บทที่ 7 เสียใจ
“มีนิดหน่อยครับพ่อ แต่พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมคิดว่าผมแก้ปัญหานี้ได้” เขายังไม่อยากพูดอะไรมากในตอนนี้ จนกว่าจะได้เจอกับกัลยา ยังไม่รู้ว่าเธอจะยอมคุยกับเขาหรือไม่ด้วยซ้ำ
“นิดหน่อยแล้วทำไมไปนานจังล่ะหมอก” กมลพรรณถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้เขาจะโตมากแค่ไหนแต่แม่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ยิ่งตกตอนเย็นเขาชอบนั่งดื่มคนเดียว ผู้เป็นแม่ก็อดกังวลไม่ได้
“ผมกะว่าจะไปพักผ่อนด้วยน่ะครับ ฝากน่านดูงานทางนี้แทนผมด้วยนะครับ” กล่าวเสียงเรียบเรื่อย
“อือ พ่อจะบอกน้องให้” กัมปนาทบอก ทางนี้ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะการทำงานของน่านฟ้าก็สูสีกับม่านหมอก งานเอกสารทุกอย่างท่านรองประธานอย่างน่านฟ้าก็สามารถเซนแทนม่านหมอกได้
“แล้วจะเดินทางวันไหน”
“วันนี้ครับ”
“เฮ้ย! ทำไมด่วนขนาดนั้น” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
“ครับพ่อ คือผมอยากไปถึงโรงงานเร็ว ๆ เองแหละครับจะได้รีบเข้าไปเคลียร์งาน” เคลียร์งานหรือเคลียร์อะไรเอาให้แน่
“อย่างนั้นก็ให้ลุงเพิ่มไปส่ง”
“ครับผม”
ทานข้าวเสร็จก็เดินกลับมาเก็บกระเป๋าเตรียมเดินทาง
“คุณหมอกคะป้าหาผ้าปูที่นอนไม่เจอค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับป้า ปูผืนใหม่ได้เลยครับ”
“ค่ะ” แล้วผืนนั้นล่ะมันหายไปไหน
“คุณหมอกจะไปไหนหรือคะ” เห็นเขาถือกระเป๋าเดินทางออกมาก็แปลกใจ
“ไปอีสานครับ ฝากป้าดูแลบ้านด้วยนะครับ รอบนี้ผมน่าจะไปนานหน่อย”
“ได้ค่ะ คุณหมอกหายป่วยแล้วหรือคะ”
“ดีขึ้นแล้วครับ”
“พกยาติดตัวหน่อยก็ดีนะคะ”
“ก็ได้ครับ วานป้าหยิบให้ผมที”
ได้ยาจากป้านวลแล้วก็รีบออกเดินทางทันที หากช้าไปกว่านี้จะยิ่งไม่ได้การ
ณ สนามบินแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด
กัลยาโผเข้าไปกอดผู้เป็นพ่อ เมื่อเช้าเธอบอกเพื่อนที่พักอยู่ห้องเดียวกันว่าต้องรีบกลับบ้านด่วน
“ไหนบอกว่าจะให้หนุ่ยมารับไง”
“หนุ่ยติดสอบน่ะค่ะขิมไม่อยากรบกวนเขา” ความจริงเธอไม่ได้บอกคู่หมั้นว่าเธอกลับมาวันนี้ด้วยซ้ำ เพราะจิตใจเธอยังไม่พร้อมที่จะคุยกับใคร ตั้งแต่ออกจากบ้านหลังนั้นมาสมองเธอมันก็คิดฟุ้งซ่านตลอด เธอตัดสินใจกลับบ้านด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย
“เหนื่อยไหม?”
“ไม่เหนื่อยค่ะพ่อ” พูดเสียงสั่นเครือ เพราะเธอกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว เธอเจ็บและอัดอั้นตันใจกับเรื่องที่ไม่สามารถบอกกับใครได้
จับไหล่ลูกสาวผละห่างออก เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นไห้ คิ้วเข้มขมวดมุ่น
“ขิมร้องไห้ทำไม ฮึ” ถามลูกสาวด้วยความตกใจ กัลยาไม่ใช่คนที่จะร้องไห้กับอะไรง่ายๆ แต่เจอหน้าพ่อแค่นี้ทำไมถึงร้องได้
“เปล่าค่ะพ่อ ขิมแค่ดีใจที่ได้เจอพ่อค่ะ” กัลยากล่าวคำเท็จออกมา ดีใจที่ได้เจอพ่อก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่มีมากกว่านั้นคือเธอต้องการกำลังใจ การสอบเสร็จและเรียนจบมันคือความยินดีที่สุดสำหรับเธอในคราแรก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันกลับกลายเป็นตราบาปและแผลในใจเธอจนมันกลบความสุขของเธอไปเสียทุกเรื่อง
“โธ่ ขิมลูกพ่อ” หรรษธรเข้าใจตามคำที่ลูกสาวพูด เพราะเธอเข้าไปเรียนกรุงเทพฯเพียงลำพังตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมปลายและไม่ค่อยได้กลับบ้าน จึงเข้าใจว่าคำพูดของลูกคือความจริงทั้งหมด
