บทที่4
การรับประทานอาหารเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ จนกระทั่งสินธุ์รวบช้อนเข้าหากันก่อนจะลุกขึ้นเดินออกมาจากบ้าน นั่นเองบราลีถึงได้รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามเขาออกมา เพราะมีเรื่องที่อยากขออนุญาต
“คุณสินธุ์คะ” หญิงสาวตัดสินใจร้องเรียกสามีเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้ทันขึ้นรถแล้วขับจากไป
“อะไร”
“เย็นนี้มีงานวัด ลีขอไปเดินเล่นกับเงาะได้ไหมคะ” แม้ว่าจะโตพอที่จะตัดสินใจอะไรต่อมิอะไรเองได้แล้ว แต่ทุกครั้งที่จะไปไหนมาไหนบราลีก็ยังต้องขออนุญาตสามีอยู่ทุกครั้ง
เธอเชื่อว่าภรรยาที่ดีควรบอกกับสามีในทุกเรื่องไม่ว่าจะไปทำอะไรที่ไหนกับใครถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยทำแบบนี้กับเธอเลยสักครั้งก็เถอะ
“กลับกี่โมง” เสียงเข้มย้อนถามก่อนจะลอบมองใบหน้าอ่อนหวานอย่างชั่งใจ
“ไม่เกินสามทุ่มค่ะ ได้ไหมคะ” ตอบไปแล้วหัวใจของหญิงสาวก็เต้นกระหน่ำเพราะกลัวสามีจะไม่อนุญาต แต่ไม่นานก็ยิ้มออกเมื่อสินธุ์พยักหน้ากลับมาเบาๆก่อนที่เขาจะกระโดดขึ้นรถแล้วขับออกจากบ้านไป
ความสุขในชีวิตของบราลีจางหายไปอย่างรวดเร็วก่อนที่ความหนักใจปรากฏตัวขึ้นแทนพร้อมๆ กับมารดาที่มักจะมาหากันเมื่อปรารถนาต่อบางสิ่ง บางสิ่งที่ทำให้เธอต้องแลกมาด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นคนทุกครั้ง
“ฉันต้องการเงินหนึ่งแสน” ชิดชบาตวาดลั่นถึงยอดเงินที่ตนเองต้องการเมื่อพบหน้าลูกสาวคนโต ที่ไม่ต่างกับบ่อเงินบ่อทองของตัวเอง
“ลีไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอกค่ะแม่” สิ้นคำตอบใบหน้าอ่อนหวานก็ถูกตบอย่างรุนแรงด้วยฝีมือของมารดาที่ไม่เคยแสดงความรักต่อเธอเลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะเธอคือลูกรักของพ่อ ซึ่งเมื่อพ่อตายไปพร้อมกังฃบทิ้งหนี้สินเอาไว้ให้ครอบครัวที่เหลือต้องชดใช้แม่จึงลงความเกลียดทั้งหมดไว้ที่เธอแทน
“อีโง่ ไม่มีแกก็ไปขอผัวแกมาให้ฉันสิวะ! ฉันให้เวลาแกสามวัน ถ้าภายในสามวันแกไม่มีเงินมาให้ฉันฉันจะเอานังหวานไปขายที่บ่อน!” อีกฝ่ายทิ้งไพ่ใบสุดท้ายเอาไว้เหมือนทุกครั้งก่อนจะเดินกลับไปคร่อมมอไซค์คันเก่าที่มีประสานสามีใหม่นั่งรออยู่ สายตาไม่น่าไว้ใจของอีกฝ่ายที่มองกันทำให้บราลีต้องเบือนหน้าหนี รู้สึกไม่ถูกชะตากับผู้ชายคนนั้นแต่ก็พูดอะไรไม่ได้เพราะคำพูดเธอไม่เคยมีค่าพอไม่ว่าจะกับแม่หรือกับใครก็ตาม
จะห่วงก็แต่น้องสาวที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร…
