บทย่อ
ภายใต้หน้ากากทองคำซ่อนเร้นโฉมงามต้องสาป ภายใต้ชุดขุนนางบุรุษซ่อนเร้นความลับและการแก้แค้น เมื่อโชคชะตานำพาให้องค์หญิงผู้เย็นชามาพบกับหมอหลวงหนุ่มผู้มีปมในใจ ม่านแห่งความรักและความลับใต้แสงจันทร์จึงค่อยๆ เปิดออก ท่ามกลางวังวนแห่งอำนาจ คำสาป และปริศนาที่รอการไข...
ตอนที่ ๑: รอยเงาบนผ้าไหม
แสงตะวันยามเช้าสาดส่องลอดลายฉลุบนบานหน้าต่างไม้ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วแว่วมาแผ่วเบา หากแต่ในห้องอันเงียบสงัดกลับอบอวลด้วยไอเย็นยะเยือกที่มิได้มาจากสภาพอากาศ ซูเหมยในชุดคลุมสีขาวสะอาดตาของแพทย์ฝึกหัด ยืนอยู่หน้าโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์และตำรายาสมุนไพร ดวงตาสีดำขลับของนางจดจ่ออยู่กับแผ่นผ้าไหมบางเบาที่วางอยู่เบื้องหน้า
บนผืนผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์ ปรากฏรอยคราบสีน้ำตาลเข้มจางๆ คล้ายรอยไหม้ หากแต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนกลับพบว่ามันคือร่องรอยของโลหิตที่แห้งกรังเป็นเวลานาน รูปทรงของคราบเลือดนั้นบิดเบี้ยวไร้ทิศทาง ราวกับเจ้าของเลือดได้ทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดก่อนสิ้นลมหายใจ
ซูเหมยสัมผัสรอยเปื้อนนั้นด้วยปลายนิ้วอย่างเบามือ ความทรงจำอันเจ็บปวดย้อนกลับมา ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ภาพบิดาผู้เปี่ยมเมตตาและมารดาผู้มีรอยยิ้มแสนอบอุ่นค่อยๆ เลือนรางไป เหลือเพียงความทรงจำอันพร่าเลือนของเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ และร่างสองร่างที่นอนแน่นิ่งท่ามกลางซากปรักหักพัง ข้อกล่าวหาที่ว่าตระกูลซูสมคบคิดกบฏยังคงก้องอยู่ในหู ราวกับเสียงกระซิบของปีศาจร้าย
กำมือแน่นจนเล็บจิกฝ่ามือ ซูเหมยสูดลมหายใจลึกเพื่อควบคุมอารมณ์ นางมิได้มาที่นี่เพื่อจมดิ่งสู่ความเศร้าโศก หากแต่เพื่อค้นหาความจริง เพื่อล้างมลทินให้ตระกูล และเพื่อทวงคืนความยุติธรรมที่ถูกพรากไป การปลอมตัวเป็นชายหนุ่มนาม "ซูอี้" คือเกราะกำบังเดียวที่นางมีในวังวนอำนาจแห่งนี้
เสียงเคาะประตูแผ่วเบาดังขึ้น ขัดจังหวะความคิดของซูเหมย
"คุณชายซู ท่านหมอหลวงหลี่เรียกพบขอรับ" ขันทีน้อยผู้หนึ่งกล่าวด้วยความเคารพ
ซูเหมยพยักหน้า เก็บแผ่นผ้าไหมที่มีร่องรอยปริศนาลงในหีบไม้เล็กอย่างระมัดระวัง นางรู้ดีว่าการเข้ามาในวังหลวงโดยปราศจากผู้สนับสนุนนั้นอันตรายยิ่งนัก โชคดีที่ก่อนหน้านี้ นางได้รับการช่วยเหลือจาก หลี่เฟิงหยู หมอหลวงอาวุโสผู้เคยเป็นสหายสนิทของบิดา นางหวังว่าท่านหมอหลี่จะสามารถให้คำแนะนำและชี้แนะหนทางในวังวนแห่งอำนาจนี้ได้
เมื่อซูเหมยก้าวเข้าไปในห้องทำงานของหมอหลวงหลี่ กลิ่นสมุนไพรนานาชนิดก็อบอวลจนรู้สึกได้ถึงความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ท่านหมอหลวงหลี่ในวัยชรา ผมขาวโพลนแต่ดวงตายังคงเฉียบคม กำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะที่เต็มไปด้วยตำรายา
"อาอี้ มาแล้วหรือ" ท่านหมอหลวงหลี่ทักทายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม "ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีความสามารถในการวินิจฉัยโรคที่ไม่ธรรมดา"
"ท่านหมอหลวงกล่าวเกินไปแล้วขอรับ ข้าเพียงแต่ตั้งใจศึกษาตำราที่ท่านพ่อเคยสอน" ซูเหมยตอบด้วยความนอบน้อม
"ความถ่อมตนเป็นคุณสมบัติที่ดี แต่เจ้าต้องมีความมั่นใจในความสามารถของตนเองด้วย" ท่านหมอหลวงหลี่กล่าวพลางลุกขึ้นยืน "วันนี้ ข้ามีงานสำคัญที่จะมอบหมายให้เจ้า"
หัวใจของซูเหมยเต้นระรัว นางรอคอยโอกาสนี้มานาน
"องค์หญิงห้า เฟิ่งหลัน ทรงมีอาการประชวรมาหลายวัน เหล่าหมอหลวงหลายคนพยายามถวายการรักษาแล้วแต่พระอาการกลับไม่ดีขึ้น พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้เจ้าเข้าไปตรวจพระอาการ"
คำกล่าวของท่านหมอหลวงหลี่ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจ ซูเหมยพยายามเก็บซ่อนความตกใจไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย "องค์หญิงห้า... พ่ะย่ะค่ะ"
"องค์หญิงมีพระอาการประหลาด พระวรกายเย็นเฉียบ ชีพจรแผ่วเบา แต่กลับไม่มีอาการป่วยไข้ทั่วไป" ท่านหมอหลวงหลี่กล่าวด้วยสีหน้ากังวล "เจ้าจงระมัดระวังตัวให้มาก องค์หญิงทรงเป็นบุคคลพิเศษ..."
