9. ว่าที่คู่หมั้น
“ภีมะจริงๆด้วย” สายตาไร้ความรู้สึกชำเลืองมองไปตามเสียงที่บ่งบอกถึงความดีใจ
“ลัดลดา”
“ดีใจจังที่คุณชายภีมะผู้เยือกเย็นจำกันได้”
“ในชีวิตฉัน เธอเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่เคยได้รับอนุญาตเข้าใกล้ได้ในระยะห่างสองเมตร” ภีมะพูดพร้อมใช้สายตาเตือนลัดลดาที่เข้ามาใกล้เขามากเกินไป
“โตแล้วยังขี้โรคอีกเหรอ” สำหรับลัดลดา เธอเข้าใจมาตลอดว่าภีมะร่างกายอ่อนแอ ตอนที่เห็นภีมะตอนเด็กๆ เขาต้องอยู่ในห้องกักเชื้อบ่อยๆ และถูกห้ามแตะเนื้อตัวเขา เพราะเขาไม่ค่อยสบาย ซึ่งตลอดเวลาหลายปีตอนนั้นภีมะ ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ใบหน้าเขาซีดเซียว เหมือนต้องทนกับความเจ็บปวดตลอดเวลา
“หุบปาก” พรึ่บ ลัดลดาทรุดนั่งลงที่โต๊ะเดียวกันแต่รักษาระยะห่างอย่างรู้ดีว่าภีมะเป็นคนแบบไหน แต่แล้วภีมะก็หันไปมองลัดลดาเต็มตา
“ภีมะ มองแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“คู่หมั้นเธอกลับมาแล้วนะ” ลัดลดาเปลี่ยนสีหน้าทันที “หยุด” เสียงภีมะดังขึ้นเมื่อลัดลดากำลังจะลุกหนี
“ฉันไม่ใช่แม่พระนะ”
“เรื่องนั้นฉันรู้ดี...” รอยยิ้มของภีมะทำให้ลัดลดากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากในทันที
หนึ่งอาทิตย์เร็วเหมือนโกหก วันนี้ณิชาต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านของภีมะ เธอมีห้องส่วนตัวของเธอ ห้องที่ถูกตกแต่งใหม่ที่ทั้งห้องเป็นสีขาวส่วนใหญ่ไม่เว้นแต่เฟอร์นิเจอร์ เฮ้ยยย ณิชาถอนหายใจมองห้องจำเป็นของตัวเอง ตั้งแต่วันนั้น เธอก็ไม่เจอกับภีมะอีกเลย ซึ่งก็ดีมาก
ฮิฮิฮิ เสียงหัวเราะเล็กๆดังแทรกเข้ามาในห้องนอนของณิชา เพราะเธอปิดประตูไม่สนิท
“ห้องสวยจังเลยนะคะ”
“ดีแล้วที่ชอบ” เสียงพูดคุยของคนข้างนอก เสียงผู้ชายคือเสียงภีมะ อีกเสียงเป็นผู้หญิงซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่สนใจ ณิชาผลักปิดประตูห้องของตัวเองให้สนิทเพื่อกักเสียงภายนอกเข้ามา แต่... ก็อก ก็อก เสียงเคาะประตูทำให้เธอต้องเดินกลับไปอีกครั้ง
ผลั๊วะ “มาถึงนานหรือยัง” ภีมะเอ่ยถามทันทีที่เธอเปิดประตู ณิชาพยักหน้า “คือ?” ภีมะย้ำถามเพราะไม่เข้าใจอาการพยักหน้า
“สักสิบนาที”
“แล้วทุกอย่างโอเคมั้ย” ณิชาตอบกลับเป็นเสียงอีกครั้งว่าโอเค “เดี๋ยวสักพักต้องวัดตัวตัดชุด”
“ชุด?”
