ตอนที่ 2 :: ตามเอาเรื่อง
ตอนที่ 2
ตามเอาเรื่อง
ก๊อก ๆ ๆ
"พี่ขวัญ เป็นยังไงบ้างจ๊ะ"
"อื้อ" เสียงเคาะประตูช่วยปลุกร่างอรชรที่กำลังนอนหลับใหลให้ขยับกายช้า ๆ
"คุณท่านเรียกจ้ะพี่ พี่ขวัญโอเครึเปล่าเนี่ย"
"พี่โอเค ๆ ว่าแต่คุณท่านกลับมาแล้วเหรอ" เธอขานรับพร้อมกับถามบัวลอยกลับไป ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นจึงรีบเดินไปเปิดประตูทันที
"คุณท่านเพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี่เองจ้ะ ว่าแต่พี่ขวัญเถอะ ไหวแน่นะพี่" บัวลอยถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่านาขวัญมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"ไหว ๆ เราไปกันเถอะ"
"เดี๋ยวสิพี่ขวัญ มือพี่ไปโดนอะไรมาน่ะ" บัวลอยมองผ้าพันแผลที่ฝ่ามือของนาขวัญอย่างสงสัย
"พี่เผลอทำแก้วแตกจ้ะ ตอนเก็บมันเลยทิ่มมือ แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เรารีบไปกันเถอะนะ เดี๋ยวคุณท่านจะรอ" ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินนำหน้าบัวลอยไปที่ห้องโถงใหญ่ของบ้านทันที
"มาแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้างนาขวัญ" เสียงเข้มโทนอบอุ่นเอ่ยถามอย่างห่วงใย
"ดีขึ้นแล้วค่ะคุณท่าน" เธอว่า ขณะนั่งคุกเข่าลงบนพื้นกระเบื้องด้วยท่าทีนอบน้อม
"แล้วมือไปโดนอะไรมา" พลวัฒน์เองต่างก็สงสัยเช่นเดียวกับบัวลอย
"แก้วบาดค่ะ เป็นแผลนิดหน่อยแต่ไม่ลึกมาก"
"มีแต่เรื่องนะเรา ไปหาหมอดีไหม ได้ยินบัวลอยบอกว่าเราไม่สบาย ไปให้หมอตรวจเผื่อเป็นอะไรขึ้นมาจะได้รักษาได้ทัน"
"ไม่เป็นไรค่ะ ขวัญแค่นอนไม่พอเท่านั้นเอง" หญิงสาวรีบปฏิเสธ ชายวัยหกสิบห้าตรงหน้าช่างเป็นห่วงเป็นใยเธอเหลือเกิน ผิดจากผู้เป็นลูกชายลิบลับ
"แน่ใจนะว่าไม่ไปจริง ๆ"
"แน่ใจค่ะ"
"ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ แล้วมัวแต่อ่านหนังสืออยู่เหรอถึงได้นอนไม่พอ" คำถามของคุณท่านทำให้นาขวัญกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
เธอนอนไม่พอไม่ใช่เพราะมั่วแต่อ่านหนังสือ แต่เป็นเพราะธีรวัฒน์ต่างหาก
"ค่ะ" แม้จะตอบไปแบบนั้น แต่ภายในใจหญิงสาวได้แต่เอ่ยขอโทษพลวัฒน์ที่เธอโกหกผู้มีพระคุณแบบเขา เพราะเรื่องราวระหว่างเธอกับธีรวัฒน์ก็มีแค่เธอกับชายหนุ่มเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจกันแค่สองคน
"ขยันจริง ๆ นะเรา นี่ก็ใกล้จะจบปีสี่แล้วนี่ อีกไม่นานเราก็คงจะไปจากฉันแล้วสินะ ฉันคงใจหายน่าดูเลย" พลวัฒน์เอ่ยอย่างรู้สึกใจหายเหมือนที่พูด
