บท
ตั้งค่า

๕ ปัญหาที่พานพบ (๒)

ภีมเดชทำได้แต่โทษตัวเองที่ไม่สามารถถีบตนให้ไปสูงกว่านี้ได้ เงินที่หามาก็ไม่ได้มากมายอย่างที่ภรรยาต้องการ ยิ่งตอนนี้อีกฝ่ายเอาไปลงที่บ่อน ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังมีแต่จะทำให้เรื่องราวบานปลายมากกว่าเดิม

เขาไม่เห็นหนทางที่ครอบครัวจะเป็นครอบครัว...แต่ก็ยังอยากรักษาผู้หญิงทั้งสองคนที่สำคัญกับตัวเองเอาไว้

“แต่ว่า” รั้งรอไม่กล้าไป กลัวว่ามารดาจะลงมาอาละวาดอีก แต่คนเป็นพ่อก็ทั้งผลักทั้งดันให้ร่างบางออกจากบ้านโดยเร็ว

“ไปเถอะ อยู่บ้านเดี๋ยวก็โดนดุหรอก รีบไปเร็ว” สุดท้ายเธอก็คว้าจักรยานแล้วปั่นไปยังร้านค้าแถวบ้านเพื่อซื้อของกินไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มักไปกับคนรักเสมอ ถึงตอนนี้เขาจะอยู่เมืองหลวงก็ตาม แต่เธอยังมีสร้อยรูปวัวเป็นของแทนใจ

อีกไม่นานก็จะได้แลกสร้อยคืนแล้ว...

ซื้อของออกมากลับพบคนที่คุ้นหน้าค่าตาเป็นอย่างดี เขาคือรุ่นพี่ที่พบหน้ากันบ่อย เจอทีไรก็มีขนมให้ตลอดจนนึกเกรงใจ ถึงช่วงหลังอีกฝ่ายจะหายหน้าหายตาไม่ค่อยมาที่หมู่บ้านของหล่อน แต่คราวนี้กลับพบภาวิชเดินเตร็ดเตร่ด้วยอาการเหม่อลอย ราวกับใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“พี่ภาพ” ตัดสินใจเดินเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม แต่ดูเหมือนเขาจะอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความหม่นหมอง จึงพยายามฝืนยิ้มและทักกลับ

“ยิ้มมาแต่ไกลเชียว มีข่าวดีอะไรหรือเปล่า”

“ต่ายสอบติดแล้วนะ” ตรากตรำอ่านหนังสือมานานเป็นปี ถึงวันที่เธอสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในเมือง ถึงจะเป็นคนละที่กับอติกานต์ก็ตาม แต่ถ้าเป็นลัลนาคนก่อนหน้าคงไม่คิดกระทั่งจะไปสอบด้วยซ้ำ

บิดาของเธอจึงดีใจที่มีอติกานต์เข้ามาในชีวิตของลูกสาว จากคนที่ไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องใด กลายเป็นขยันมุ่งมั่นเพื่อให้ได้อยู่ใกล้คนรัก

“จริงเหรอ ดีใจด้วยนะ เห็นต่ายตั้งใจอ่านหนังสือสอบอยู่ตั้งนาน สมหวังแล้วสิเรา” ถึงจะแสดงความยินดีแต่แววตาของเขากลับเหม่อลอยจนน่าใจหาย หล่อนไม่ทันสังเกตจึงพูดในส่วนของตัวเองไปเรื่อย

“ก็สมหวังแหละ แต่เสียดายติดอีกมอ...ต่ายว่าแล้วคนอย่างต่ายไม่เก่งขนาดสอบเข้ามหา’ลัยอันดับท็อปของประเทศติดหรอก ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว” ปลอบตัวเองต่อหน้าคนอื่นแล้วแกะไอศกรีมแท่งมากินอย่างเอร็ดอร่อย

“บอกแฟนหรือยังล่ะ”

“ยัง ไม่รู้จะบอกยังไง...กลัวเขาผิดหวัง”