“แต่งงาน”
“ต้องสิ้นเปลืองขนาดนี้เลยเหรอ” ภีมะไม่ตอบแต่หลี่ตามองเธอไม่นานเขาก็เดินจากไปทันที ณิชาได้แต่ยืนงงกับอาการคุณชายผู้ร่ำรวย
“พี่รัส...ไม่ต้องจัดงานอะไรทั้งนั้นได้มั้ย”
“งานแต่งสุดแท้แล้วแต่ครับ เพราะตามพินัยกรรมก็ไม่ได้ลงรายละเอียดกับเรื่องนี้ไว้นะครับ”
“ผมอยากยกเลิกงานฉลองทุกอย่าง เพราะเอกสารผูกพันทางกฎหมายทั้งผมและณิชาเราก็เซ็นต์แล้ว”
“…ผม…ผมถามเหตุผลการยกเลิกได้มั้ยครับ” คราวนี้ภีมะเงียบไป
ณ ห้องอาหาร ณิชาเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ที่โต๊ะมีคนสามคนนั่งอยู่ เธอเห็นแผ่นหลังของใครคนหนึ่งที่ช่างคุ้นตานัก ตึก ตึก หัวใจดวงน้อยเต้นแล้วเต้นอีกเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อค่อยๆขยับการก้าวย่างเพื่อไปปรากฎตัวด้านหน้าเจ้าของแผ่นหลังนั้น
แน่นอนว่าภีมะเห็นณิชาตั้งแต่เงาของเธอทาบรอดเข้ามาในห้องนี้แล้ว กริยาท่าทางของเธอจึงอยู่ในสายตาเขาทุกวินาทีเลยก็ว่าได้
“พะ...พี่เหนือ” ณิชาปากสั่นเอ่ยเรียกเจ้าของแผ่นหลัง เขายังคงสวมแว่นตาดำอยู่เธอเห็นผ้าปิดตารอดออกมากรอบแว่นตา เขายังไม่เปิดตา เสียงเรียกของเธอเบามาก แต่เจ้าของชื่อก็ได้ยิน เพราะเขามีกริยาตอบกลับ แต่ไม่ได้ตอบอะไรในทันที
“นั่งสิ” ภีมะผายมือให้ณิชานั่งฝั่งตรงข้ามเหนือสมุทร ส่วนตัวเขายังนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ
“สวัสดีค่ะ” ลัดลดาทักทายณิชาก่อน “สวัสดีค่ะ” ณิชาทักทายกลับแต่สายตาเธอเอาแต่สนใจเหนือสมุทร
“เหนือ ผู้หญิงที่นั่งตรงหน้านาย น้องสะใภ้ชื่อว่าณิชา”
“สวัสดีครับณิชา” เหนือสมุทรทักทายกลับตามมารยาท “สวัสดีค่ะ” การทักทายกลับของณิชาสร้างความประหลาดใจให้กับเธอ แต่มีหรือว่าเธอจะยอมแพ้
“พี่เหนือเป็นยังไงบ้างคะ”
“ณิชาถามอาการนาย” ณิชาหันไปมองภีมะ ทำไมเขาต้อง...แปลก! สิ่งที่ณิชาคิด
“การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีครับ อีกสักระยะหนึ่งครับกว่าผมจะเปิดดวงตาได้” ณิชานิ่งไปเพราะเธอไม่เข้าใจและยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมคนที่อยู่ตรงหน้าเธอเหมือนไม่ใช่พี่เหนือของเธอเลย
“พี่เหนือค่ะ” ณิชาเรียกเขาอีกครั้ง
“อย่าพึ่งพูด ได้เวลากินแล้ว” ภีมะปิดฉากทิ้งความไม่เข้าใจไว้กับณิชามากมาย และผู้หญิงข้างๆเหนือสมุทรเป็นใครกัน ทำไมเธอคนนั้นถึงได้มีสิทธิ์ดูแลพี่เหนือใกล้ชิดแบบนั้น
ผลั๊วะ “ขอโทษค่ะ ณิชาไม่หิว ณิชาขอตัวค่ะ” ณิชาไม่รอคำอนุญาตเธอเดินออกจากห้องอาหารมาทันที ตึกตึกตึก หัวใจเธอเต้นแรงมาก มันก็แค่ภาพที่เธอคนนั้นจับมือพี่เหนือ กอบกุมมือพี่เหนือ พวกเขาใกล้ชิดกันมาก
