชาตญาณที่ไม่สามารถอธิบายได้ในหลายๆ ครั้ง
ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษมีคำพูดหนึ่งพูดไว้ว่า: คุณสามารถไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็นและหูได้ยิน แต่ต้องเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง!
ต้องยอมรับว่า สัญชาตญาณของเขาช่วยชีวิตเขาไว้อีกครั้ง ถ้าครั้งนี้เขาฟาดด้ามปืนลงไปจริงๆ ด้วยนิสัยของสวีเส้าถางจะต้องไม่ลังเลที่จะฆ่าเขาแน่นอน! แม้ว่าสองมือของสวีเส้าถางจะถูกใส่กุญแจมืออยู่ และมีทหารที่ถือปืนอยู่รอบตัวหลายคน เขาก็ยังมั่นใจว่าสวีเส้าถางสามารถจัดการกับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ถ้าเขาตัดสินใจลงมือไปจริงๆ สมาชิกหน่วยปฏิบัติการพิเศษเหล่านี้ก็ไม่สามารถสู้สวีเส้าถางได้เลย
“นั่งลง!” พีร์หย่งชุนเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง หยุดการกระทำของทหารที่อารมณ์ร้อนคนนี้ไว้
พอได้ยินคำสั่งของพีร์หย่งชุน ทหารรูปร่างใหญ่รู้สึกโล่งอก เขานั่งกลับไปตรงที่นั่งอย่างหมดแรง แล้วเผชิญหน้ากับสีหน้าล้อเลียนจากเพื่อนทหารที่อยู่ข้างๆ เขาก็ทำเหมือนไม่เห็น ในสมองเอาแต่คิดว่า “ไอ้หมอนี้ทั้งที่เป็นแค่คนอ่อนแรงไม่มีกำลังอะไรเลย แต่ทำไมถึงมีสายตาที่น่ากลัวได้ขนาดนี้?”
