บทที่ 10 มีบางย่างผิดปกติ
สองหนุ่มใหญ่เดินไปนั่งตรงข้ามทั้งสอง ม่านหมอกเพิ่งเคยเห็นคู่หมั้นของกัลยาก็วันนี้ เขาหล่อ สูง ผิวขาวเหลือง และเป็นผู้ชายที่ดูดีมากคนหนึ่ง อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกอิจฉาว่าที่ลูกเขยขึ้นมาแปลก ๆ
“นี่หนุ่ยคู่หมั้นขิมเองค่ะ” เธอยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก แล้วคว้ามือของชายหนุ่มข้าง ๆ มากุมไว้ เธอไม่รู้ว่าตัวเองทำแบบนั้นไปทำไม แต่อยากทำให้ม่านหมอกเห็นว่าเธอมีเจ้าของแล้ว แต่เขาคงไม่รู้สึกอะไร นี่เธอกำลังเป็นบ้าอะไร เธอกำลังอยากให้เขาหึงอย่างนั้นหรือ
ม่านหมอกยังนิ่งเขาไม่ได้แสดงทีท่าว่ารู้สึกอย่างไรกับเธอ มันทำให้กัลยารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แล้วเธอหวังอะไรล่ะ เธอหวังให้เขารู้สึกอย่างไรกัลยา ก็ในเมื่อวันนั้นเขาเมา เขาจำเรื่องราวอะไรไม่ได้
“พ่อคะขิมจะไปดูหนังกับหนุ่ยนะคะ” จู่ ๆ เธอก็อยากจะไปดูหนังขึ้นมา
“อ้าว ไหนขิมบอกว่ายังมีไข้อยู่ไง” นวพัฒน์เอ่ยท้วง
“ขิมหายแล้ว ขิมอยากไปเที่ยวกับหนุ่ยมากกว่า” มองหน้าแฟนหนุ่มแล้วทำเสียงอ้อน
“ไม่พักก่อนล่ะขิม หน้าตาลูกยังซีดอยู่เลยนะ” หรรษธรเห็นด้วยกับนวพัฒน์
“นั่นสิ พ่อว่าขิมน่าจะพักก่อนนะ” ต่อหน้าคนอื่นเขาแทนตัวเองว่าพ่อ ถึงแม้ไม่รู้ว่าเธอจะเต็มใจหรือไม่ แต่เขารู้สึกเป็นห่วงกัลยาเหมือนกัน ยิ่งรู้ข่าวว่าเธอไม่สบายเขาจึงต้องรีบมาดูให้เห็นกับตา
“ขิมหายดีแล้วจริง ๆ ค่ะพ่อ” ตอบพลางปรายตาไปทางพ่อเลี้ยง
“งั้นก็ตามใจ” หรรษธรไม่อยากขัดใจลูก ถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็คงไปนอนต่อในโรงหนังได้
“แต่พ่อว่า…” ม่านหมอกยังอดเป็นห่วงไม่ได้
“เหอะน่า ให้ขิมไปเถอะอย่าไปห้ามลูกเลย” หรรษธรปรามม่านหมอก นาน ๆ ทีลูกสาวจะได้มีเวลาอยู่กับแฟนสักที อีกหน่อยทั้งคู่ก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว
“ขิมไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ” บอกคนรักแล้วเดินเข้าห้องไป
“จ้ะ”
เมื่อลูกสาวออกไปจนลับสายตา
“ฉันว่าไอ้หนุ่มคนนี้ดูไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่เลยว่ะ”
“แกคิดมาก ไม่มีไรหรอก เขารู้จักกับขิมมานานแล้ว”
ถึงหรรษธรพูดแบบนั้นแต่เขาก็ยังไม่คลายกังวลอยู่ดี เขาไม่ได้จับผิดจริง ๆ นะ มันแค่เกิดจากประสบการณ์ของเขาก็แค่นั้น
นวพัฒน์ขับรถออกมาตรงไปยังห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง
“ทำไมแต่งตัวมิดชิดจัง” ขับรถไปด้วยพลางมองแฟนสาวปกติเขาไม่เคยเห็นเธอสวมกางเกงยีนส์ขายาวและเสื้อเชิ้ตแขนยาวแบบนี้ ถึงแม้ว่าสวมใส่อะไรเธอจะดูสวยก็เถอะ ยังไงนวพัฒน์ก็มองว่ามันแปลกอยู่ดี
“กลัวเข้าไปในโรงหนังแล้วมันหนาวอะ หนุ่ยก็รู้ว่าขิมยังไม่หายดี” จะไม่ให้สวมมิดชิดได้อย่างไร รอยจ้ำตามไหล่มนและต้นขาเธอรอยเขี้ยวมันยังชัดเจนอยู่เลย
“บอกให้นอนพักก็ไม่เชื่อ”
“ไม่อยากอยู่บ้านน่ะ ขยับตัวบ้างอาจจะดีขึ้น”
พอเข้าไปในโรงหนังก็เป็นอย่างที่หรรษธรเดาไว้ไม่มีผิด ด้วยฤทธิ์ยาที่กัลยาทานเข้าไป และความอ่อนเพลียทำให้เธอหลับตั้งแต่หนังเพิ่งฉายไปเพียงห้านาทีจนหนังเกือบจะจบเรื่อง
ลืมตาขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรลูบอยู่ที่ขาของเธอ มือเล็กตะครุบเข้าที่มือนั้นอย่างรวดเร็ว