เพราะความเป็นห่วงทำให้บราลีตัดสินใจนัดให้ดาริกาน้องสาวออกมาพบเพราะอยากจะรู้ความเป็นไปภายในบ้าน อีกทั้งเธออยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าน้องสาวของเธอยังปลอดภัยดีอยู่
“พี่อยากให้หวานย้ายไปอยู่กับพี่ นะหวาน เดี๋ยวพี่จะพูดกับคุณสินธุ์ให้” เป็นอีกครั้งที่บราลีพูดเรื่องนี้กับน้องสาว เธอเป็นห่วงดาริกา ไม่อยากให้อยู่ในบ้านที่มีผู้ชายคนนั้นอยู่ด้วย หากเป็นไปได้อยากเอาน้องไปอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยๆ เธอจะได้ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจเหมือนในตอนนี้
“ไม่เอาหรอกพี่ลี บ้านของคุณสินธุ์ไกลจากมหาลัยของหวานตั้งเยอะ พี่ลีไม่ต้องเป็นห่วงนะ หวานเอาตัวรอดได้ ว่าแต่พี่เถอะ ครั้งนี้แม่ไปหาเรื่องอีกแล้วใช่ไหม”
ดาริกาเอ่ยขึ้นพร้อมจ้องมองริมฝีปากของพี่สาวด้วยความสงสาร ใช่ว่าเธอจะไม่เคยโดน แต่เหมือนพี่สาวจะโดนบ่อยกว่าเพราะคือคนที่มารดามักจะเข้าไปหาประโยชน์เอาด้วยได้ต่างจากตัวเธอที่ยังเรียนอยู่
“พี่ไม่เป็นไรหรอกหวาน ว่าแต่เราเถอะเรื่องเรียนไปถึงไหนแล้ว” เพราะไม่อยากให้น้องเป็นห่วง จึงไม่คิดเล่าถึงเงินที่มารดาต้องการให้ฟัง
ด้วยคิดเอาเองว่าเธอจัดการกับเรื่องนี้ได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะต้องแลกมาด้วยบางสิ่งก็ไม่เป็นไร
“ปลายเดือนนี้ก็สอบปิดเทอมใหญ่แล้วค่ะ พี่ลีไม่ต้องห่วงนะ หวานจะตั้งใจเรียนให้สมกับที่พี่ลีส่งให้หวานเรียน” บราลียิ้มเมื่อได้ยิน เธออยากเห็นน้องมีชีวิตที่ดี อย่างน้อยก็ต้องดีกว่าเธอที่ต้องแต่งงานทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองให้เป็นจริง ซ้ำร้ายกว่านั้นยังเป็นที่เกลียดชังของเจ้าบ่าว คงไม่มีใครจะโชคร้ายเท่าเธอได้อีกแล้วบนโลกนี้
ไม่มีแล้วจริงๆ
เพราะคำขู่ของมารดาที่ทิ้งเอาไว้ทำให้หญิงสาวหมดสนุกที่จะไปเดินเที่ยวงานวัด เธอจำต้องปฏิเสธเงาะไปซึ่งอีกฝ่ายก็เข้าใจไม่ได้ซักหาเหตุผลให้ต้องลำบากใจ หญิงสาวทำหน้าที่คอยเปิดบ้านให้สามีแทนหญิงชราที่บ่นว่าปวดหัวเธอจึงให้แกไปพักผ่อน ก่อนจะออกมายืนรอรับสินธุ์ที่หน้าบ้านอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่
กระทั่งเมื่อเห็นไฟจากรถของเขาจึงพยายามก้มหน้าไว้ และหวังว่าเขาจะเดินผ่านกันไปเหมือนอย่างทุกๆ ครั้งที่ชอบทำ แต่ทว่าเธอคิดผิด
“หน้าไปโดนอะไรมา!”
แม้จะพยายามหลบแค่ไหน แต่สุดท้ายความผิดปกติบนใบหน้าภรรยาก็ไม่อาจคาดสายตาของสินธุ์ไปได้ เขาถามก่อนจะรั้งต้นแขนคนที่ตั้งท่าจะเดินหนีไว้ ไม่ยอมปล่อยให้เธอไปง่ายๆ เพราะยังไม่ได้คำตอบ
“มะ…ไม่มีอะไรคะ”
“เชื้อตอแหลนี่คงได้มาจากแม่สินะ!”