พึ่บ! !!! ณิชาตกใจเมื่อเธอวิ่งกลับมายังห้องของตน แต่ประตูกลับปิดไม่ได้ ภีมะตามเธอมาตอนไหนกัน “นี่!!!” ณิชาร้องและพยายามผลักประตู แต่ภีมะแรงมากกว่า เขาแทรกตัวเข้ามาและปิดประตูให้ตามที่เธอต้องการ
“เป็นอะไร”
“เป็นอะไร...นี่คุณไม่รู้หรือแกล้งกัน”
“ฉันไปแกล้งอะไรเธอ”
“คุณ...คุณแบล็คเมล์พี่เหนือใช่มั้ย คุณบังคับเขาใช่มั้ย...ใช่แล้วเมื่อกี้เขาจะตอบคำถามฉันก็ต่อเมื่อคุณให้เขาตอบ...คุณ...” ณิชาเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างเธอชี้นิ้วไปที่เขา ใบหน้าเธอแดงจัดเพราะความโกรธ เธอแทบจะร้องไห้อยู่แล้วทั้งๆที่ตอนแรกเธอกะจะเข้ามาร้องไห้ในห้องอยู่แล้ว
“คิดได้เป็นเรื่องเป็นราวเก่งขนาดนี้ ดีจังเลยนะ เธอมันนางเอก เหนือ-สมุทรเป็นพระเอกสินะ ส่วนฉันก็เป็นวายร้าย ลงตัวจริงๆ ถ้าอย่างงั้นเธอก็รอตอนจบแบบแฮปปี้แล้วกัน”
“นี่! อย่ามาประชดนะ”
“วิเศษอะไรมาจากไหนไม่ทราบ”
“ห้องนี้เป็นห้องของฉัน คุณออกไปเดี๋ยวนี้...โอ้ย!” ณิชาร้องออกมาเมื่อภีมะคว้าไหล่เธอและออกแรงบีบด้วยความลืมตัว
“ฉันไปแน่ แต่ก่อนไปฉันขอเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่เลิกทำตัวกระดี๊กระด๊าไม่วางตัว ไม่สำนึกว่าตัวเองมีสถานะอะไรต่อหน้าผู้ชายอื่น ครั้งต่อไปฉันจะจัดการเธอแน่”
“ผู้ชายอื่นอะไรกัน นั่นพี่เหนือผู้ชายที่ฉันรัก คุณลืมไปแล้วเหรอว่าความรักระหว่างฉันกับพี่เหนือเกิดขึ้นได้เพราะใคร”
“ความรักระหว่างเธอกับเหนือสมุทร เธอแน่ใจเหรอว่าเหนือสมุทรรักเธอด้วย ไม่ใช่ว่าเธอรักเขาข้างเดียวเหรอ”
“ไม่จริง พี่เหนือรักฉัน”
“มันเคยบอกเธอเหรอ” ณิชานิ่งไป เพราะคำพูดเธอไม่เคยได้ยิน แต่การกระทำตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน มันชัดเจน “หรือว่าเธอนอนกับมันแล้ว” !!! ณิชานิ่งไปอีกครั้งเพราะคำพูดนั้นทำให้ใบหน้าเธอแดงและเธอก็อายเกินกว่าจะตอบ “หรือว่ามันจูบเธอ” ภีมะโน้มหน้าลงมาใกล้ใบหน้าณิชา เสียงเขาเบามาก ลมหายใจกระทบแก้มร้อนแดงของเธอ
“ไหนๆก็ไหนแล้ว ฉันจะให้เธอหูตาสว่าง ลัดลดา ผู้หญิงคนนั้น พวกเขาเป็นคู่หมั้น ทั้งสองถูกหมั้นหมายตั้งแต่เด็กแล้ว เรื่องนี้เหนือสมุทรรู้อยู่แล้วมันเคยบอกเธอมั้ยณิชา...” !!! เรื่องราวตอนนี้ ทำเอาณิชาหูอื้อ ลมหายใจหายไปจากร่างกายเฉียบพลัน หัวใจเธอแข็งค้างไม่สามารถเต้นต่อได้ มันหนักหนาเกินไป เธอ...เธอรับไม่ได้