“เขาไม่ผิดหวังหรอก เขาจะต้องภูมิใจในตัวต่าย เชื่อพี่สิ...” ตบไหล่เล็กแล้วคิดจะเดินหนี แต่เธอดักหน้าเขาเอาไว้อีกครั้งพร้อมเริ่มสังเกตบางสิ่ง

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ แล้วพี่ภาพเป็นอะไรทำไมนั่งหน้าหงอยอย่างนี้ล่ะ ตาแดงด้วย..ร้องไห้เหรอ”

ถามเสียงเบาเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ปกติที่สามารถคุยเล่นได้ เริ่มเป็นห่วงภาวิชเพราะปกติจะมีรอยยิ้มประดับใบหน้ายามเจอกันตลอด

เกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายหรือเปล่า ทำไมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ อาการเซื่องซึมจนนึกกังวลว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับอีกฝ่าย

“เปล่า เปล่าหรอก พี่แค่มีเรื่องไม่สบายใจ” เขาไม่กล้าบอกเธอ

ลัลนานิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วเลือกจับข้อมือหนาพลางจูงกึ่งลากมาที่รถจักรยานของตัวเอง คิดว่าตนน่าจะแข็งแรงพอในการพาเขาออกจากตรงนี้ได้ ไม่อาจปล่อยผ่านคนที่ตกอยู่ในความเศร้าให้เดินไปอย่างไร้ทิศทาง

ถึงตนจะไม่รู้ว่าเรื่องที่ชายหนุ่มกำลังเผชิญมันหนักหนาแค่ไหน แต่การที่มีคนรับฟังน่าจะดีกว่า

“เดี๋ยวต่ายจะพาพี่ไปที่หนึ่ง เวลาไม่สบายใจต่ายไปบ่อยเลย...ป่ะ ขึ้นรถค่ะ”

“ครับผม”

สุดท้ายคนที่ปั่นจักรยานก็เป็นภาวิช เธอทำเพียงกินไอศกรีมแล้วบอกทางเขา จนมาหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่ผู้มาเยือน เขาเคยผ่านหลายครั้ง ทำได้เพียงมองว่ามันเป็นวิวข้างทาง ไม่คิดมานั่งเล่นอย่างจริงจัง

“ตรงนี้เหรอ...พี่ผ่านบ่อยมากเลยนะ แต่ไม่เคยหยุดนั่งมองสักครั้ง พอได้มายืนดูตรงนี้ก็สบายใจดีเหมือนกัน” ผืนหญ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา สะอาดสะอ้านเหมาะแก่การมานั่งพักผ่อน ลมเย็นพัดผ่านกายพอคลายความทุกข์ลงไปได้บ้าง

“ใช่ไหมล่ะ ต่ายชอบมานั่งเล่นเวลามีเรื่องเครียด นั่งมองปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ เหมือนเหม่อนั่นแหละ รู้สึกดีขึ้นนะ” เธอทรุดกายลงนั่งใต้ต้นไม้พลางยื่นขนมให้เขากินด้วยกันระหว่างนั่งเล่น

“นั่งเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหม” ถึงจะนั่งอยู่ข้างกัน แต่เขากลับรู้สึกว่าไกลกับหล่อนจนต้องหันมาขอร้อง ดวงตาคมร้อนผ่าวรู้สึกเศร้ากับชะตาชีวิตที่แสนอาภัพของตัวเอง ทุกอย่างกำลังไปได้ดี ชีวิตเขามีความสุข

แล้วทำไมถึงต้องพรากคนที่รักให้จากไกล...