"ขวัญขอโทษนะคะคุณท่าน ขอโทษที่ขวัญคงไม่สามารถอยู่ดูแลคุณท่านต่อไปได้อีกแล้ว" นาขวัญเองก็เอ่ยเสียงเศร้า เพราะตั้งแต่เด็กจนโตพ่อกับแม่ของเธอคอยบอกเสมอว่าเธอต้องตอบแทนบุญคุณของคุณท่านให้ได้มากที่สุด เพราะคุณท่านกับคุณหญิงคือผู้มีพระคุณสำหรับครอบครัวเธอ แต่เมื่อพ่อกับแม่และคุณหญิงจากไป รวมถึงมีเรื่องของเธอกับธีรวัฒน์เพิ่มเข้ามาอีก เมื่อปีที่แล้วหญิงสาวจึงขออนุญาตพลวัฒน์ว่า เธอจะขอย้ายออกไปจากที่นี่เพื่อไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียวและหางานทำ แต่พลวัฒน์บอกว่าเธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ถ้าออกไปใช้ชีวิตข้างนอกคงลำบาก เขาจึงเสนอว่าให้เธออยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปก่อน แต่ถ้าเธอเรียนจบเมื่อไหร่เขาถึงจะไม่ห้ามเธออีก
ซึ่งตอนนี้นาขวัญเรียนอยู่ชั้นปีที่สี่แล้ว อีกแค่ไม่กี่เดือนหญิงสาวก็จะเรียนจบเป็นบัณฑิตจากคณะบริหารธุรกิจสาขาการบัญชี เธอจะได้ออกไปจากบ้านหลังนี้ และออกไปจากชีวิตของธีรวัฒน์ ผู้ชายที่เธอไม่ควรรักเขาสักที
"จะขอโทษทำไมกัน ฉันสิต้องขอโทษเรา ขอโทษที่ฉันดูแลเราไม่ดี เราถึงได้อยากออกไปจากที่นี่ใช่ไหมล่ะ" พลวัฒน์เลิกคิ้วถาม
"ไม่ใช่นะคะคุณท่าน ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ" นาขวัญรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ทำให้พลวัฒน์หัวเราะปนเอ็นดูในความใสซื่อของหญิงสาว
"ฉันพูดเล่น" เขาบอกอย่างขำขัน
"คุณท่าน" หญิงสาวระบายยิ้มบาง ๆ
"ฮ่า ๆ ๆ เอาเป็นว่าถ้าเรียนจบแล้วมาทำงานที่บริษัทฉันก็ได้นะ" พลวัฒน์เสนอต่อ เพราะตระกูลของเขาเป็นเจ้าของบริษัทผลิต ส่งออก และค้าปลีกจิวเวลรี่กับอัญมณี เพียงแต่ตอนนี้เขาได้วางมือจากการบริหารบริษัทเนื่องจากอายุมากแล้ว แต่ยังคงเป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเช่นเดิม แล้วตัวเขาเองก็กลับมาใช้ชีวิตในแบบที่เขาอย่างใช้ คือการออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ และไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่าง ๆ ทั้งในและต่างจังหวัดอย่างสม่ำเสมอ
"ไม่เป็นไรค่ะคุณท่าน ขวัญอยากหางานทำได้ด้วยตัวเองค่ะ"
"เอาเถอะ ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเราเลยก็แล้วกัน แต่ถ้าขาดเหลืออะไรก็โทรหาฉันได้ตลอดเลยนะ"
"ขอบคุณนะคะคุณท่าน แต่ขวัญคงไม่รบกวนคุณท่านแล้วล่ะค่ะ แค่คุณท่านส่งขวัญเรียนจนใกล้จะจบปริญญาตรีแล้ว แค่นี้ขวัญก็ไม่รู้จะขอบคุณคุณท่านยังไงถึงจะพอ" นาขวัญเอ่ยอย่างซาบซึ้ง
"ไม่ต้องขอบคุณอะไรแล้ว แค่เราคอยดูแลฉันกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด แค่นี้ฉันก็ดีใจมากแล้ว และเชื่อเถอะว่า ถ้าเราไปสมัครงานที่ไหน ยังไง ๆ คนขยัน ๆ และซื่อสัตย์แบบเราก็ต้องได้งานแน่ ๆ" พลวัฒน์ว่าพลางเอื้อมมือมาลูบกลุ่มผมทุย ๆ ของหญิงสาวอย่างเอ็นดูเธอเหมือนกับลูกหลานคนหนึ่ง
แต่แล้ว...