พรึ่บ! ภีมะรับร่างเล็กไว้ทันก่อนที่เธอจะล้มไปกองกับพื้น “ช็อค จนเป็นลมเลยเหรอ...ดูแล้วเธอคงจะรักมันมากจริงๆ...ขอแสดงความยินดีด้วยที่รัก” ภีมะยิ้มออกมาอย่างสะใจ เขาวางร่างณิชาที่หมดสติบนเตียงสีขาวของเธอและขยับตัวเองนั่งพิงหัวเตียงข้างๆเธอ ใบหน้าของภีมะตอนนี้บ่งบอกถึงความสุข
ณิชาค่อยๆรู้สึกตัว เธอไม่รู้ว่าสลบไปนานแค่ไหน อึ้บ แต่เมื่อขยับ เธอกลับสัมผัสกับบางอย่าง หน้าต่างมืดสนิท นี่ค่ำแล้วเหรอ ความยุบยวบของที่นอน เสียงลมหายใจ ไออุ่นจากคนบนผ้าห่ม ภีมะ เขามานอนอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกัน
แสงสว่างจากดวงจันทร์ช่างน้อยนิดแต่ใบหน้าและผิวของเขามันกระจ่างชัดในความสลัว เธอไม่เคยเห็นใบหน้าผู้ชายยามหลับแบบใกล้กันแบบนี้มาก่อนเลย ปกติภีมะเป็นผู้ชายที่จัดว่ามีรูปหน้าที่สวยงามถ้าเขาเป็นผู้หญิงคงสวยมาก คิ้วหนาได้รูปเข้ากับดวงตาเรียว แม้จะเป็นดวงตาที่หยามเหยียดเธอตลอดเวลา
แต่ทำไมเธอไม่ตกใจอย่างที่ควรจะเป็น หรือเพราะเธอไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายจากเขา หรือ เพราะเธอรู้สึกว่าเขารังเกียจเธอเพราะงั้นระหว่างเขากับเธอก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“รู้สึกตัวแล้วทำไมถึงไม่เรียก” พรึ่บ ภีมะรู้สึกตัวหลังจากนั้นไม่นาน แม้ตื่นขึ้นมาต้องเห็นดวงตากลมในระยะประชิด เขาก็ยังคงไร้ความรู้สึก
“ทะ...ทำไมถึงมาหลับอยู่ในห้องนี้”
“บ้านฉัน ตรงไหนฉันอยากนอนก็นอนได้ เพราะฉันไม่ได้ไปนอนบนตัวเธอสักหน่อย” พูดไปเขาก็ลุกจากเตียงสีขาว และเดินไปยังประตูทางออก “ตามมาสิ” เขาหยุดการก้าวเมื่อณิชายังไม่ลุกตาม
ณิชาแค่ลุกนั่งแต่ไม่ได้ลงจากเตียงนอน ดวงตาเธอกระพริบถี่ๆ มองภีมะท่ามกลางแสงสลัว เขาเรืองแสงได้ด้วยเหมือนเธอเลย ซึ่งจริงๆไม่ใช่เรืองแสง สีผิวของเขาและเธอเหมือนกันมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะประชากรของประเทศนี้ก็มีคนที่สีผิวแบบเขาและเธอแม้จะไม่มากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผิวขาวที่เนียนละเอียดดูเสมือนบอบบางแต่จริงๆแล้วเป็นผิวพรรณที่แข็งแรง ในยามกลางคืนที่มีแสงจันทร์ส่องสว่าง พวกเธอจะเหมือนเรืองแสงได้ พวกเธอจึงถูกเปรียบเปรยเป็นเผ่าพันธุ์นางฟ้าเลยก็ว่าได้
ภีมะเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง “ต้องการอะไร” เขาขยับขึ้นเตียงนอนของเธออีกครั้ง ในทางกฎหมายเขาและเธอคือสามีภรรยากันตามกฎหมายแล้ว ขาดแต่เรื่องพิธีการทางศาสนาและสังคมเท่านั้นถ้าไม่นับการเข้าหอ
“มันดึกมากแล้วฉันไม่อยากไปไหนแล้ว”
“แต่เธอควรกินอะไรเสียบ้าง”
“ช่างกรุณาเสียจริงนะคะ” ภีมะเลิกคิ้วมองเข้าไปในดวงตาเธอ