“ได้ค่ะ”

ร่างบางนั่งนิ่งไม่พูดหรือชวนคุย เธอหลับตาแล้วสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด มีความสุขกับสิ่งตรงหน้าโดยไม่รู้ว่ามีสายตาหนึ่งคู่หันมามอง เหมือนต้องการซึมซับภาพตรงหน้าเอาไว้ให้นานที่สุด

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เฝ้าภาวนาให้หล่อนเลิกกับแฟนกี่ครั้ง แต่ดูเหมือนความรักของหญิงสาวกับอติกานต์ไม่ได้เสื่อมคลายเลยสักนิด เป็นเขาเองที่ต้องอกหักร่ำไป มาทีหลังก็ต้องทำใจ ขอแค่เธอมีความสุขก็เพียงพอแล้ว

แต่ถึงตอนนี้มันอาจจะไม่พอ เขาไม่อยากเป็นแค่คนมองอีกต่อไป ภาวิชเริ่มโลภอยากเป็นมากกว่าพี่ชาย ทว่าไร้ซึ่งหนทางสมหวัง

“ยายของพี่...เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่เกินสามสิบวัน” ละสายตาออกจากคนข้างกายแล้วมองภาพตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีหรือผืนน้ำฟ้าใสสะอาด ก็ไม่อาจดึงความสดใสของชายหนุ่มออกมาได้

ความจริงที่เพิ่งทราบจากหมอทำให้เขาถึงกับอ่อนแรง สมองขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก คุณยายที่เป็นเหมือนครอบครัวเพียงคนเดียวของตนกำลังจะจากโลกใบนี้ไป ทั้งที่ภายนอกท่านยังดูแข็งแรงเหมือนสิบปีก่อน

แล้วทำไมสวรรค์ถึงใจร้ายพรากคนที่เขารัก...

“พี่ภาพ...” ลัลนาเพิ่งทราบความจริงถึงกับครางเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว สงสารชายหนุ่มจับใจแต่ไม่รู้จะปลอบอย่างไร ทำได้เพียงนั่งเคียงข้างเขาแล้วมองร่างสูงเช็ดน้ำตาที่ไหลเปื้อนแก้ม ไม่อยากร้องไห้แต่มันก็อดไม่ได้

ข่าวร้ายของยายเพิ่งรู้ไม่กี่วันก่อน กลับต้องมาทราบถึงคราวข่าวร้ายของตนเพราะเพิ่งได้ไปตรวจสุขภาพในรอบสามปีตามคำแนะนำของยาย

“แต่พี่ไม่เสียใจหรอกนะ เพราะพี่เองก็เป็นลูคีเมียเหมือนกัน น่าจะอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน ตลกเนอะชีวิต” ช็อคเรื่องยายไม่หาย หล่อนต้องมาตกใจกับเรื่องของภาวิชอีกรอบจนไอศกรีมที่อยู่ในมือหล่นลงบนพื้น เผยอปากค้างอย่างลืมตัวแล้วถามเสียงสั่น

“พี่ พี่พูดอะไร” เขายิ้มเมื่อเห็นว่าเธอตกใจ อย่างน้อยลัลนาก็ยังมีความรู้สึกกับตน แม้มันจะไม่ใช่ความรักอย่างชายหญิงก็ตาม

เธอแค่กำลังจะสูญเสียพี่ชายคนหนึ่งไปตลอดกาล...

“พี่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะเป็นโรคร้าย พี่คิดว่าคงได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ ได้ทำทุกอย่างตามใจตัวเองอีกนาน ต่ายเชื่อไหมว่าพี่ไม่รู้จะเสียใจเรื่องอะไรดี ยายกำลังจะตายหรือตัวเองที่ยังไม่ได้ทำสิ่งที่ชอบสักอย่าง”

ระบายความอึดอัด เขาปล่อยโฮอย่างไม่อายหญิงสาวที่อยู่ข้างกาย โผเข้ากอดเธอโดยลัลนาก็ตกใจ แต่เรื่องที่ภาวิชเจอค่อนข้างหนัก หล่อนจึงยอมให้กอดแล้วทำเพียงลูบหลังเพื่อเป็นการปลอบปะโลมอีกฝ่าย

ยอมรับว่าตกใจกับข่าวที่ทราบ ทั้งเรื่องของยายและโรคร้ายที่เขากำลังเผชิญ ไม่มีทางรักษาเหมือนนอนรอความตาย แต่หล่อนก็อยากสร้างกำลังใจให้อีกฝ่ายเพื่อจะได้มีแรงต่อสู้กับโรคร้าย