"คลานเข่ามาออเซาะอะไรพ่อฉันอีกล่ะ" เสียงเข้มของผู้มาใหม่ทำให้นาขวัญสะดุ้ง ก่อนใบหน้าหวานจะรีบก้มลงมองพื้นทันที
"ไอ้ธีร์!" พลวัฒน์มองลูกชายอย่างไม่พอใจ
"หึ หรือว่ามันไม่จริงล่ะครับ" ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวและผู้เป็นพ่อ
"ไปพักเถอะนาขวัญ แล้วก็อย่าหักโหมอ่านแต่หนังสือมากนักล่ะ" พลวัฒน์บอกหญิงสาว เพราะไม่อยากให้เธอต้องมานั่งรับฟังคำดูถูกดูแคลนจากลูกชายของตัวเอง
"ค่ะ" ว่าแล้วนาขวัญก็ลุกขึ้นและเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
"เมื่อไหร่แกจะมองนาขวัญดี ๆ สักที" ผู้เป็นพ่อหันมาเอ็ดลูกชายทันทีเมื่อหญิงสาวเดินออกไปแล้ว
"ผมมองลูกฆาตกรแบบนั้นให้ดีไม่ได้หรอก"
"ไอ้ธีร์! เรื่องมันผ่านมาสองปีแล้วแกจะพูดให้ได้อะไรขึ้นมา!"
"..."
"พ่อกับแม่ของนาขวัญไม่ใช่ฆาตกร ทั้งหมดมันเป็นอุบัติเหตุ"
"แต่ถ้าแม่ไม่ไว้ใจไปกับสองคนนั้นท่านก็คงไม่จากเราไป" ชายหนุ่มตอบโต้ผู้เป็นพ่อด้วยแววตาโกรธแค้น
"ก็เพราะไว้ใจไง เพราะแม่แกไว้ใจอำพากับพงษ์พัฒน์มากเธอถึงได้นั่งรถไปด้วยกัน แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุล่ะ"
"..."
"แกสูญเสียแค่แม่ แต่นาขวัญสูญเสียทั้งพ่อและแม่ที่เปรียบเสมือนโลกทั้งใบของเธอ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ต้องอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีพ่อกับแม่มันก็น่าสงสารเกินพอแล้ว แกเลิกดูถูกเหยียดหยามเธอสักทีเถอะ"
"แล้วเมื่อไหร่พ่อจะสนใจผมที่เป็นลูกแท้ ๆ มากกว่าคนที่เป็นลูกฆาตกรสักทีล่ะ"
"ไอ้ธีร์!"
"ทำไมล่ะครับ ก็ขนาดยัยนั่นยังเรียนไม่จบแต่พ่อก็เสนอให้เข้าไปทำงานในบริษัทแล้ว แต่กับผมพ่อไม่เห็นจะบอกอะไรผมเลย"
"ก็แกบอกเองว่าแกยังไม่อยากไปทำงานในบริษัท เพราะธรุกิจคลับของแกกับเพื่อนกำลังไปได้ดี แล้วแกจะมาโวยวายอะไรอีก" พลวัฒน์มองผู้เป็นลูกอย่างไม่เข้าใจ เพราะถึงแม้ว่าธีรวัฒน์จะเรียนจบด้านการบริหารมา แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมาบริหารบริษัทต่อจากเขาเสียที ชายหนุ่มเลือกที่จะร่วมหุ้นและเปิดคลับกับนพดลแทน พลวัฒน์จึงให้คนที่เขาไว้ใจและฝีมือดีบริหารบริษัทแทนเขาต่อไปก่อน
"เดี๋ยวนะ นี่แกมาแอบฟังฉันกับนาขวัญคุยกันเหรอ" พลวัฒน์ถามเมื่อคิดขึ้นได้
"ใช่สิครับ แต่น่าเสียดายที่ผมมาช้าไป ก็เลยไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นพ่อคุยอะไรกับยัยนั่นบ้าง ว่าแต่พ่อจะซื้ออะไรให้ยัยนั่นอีกรึเปล่าล่ะ หรือว่าพ่อให้เงินยัยนั่นไปอีกแล้ว"
"ไอ้ธีร์!"