“หนังจบแล้วเหรอ” กัลยาเอ่ยถามแฟนพร้อมเลื่อนมือนั้นออกจากต้นขา
“ใกล้จบแล้ว ขิมนอนยาวเลยนะ”
ทั้งสองกระซิบคุยกันแค่นั้น รอจนหนังจบเรื่องค่อยเดินออกมา
“ขิมไปห้องหนุ่ยไหม”
“อือ ก็ดีเหมือนกัน ขิมยังไม่อยากกลับบ้าน” กลัวเจอหน้าคนใจร้าย
“งั้นเราสั่งข้าวไปกินที่ห้องหนุ่ยกันนะ”
“โอเคจ้ะ”
ขับรถไม่ถึงยี่สิบนาทีก็มาถึงห้องแฟนหนุ่ม
เข้ามาในห้องนวพัฒน์ก็โอบกอดแฟนสาวจากทางด้านหลัง
“อุ้ย หนุ่ยทำอะไร”
“ก็หนุ่ยคิดถึง ขอกอดให้ชื่นใจหน่อยนะ” ไม่ว่าเปล่าใช้จมูกไซ้ซอกคอของเธอด้วย แต่แปลกที่กัลยากลับรู้สึกจักจี้มากกว่าที่จะรู้สึกวาบหวาม มันต่างจากกับใครอีกคนที่เธอกำลังหลบหน้าเขาอยู่ และอีกไม่นานเขาก็คงจะกลับกรุงเทพฯ และไม่มากวนใจเธออีก
“หนุ่ยพอแล้วขิมไม่สบายอยู่น้า”
“เกี่ยวอะไรกันเล่า”
“ก็ขิมอึดอัดไง”
“ขิม เราเป็นคู่หมั้นกันนะ เมื่อไหร่ขิมจะยอมเป็นของหนุ่ยซะที” น้ำเสียงหงุดหงิด รอมาตั้งหลายปี แค่จูบกันก็ยังไม่เคย
“ก็หลังแต่งงานงานไง ขิมเคยบอกหนุ่ยแล้วนี่”
“โธ่ ให้รอนานจัง” นวพัฒน์ทั้งกอดทั้งหอมแฟนสาว จนเธอต้องเบนหน้าหนี
“อื้อ รอมาตั้งหลายปีแล้วรออีกหน่อยจะเป็นไรไป” พูดพร้อมแกะมือเขาออก แล้วเดินไปหยิบจานชามมาใส่อาหาร เรื่องนี้พ่อของเธอเคยขอร้องไว้ตั้งแต่เธอได้หมั้นหมายกับนวพัฒน์ อีกใจนึงก็รู้สึกผิดต่อแฟนที่ไม่สามารถรักษาสิ่งที่หวงแหนที่สุดไว้เพื่อเขาได้
“ขิมใจร้ายอ่า”
“ไม่หรอก ถ้าหนุ่ยรักขิมจริงหนุ่ยก็ต้องรอได้สิ” พูดออกไปทั้งที่ในใจก็ไม่มั่นใจตัวเองเหมือนกันว่ายังอยากแต่งงานกับคู่หมั้นหรือเปล่า นึกตำหนิตัวเองในใจว่ากลายเป็นผู้หญิงโลเลไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ทานข้าวด้วยกันเสร็จกัลยาเห็นว่าห้องของแฟนหนุ่มรกจึงอยากจะทำความสะอาดให้ ซึ่งนวพัฒน์ก็ไม่ขัด เขาก็อยากให้เธอทำให้เหมือนกัน เพราะปูรดามาทุกครั้งก็ไม่ค่อยสนใจทำความสะอาดห้องสักเท่าไหร่
ล้างจานเก็บเรียบร้อยกัลยาเริ่มทำความสะอาดห้องครัวก่อน เรื่อยไปห้องรับแขกและห้องนอนเป็นลำดับสุดท้าย จนสายตาไปสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งในห้องนอนของนวพัฒน์
‘เส้นผมใคร’ เกิดคำถามขึ้นในใจหัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากัน และนั่นมันก็ไม่ใช่เส้นผมของหล่อนอย่างแน่นอน ไม่ได้เอะอะโวยวายแต่กลับยัดเส้นผมเส้นนั้นใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วทำความสะอาดต่ออย่างเนียน ๆ ลองมองหาสิ่งอื่นแต่ก็ยังดีที่ไม่เจอ
ไม่ มันคงไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอกนะ แล้วถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ล่ะ เธอต้องรู้สึกอย่างไร หรือว่าเป็นเส้นผมของแม่หรือพี่สาวของเขา
ตลอดเวลาที่คบกันมาห้าปี หลังจากหมั้นหมายกันเสร็จ ห่างกันช่วงแรก ๆ ทั้งสองคุยกันทุกวันวันละหลายชั่วโมง แต่เมื่อหนึ่งปีให้หลัง ทั้งสองเหมือนห่างกันมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะเรียนหนักทั้งคู่ หรือมันมีอย่างอื่นแฝงอยู่เธอก็ไม่อาจรู้ได้
เธอจะทำอย่างไรถึงจะรู้ความจริงข้อนี้ล่ะ
“หนุ่ย แม่กับพี่นิดได้มาหาที่คอนโดบ้างรึเปล่า” ตัดสินใจถามออกไป
“ไม่นี่ ทำไมเหรอ ขิมอยากเจอหรือว่ายังไง”