คำว่า "พิเศษ" ของท่านหมอหลวงหลี่นั้นแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง ซูเหมยเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับองค์หญิงผู้สวมหน้ากากทองคำผู้นี้มาบ้างแล้ว ทั้งเรื่องคำสาปและพลังลึกลับที่ว่ากันว่าสืบทอดมาจากราชวงศ์
"ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ" ซูเหมยตอบด้วยความมุ่งมั่น
ท่านหมอหลวงหลี่มองหน้านางด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก "ข้ารู้ว่าเจ้ามีความแค้นอยู่ในใจ แต่อย่าให้ความแค้นนั้นบดบังวิจารณญาณของเจ้า จงจำไว้ว่าในวังหลวงแห่งนี้ อันตรายซ่อนอยู่ในทุกซอกทุกมุม แม้แต่ภายใต้แสงจันทร์ที่ดูเหมือนจะงดงามที่สุดก็ตาม"
คำเตือนของท่านหมอหลวงหลี่ดังก้องอยู่ในใจของซูเหมย ขณะที่นางเดินไปยังตำหนักจันทรา ที่ประทับขององค์หญิงห้า แสงแดดยามเช้าเริ่มแรงกล้าขึ้น ทว่าในใจของนางกลับรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่ปกคลุม ราวกับกำลังก้าวเข้าสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ดินแดนที่ความลับและความมืดมิดอาจซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ความงดงามภายนอก
ประตูตำหนักจันทราเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นความโอ่อ่าแต่เงียบเหงาภายใน กลิ่นธูปหอมประหลาดลอยคลุ้ง ราวกับพยายามขับไล่บางสิ่งบางอย่าง หรือปกปิดบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผย ซูเหมยก้าวเท้าเข้าไปอย่างระมัดระวัง สายตาจับจ้องไปยังร่างบอบบางที่นอนอยู่บนเตียงกว้าง ผ้าแพรสีม่วงเข้มคลุมร่างนั้นไว้มิดชิด สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือหน้ากากทองคำอร่ามที่ปกปิดใบหน้าครึ่งบนของผู้ที่นอนอยู่ แสงทองส่องประกายวาววับ ราวกับเป็นสัญลักษณ์ของความลึกลับและอำนาจที่ไม่อาจเข้าถึง
"คารวะองค์หญิง" ซูเหมยคุกเข่าลงตามธรรมเนียม เสียงของนางทุ้มนุ่มก้องกังวานอยู่ในความเงียบ
ไม่มีเสียงตอบรับ ร่างที่นอนอยู่บนเตียงยังคงนิ่งสนิท ราวกับหลับใหลอยู่ในห้วงภวังค์อันลึกซึ้ง
ซูเหมยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สังเกตเห็นมือเรียวที่วางอยู่บนผ้าห่ม ผิวขาวซีดราวกับหิมะ ปลายนิ้วเย็นเยียบราวกับสัมผัสกับน้ำแข็ง
"องค์หญิง..." ซูเหมยเอ่ยเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอง เปลือกตาที่ปิดสนิทก็ค่อยๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีดำสนิทคู่หนึ่งที่จ้องมองมาอย่างเย็นชาและไร้ความรู้สึก ราวกับดวงตาของตุ๊กตาที่ไร้ชีวิต
"เจ้า... คือหมอหลวงใหม่?" เสียงหวานเย็นชาดังลอดมาจากภายใต้หน้ากากทองคำ ราวกับเสียงกระซิบของลมหนาว
"พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ข้าน้อยซูอี้ได้รับพระบัญชาให้มาถวายการรักษา" ซูเหมยตอบด้วยความเคารพ ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่ดวงตาคู่สวยที่ไร้แววเหล่านั้น
"รักษาข้า..." องค์หญิงตรัสด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า "หากเจ้าทำไม่ได้... เจ้าจะต้องชดใช้"
คำขู่ที่แฝงมาในน้ำเสียงนั้นมิได้ทำให้ซูเหมยหวาดหวั่น นางมาที่นี่เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าความกลัว นางเงยหน้าขึ้น สบตากับดวงตาคู่เย็นชานั้นอย่างไม่หวั่นเกรง
"ข้าน้อยจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อถวายการรักษาองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ"
ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามาในยามค่ำคืน ม่านแห่งความลับและความรักกำลังจะค่อยๆ เปิดออก ณ ตำหนักอันเงียบเหงาแห่งนี้...