“แม้แต่บอกรักคนที่ชอบ...พี่ยังไม่กล้าเลย” เอ่ยเสียงสั่นจนคนฟังยิ่งสงสารมากกว่าเดิม

“ไปบอกเขาเลยสิ พี่อยากทำอะไรก็ทำ จะเสียใจก็ช่างมัน...เรามีแค่ชีวิตเดียว อย่าเสียเวลาคิดอะไรมากเลยค่ะ ลุย ต้องลุยนะพี่ภาพ” คำพูดปลุกใจของร่างบาง ทำให้คนที่ถอดใจต้องลองคิดใหม่อีกครั้งว่าควรทำเช่นไร

การได้กอดลัลนาครั้งนี้ยิ่งเพิ่มความรู้สึกต้องการให้เขา อีกไม่นานตนก็จะจากโลกใบนี้ไปแล้ว ขอเพียงได้ครอบครองหล่อนสักครั้งในฐานะแฟน

“พี่ พี่จะลองดู”

ได้หรือเปล่า...

กลับมาถึงบ้านด้วยใจห่อเหี่ยว มารดาเดินผ่านหน้าเธอไปพร้อมกระเป๋าใบเล็ก คาดว่าคงไปลงกับบ่อนอีกเช่นเคยจนคร้านจะเอ่ยเตือน เดี๋ยวก็ทวงสิทธิ์ความเป็นแม่ไม่ต้องการให้ลูกสั่งสอนอีก จึงปล่อยตามเลย

คืนนั้นเธอรอโทรศัพท์จากคนรักแต่กลับไร้วี่แวว จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ ไม่สามารถทนรอให้เขาโทรมาได้จึงตัดสินใจโทรหาอติกานต์ทันทีหลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ

อย่างไรก็ต้องบอกว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับเขาไม่สำเร็จ

“ฮัลโหล พี่ปลื้ม...ว่างคุยไหม” โทรหาสองครั้งไม่รับสาย พอครั้งที่สามถึงได้รับพร้อมเสียงจอแจค่อนข้างดังจนเธอต้องถามเขาให้แน่ใจ

ว่าตนโทรมาถูกเวลาหรือเปล่า ช่วงนี้ร่างสูงน่าจะยุ่งกับการทำเอกสารฝึกงาน ซึ่งจนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าเขาไปฝึกที่ไหน

‘ตอนนี้พี่กำลังประชุมกับเพื่อนเรื่องฝึกงาน ไว้จะ...’ พูดเสียงเบาจนเธอรู้สึกผิดที่โทรมากวน แต่ยังไม่ทันได้วางสายกลับมีเสียงของประกายมุกดังขึ้นขัดจังหวะ เล่นเอาลัลนาถึงกับนิ่งเงียบ ร้อนผ่าวที่ดวงตาด้วยความรู้สึกน้อยใจ

‘ปลื้ม เย็นนี้กินข้าวที่ร้านป้าตาลเหมือนเดิมนะ’

‘โอเค...ไว้พี่จะโทรกลับนะ’ หล่อนไม่ได้พูดแต่ถูกตัดสาย

ร่างบางจ้องมองโทรศัพท์ของตนพร้อมเช็ดน้ำตาที่ไหล ช่วงนี้ใกล้เป็นประจำเดือนหรือไงถึงได้อ่อนไหวกับเรื่องเล็กน้อย อาจเพราะว่าความสัมพันธ์ของพวกเราเริ่มเหินห่าง มันเปราะบางจนกลัวว่าวันหนึ่งจะได้เลิกกับเขาจริงๆ

“ไม่มีเวลาหรืออยู่กับผู้หญิงคนอื่นกันแน่ ทำแบบนี้ไม่เลิกกันไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ” วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะแล้วทรุดกายลงนั่ง คิดว่าจะร้องไห้นานกว่านี้แต่กลับได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากข้างล่าง จึงรีบวิ่งลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ชายฉกรรจ์กว่าห้าคนเดินเข้ามาในบ้านของเธอ พร้อมพังข้าวของโดยมีบิดาตะโกนห้ามเอาไว้ หญิงสาวเห็นท่าไม่ดีแต่ก็ไม่กล้าลงไป จึงแอบดูอยู่ตรงบันไดถึงเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน

