ตอนที่ ๒: สัมผัสแห่งความเย็นเยียบ
ความเงียบปกคลุมห้องบรรทมอีกครั้งภายหลังบทสนทนาสั้นๆ นั้น องค์หญิงเฟิ่งหลันยังคงจ้องมองซูเหมยด้วยดวงตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ราวกับกำลังประเมินค่าของหมอหลวงหนุ่มผู้นี้
ซูเหมยค่อยๆ เข้าไปนั่งข้างเตียงอย่างระมัดระวัง นางสังเกตพระอาการภายนอกอย่างละเอียด พระวรกายขององค์หญิงดูผ่ายผอมกว่าที่ควรจะเป็น แม้จะอยู่ภายใต้ผ้าแพรเนื้อดี ผิวพรรณขาวซีดจนน่าตกใจ และอุณหภูมิร่างกายที่เย็นเยียบผิดปกติ
"ขอพระอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ" ซูเหมยเอ่ยขอ ก่อนจะค่อยๆ แตะปลายนิ้วลงบนข้อมือที่สวมกำไลหยกเย็นเยียบนั้นอีกครั้ง นางตั้งสมาธิจดจ่อกับการสัมผัสชีพจร ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงการเต้นที่แผ่วเบาและไม่สม่ำเสมอ ราวกับหัวใจดวงน้อยกำลังอ่อนแรงลงทุกขณะ
ขณะที่ซูเหมยตรวจชีพจรอยู่นั้น นางลองใช้พลังจิตสัมผัสเบาๆ เข้าไปในร่างกายขององค์หญิง ความรู้สึกเย็นเยียบที่แผ่ซ่านออกมานั้นรุนแรงกว่าที่คาดคิด มันมิใช่เพียงความเย็นจากภายนอก หากแต่เป็นความเย็นที่แทรกซึมลึกเข้าไปถึงกระดูก ราวกับมีน้ำแข็งเกาะกุมอวัยวะภายใน
ทันใดนั้นเอง ภาพบางอย่างก็แวบเข้ามาในความคิดของซูเหมย มันเป็นภาพของดอกไม้สีดำสนิท กลีบดอกบิดเบี้ยวราวกับถูกความมืดมิดกัดกิน ภาพนั้นปรากฏขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีแล้วก็เลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกประหลาดและคำถามมากมาย
ซูเหมยชักมือกลับอย่างรวดเร็ว นางเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยภายใต้หน้ากากทองคำยังคงจ้องมองมาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
"พระอาการขององค์หญิง..." ซูเหมยเริ่มต้นด้วยความระมัดระวัง "พระวรกายเย็นผิดปกติ ชีพจรแผ่วเบา... แต่ข้าน้อยสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในพระโลหิต มัน..."
"มันคือคำสาป" องค์หญิงตรัสแทรกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับกำลังกล่าวถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ "เจ้าคงเคยได้ยินมาบ้างแล้ว"
ซูเหมยพยักหน้าช้าๆ "พ่ะย่ะค่ะ แต่ข้าน้อย..."
"เจ้าคิดจะรักษาข้าหรือ?" องค์หญิงเอียงพระเศียรเล็กน้อย หน้ากากทองคำสะท้อนแสงเทียนริบหรี่ "ไม่มีใครทำได้หรอก คำสาปนี้ฝังลึกเกินกว่าที่หมอธรรมดาจะเยียวยา"
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่ายและสิ้นหวัง หากแต่ซูเหมยกลับสัมผัสได้ถึงความปรารถนาเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเย็นชานั้น
"ข้าน้อยมิใช่หมอธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ" ซูเหมยกล่าวด้วยความมั่นใจ "ตระกูลของข้าน้อยสืบทอดวิชาแพทย์โบราณมาหลายชั่วอายุคน ข้าน้อยอาจมีหนทาง..."
องค์หญิงเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังชั่งใจ "เจ้ามั่นใจเพียงใด?"
"ข้าน้อยจะทำทุกวิถีทางพ่ะย่ะค่ะ" ซูเหมยตอบอย่างหนักแน่น "หากองค์หญิงทรงอนุญาต ข้าน้อยขอตรวจพระอาการอย่างละเอียดอีกครั้ง"
องค์หญิงทรงพยักพระพักตร์เล็กน้อย เป็นสัญญาณอนุญาต
ซูเหมยเริ่มการตรวจพระอาการอย่างละเอียด นางสังเกตสีพระพักตร์ ลิ้น และดวงตา สัมผัสตามจุดต่างๆ บนร่างกายอย่างเบามือ พยายามเชื่อมโยงความรู้ทางการแพทย์ที่ร่ำเรียนมากับความรู้สึกประหลาดที่สัมผัสได้จากพลังจิตของตนเอง
ขณะที่ซูเหมยตรวจพระอาการอยู่นั้น นางสังเกตเห็นลวดลายสลักเสลาที่ขอบหน้ากากทองคำ มันเป็นลวดลายที่ดูโบราณและซับซ้อน คล้ายกับอักขระบางชนิดที่นางเคยเห็นในตำราโบราณของตระกูล
"หน้ากากนี้..." ซูเหมยเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ "ทรงสวมมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?"