“ไม่เป็นไรแล้วนะ พ่ออยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ร้องนะ” ปลอบลูกสาวด้วยความรักใคร่
มารดาของเธอจากไปตั้งแต่ยังแบเบาะกัลยาก็อยู่กับพ่อมาโดยตลอด หรรษธรจึงเป็นเหมือนทั้งพ่อและแม่ในคนเดียวกัน อีกทั้งยังเคยมีม่านหมอกและมธุสรที่เป็นเหมือนพ่อและแม่อีกคน แต่ตอนนี้ความรู้สึกเธอที่มีต่อม่านหมอกมันคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“กลับบ้านเราเถอะค่ะพ่อ ขิมอยากพักผ่อนแล้วค่ะ”
“โอเคจ้ะ ดูหน้าซีดๆ นะเราอะ”
“ค่ะพ่อ ขิมอ่านหนังสือหนักติดต่อกันหลายคืนน่ะค่ะ ก็เลยไม่ค่อยได้พักผ่อน” กัลยาเป็นคนที่ตั้งใจเรียนมากและเป็นเด็กเรียนดีมาโดยตลอด แต่ต้นเหตุของความหน้าซีดไม่ได้มาจากการอ่านหนังสือสักนิด
“พ่อแวะร้านขายยาให้ขิมแป๊บนึงนะคะ” บอกพ่อตอนที่เข้ามานั่งในรถเรียบร้อย
“ไม่สบายเหรอ”
“มึนหัวนิดหน่อยค่ะ”
“ยาแก้ปวดที่บ้านเราก็มีนะ”
“เอ่อ ขิมจะซื้อยาบำรุงด้วยค่ะ” ไม่ใช่แค่ยาบำรุง เธอต้องซื้อยาอย่างอื่นเพื่อไม่ให้เธอเกิดการตั้งครรภ์กับคนที่ไม่สามารถจะมาเป็นพ่อของลูกเธอได้ด้วย เธอไม่ได้นับว่าเมื่อคืนเขาปลดปล่อยธารร้อนเข้าในกายเธอกี่ครั้ง มันอาจจะเกินจริงไปหน่อยแต่เขาไม่ได้ปล่อยให้เธอพักเลย
“โอเคจ้า” เอามือยีผมลูกสาวด้วยความรัก หรรษธรสังเกตเห็นว่าลูกสาวกลับบ้านรอบนี้ทำไมเธอถึงดูไม่มีความสุขเท่าที่ควร
ภายในบ้านชั้นเดียวหลังใหญ่ที่ตกแต่งไว้อย่างทันสมัย
“สวัสดีค่ะน้าสร้อย” ยกมือไหว้แฟนใหม่ของพ่อ ซึ่งทั้งสองเพิ่งคบกันได้ไม่ถึงปีแต่สร้อยสุดาก็ย้ายเข้ามาอยู่กับพ่อของเธอหลายเดือนแล้ว เธอเป็นทั้งผู้ช่วยผู้จัดการร้านทองของพ่อและเป็นทั้งคนรักของเขาด้วย
“หวัดดีจ้ะ” สร้อยสุดารับไหว้ ถึงกัลยาจะยังไม่ค่อยยอมรับนักแต่เธอก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของพ่อ เธอไม่ค่อยพอใจที่สร้อยสุดาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เด็กที่โตมากับพ่อเพียงสองคนย่อมทำใจยอมรับได้ยากหากวันหนึ่งจะมีผู้หญิงอีกคนเข้ามาแย่งความรักจากพ่อของเธอไป
กัลยาวางกระเป๋า เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบนมและขนมปังเสร็จแล้วก็เดินเข้าห้องตัวเอง
“ขิมไม่กินข้าวก่อนเหรอลูก”
“ไม่ค่ะพ่อ ขิมไม่ค่อยหิวค่ะ ขอนอนพักก่อนนะคะ” ในใจของเธอตอนนี้มันร่ำไห้อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เธอตื่นนอนออกจากบ้านม่านหมอกมาแล้ว ความรู้สึกมันมากกว่าคำว่าเสียใจ
“อย่าลืมกินยานะขิม”
“ค่ะพ่อ”
เข้าไปในห้องหญิงสาวก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง เธอเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
เปลี่ยนชุดไปร้องไห้ไปแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ มองเห็นรอยจ้ำตามตัวโดยเฉพาะขาอ่อนด้านในทั้งสองข้างนั้น มันมีรอยดูดรอยเขี้ยวเต็มไปหมด เนินอกอวบขาวของเธอก็เช่นกัน ยิ่งเห็นน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด กัลยาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำเกือบชั่วโมง ใช้น้ำจากฝักบัวล้างน้ำตาที่มันรินไหลออกมาเป็นทาง
ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงได้มาเกิดขึ้นกับเธอ ชีวิตเธอดีมาตลอดทำไมเธอต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วย เมื่อคืนม่านหมอกเมาจนไม่ได้สติ เขาคงจำอะไรไม่ได้ แต่เธอนี่สิ สติยังอยู่ครบทุกอย่างและจดจำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความรู้สึกตอนที่เขาโอบกอดเธอ ถาโถมใส่กายเธอและพร่ำบอกเธอ แต่คำพูดเหล่านั้นม่านหมอกไม่ได้พูดกับเธอ เขาพูดกับมธุสร