"ทำไมล่ะครับ ก็ในเมื่อที่ผ่านมาพ่อก็ให้เงินยัยนั่นตลอด แถมพ่อยังเคยคิดที่จะซื้อรถ ซื้อคอนโดใกล้ ๆ กับมหา'ลัยให้ยัยนั่นอยู่อยู่ แล้วนี่ นี่ถ้าผมไม่ห้ามไว้ ป่านนี้พ่อคงจะซื้อให้ยัยนั่นไปแล้วจริง ๆ ลำพังแค่ส่งเรียนหนังสือมันก็มากเกินพอแล้ว นี่ถ้าคนอื่นรู้ว่าพ่อเอ็นดูลูกคนใช้ในบ้านมากขนาดนี้ เขาคงจะคิดว่าพ่อพิศวาสยัยนั่นแน่ ๆ"
"มันจะมากไปแล้วนะไอ้ธีร์!"
"ทำไมล่ะครับ! หรือว่ามันไม่จริง!"
ผัวะ!
เสียงหมัดหนัก ๆ กระทบเข้ากับซีกแก้มข้างซ้ายของธีรวัฒน์อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ก่อนจะหันหน้ามามองผู้เป็นพ่อด้วยแววตาแข็งกร้าว
"ฉัน..." พลวัฒน์กำลังจะเดินเข้ามาหาลูกชายอย่างเป็นห่วง เพราะเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จนเผลอทำร้ายธีรวัฒน์เข้า
พึบ!
แต่ร่างหนาตวัดตัวเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยอารมณ์ที่กำลังโกรธจัด
ธีรวัฒน์เดินหุนหันและลัดเลาะมาที่บ้านพักของคนงานหลังสวนซึ่งห่างจากตัวบ้านใหญ่และปลอดสายตาของคนในบ้านพอสมควร ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้านหลังเล็ก ๆ แล้วหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งมันก็คือห้องของคนที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาถูกพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองต่อยจนแก้มช้ำ แน่นอนว่าเธอต้องได้รับโทษอย่างสาสมแน่นอน!
ปัง! ปัง! ปัง!
มือหนาจงใจทุบประตูห้องอย่างแรงตามอารมณ์ที่กำลังร้อนระอุ
"เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะนาขวัญ!"
ปัง! ปัง! ปัง!
"ฉันบอกให้เปิดประตู!" เสียงเข้มยังคงตะเบ็งเรียกเจ้าของห้องจนเส้นเลือดตามลำคอและสันกรามเริ่มนูนขึ้นมา
ในขณะที่ภายในห้องนอนเล็ก ๆ ของนาขวัญ หญิงสาวกำลังใช้ผ้าห่มคลุมร่างของตัวเองเอาไว้ด้วยความกลัวจนตัวสั่นเทาไปหมด ขืนเปิดประตูให้ชายหนุ่มในตอนนี้ มีหวังร่างกายของเธอได้บอบช้ำอีกเป็นแน่ ฟังจากเสียงเคาะประตูและน้ำเสียงที่ธีรวัฒน์ตะโกนเรียกแล้ว อารมณ์ของเขาในตอนนี้คงพร้อมที่จะฆ่าเธอได้ทั้งเป็นแน่ ๆ
"ไม่เปิดใช่ไหม ได้!"
แกร็ก!