"ตั้งแต่ข้าจำความได้" องค์หญิงตอบเสียงแผ่ว "มันคือส่วนหนึ่งของข้าไปแล้ว"
ซูเหมยพยักหน้า นางสัมผัสได้ถึงความผูกพันที่องค์หญิงมีต่อหน้ากากนี้ มันมิใช่เพียงเครื่องปกปิด หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของตัวตน
การตรวจพระอาการดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ ซูเหมยพยายามรวบรวมข้อมูลทุกอย่าง เชื่อมโยงอาการภายนอกกับพลังงานเย็นเยียบที่สัมผัสได้ และภาพดอกไม้สีดำที่แวบเข้ามาในความคิด
"ข้าน้อยพอจะวินิจฉัยพระอาการเบื้องต้นได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ" ซูเหมยกล่าวหลังจากตรวจพระอาการเสร็จสิ้น
"ว่ามา" องค์หญิงตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"พระอาการขององค์หญิงมิได้เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บธรรมดา หากแต่เป็นผลมาจากพลังงานบางอย่างที่แทรกซึมอยู่ในพระวรกาย มันกดทับการไหลเวียนของพระโลหิตและพลังชีวิต ทำให้พระวรกายเย็นเยียบและอ่อนแอลงเรื่อยๆ" ซูเหมยอธิบายอย่างระมัดระวัง
"แล้วเจ้าจะรักษาข้าได้อย่างไร?"
"ข้าน้อยเชื่อว่าพลังงานนั้นมีความเชื่อมโยงกับคำสาปโบราณ ข้าน้อยต้องการศึกษาตำราโบราณของราชวงศ์ และสมุนไพรพิเศษบางชนิดที่อาจมีฤทธิ์ในการต้านทานพลังงานนั้น" ซูเหมยตอบอย่างตรงไปตรงมา
องค์หญิงเงียบไปนาน ราวกับกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
"ตำราโบราณของราชวงศ์... มิใช่สิ่งที่ผู้ใดจะเข้าถึงได้ง่ายนัก"
"ข้าน้อยทราบดีพ่ะย่ะค่ะ แต่หากองค์หญิงทรงประสงค์ที่จะหายจากพระอาการ ข้าน้อยคิดว่านี่อาจเป็นหนทางเดียว"
ในที่สุด องค์หญิงก็ถอนพระทัยแผ่วเบา "ข้าจะให้เจ้าลองดู แต่หากเจ้าทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง เจ้าจะต้องรับผิดชอบ"
"ข้าน้อยน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ" ซูเหมยคุกเข่าลงด้วยความเคารพ โอกาสแรกในการเข้าใกล้ความจริงและช่วยเหลือองค์หญิงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
หลังจากนั้น ซูเหมยได้รับอนุญาตให้เข้าถึงหอสมุดโบราณของวังหลวง สถานที่ที่เก็บรวบรวมตำราและบันทึกเก่าแก่ของราชวงศ์ นางใช้เวลาหลายวันหลายคืนศึกษาตำราต่างๆ อย่างละเอียด พยายามค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างคำสาปโบราณ พลังเวท และสมุนไพรพิเศษ
ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างซูเหมยและองค์หญิงเฟิ่งหลันก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป องค์หญิงเริ่มเปิดใจพูดคุยกับซูเหมยมากขึ้น เล่าถึงความโดดเดี่ยวและความทุกข์ทรมานที่ต้องเผชิญภายใต้หน้ากากทองคำ ซูเหมยเองก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและความโหยหาอิสรภาพที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเย็นชาขององค์หญิง
คืนหนึ่ง ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องนวล ซูเหมยนำสมุนไพรหายากชนิดหนึ่งมาถวายองค์หญิง มันเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนแรง นางหวังว่ามันจะช่วยปรับสมดุลพลังงานในร่างกายขององค์หญิงได้
เมื่อองค์หญิงทรงดื่มชาสมุนไพรนั้นเข้าไป พระวรกายที่เคยเย็นเยียบก็เริ่มมีความอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย พระพักตร์ที่เคยซีดเซียวก็ดูมีเลือดฝาดมากขึ้น
"เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสมุนไพรนี้จะช่วยข้าได้?" องค์หญิงตรัสถามด้วยความประหลาดใจ
"ข้าน้อยศึกษาจากตำราโบราณของตระกูลพ่ะย่ะค่ะ" ซูเหมยตอบด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย "มันมีฤทธิ์ในการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและปรับสมดุลพลังงาน"
องค์หญิงจ้องมองซูเหมยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ความเย็นชาเริ่มจางหายไป เหลือไว้เพียงความสงสัยและความสนใจ
"เจ้า... แตกต่างจากหมอหลวงคนอื่นๆ จริงๆ"
"ข้าน้อยเพียงแต่ทำในสิ่งที่ข้าน้อยเชื่อมั่นพ่ะย่ะค่ะ"
ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากความเย็นเยียบ ค่อยๆ ก่อตัวเป็นความอบอุ่นและความไว้วางใจ ราวกับดอกไม้ที่ค่อยๆ ผลิบานในคืนที่เงียบสงัด...