“หยุด ฉันบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้” ภูมิเดชพยายามเข้าไปห้ามไม่ให้ข้าวของในบ้านเสียหาย แต่คนที่เข้ามาหาเรื่องกลับตะคอกกลับอย่างไม่เกรงกลัว

“ทำไมกูต้องหยุดด้วย เมียมึงเอาโฉนดที่ดินมาขอกู้เงินกับเสี่ย เขาก็ยอมให้กู้แต่ขอดอกวันล่ะพัน เมียมึงหาไม่ได้ ไม่ส่งมาเป็นอาทิตย์ เสี่ยก็ยังใจดีไม่ว่าอะไร แต่นี่มันเป็นเดือนแล้ว!” คนที่แอบฟังถึงกับเบิกตากว้าง รู้ว่ามารดาเข้าบ่อนแต่ไม่คิดว่าท่านจะกู้เงินนอกระบบ ทั้งยังเอาโฉนดที่ดินไปจำนองอีกต่างหาก

ลัลนาเข่าแทบทรุดเมื่อคิดว่าอีกไม่นานตนจะไม่มีกระทั่งที่ซุกหัวนอน หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้เสียงเล็ดลอด ทำไมแม่ถึงทำแบบนี้กับครอบครัว...

“ไม่จริง เมียฉันไม่ได้ทำแบบนั้น ไม่มีทาง” คนเป็นสามีไม่ยอมเชื่อ ส่ายหัวยืนกระต่ายขาเดียวว่ามันไม่เป็นความจริง

“มันจะไม่จริงได้ไง ก็โฉนดบ้านมึงอยู่กับเสี่ยของกู! ที่พวกกูมาวันนี้ก็จะมายึดบ้านมึงไง” ทุกคนหัวเราะเป็นเสียงเดียวกัน สนุกกับการทำลายข้าวของให้ราบเป็นหน้ากอง เสียงดังก้องบ้านจนลัลนาต้องยกมือปิดหูพลางกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลกับปัญหาที่โถมเข้ามาในพริบตาเดียว

ไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งตนจะกลายเป็นคนไร้บ้าน การกู้นอกระบบมันน่ากลัวอย่างนี้เอง...

“ไม่ได้ ไม่ได้นะ ถ้ายึดไปฉันกับครอบครัวจะไปอยู่ไหน”

“นั่นมันเรื่องของมึง ไม่ใช่เรื่องที่พวกกูต้องรับผิดชอบด้วยนี่หว่า พวกมึง! เอาของมันออกไป” ของที่มีค่าถูกขนออกไปทันที หล่อนไม่อาจนิ่งเฉยได้จึงวิ่งลงมาข้างล่างแล้วกอดแขนบิดาเอาไว้แน่นด้วยความกลัว

“พ่อ คนพวกนี้จะยึดบ้านเราจริงเหรอ”

“ต่ายออกไปก่อน ทางนี้พ่อจัดการเอง” รีบไล่บุตรสาวออกจากบ้านเมื่อเห็นคนที่มาทวงหนี้เริ่มสนใจลัลนา จ้องตาวาวจนนึกกังวลว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนจะตกอยู่ในอันตราย

“ไม่ ไม่ไป” ส่ายหน้าแล้วกอดแขนบิดาเอาไว้แน่น

“พ่อบอกให้ออกไป!”รีบปลดมือลูกออกแล้วไล่เสียงดัง เธอร้องไห้น้ำตาไหลรินเป็นสายด้วยความกลัว ไม่กี่นาทีก่อนยังอาศัยอยู่ในบ้านที่อบอุ่น แต่ตอนนี้ไม่มีกระทั่งที่จะซุกหัวนอน

หรือแม้แต่ความปลอดภัยด้วยซ้ำ...

“มีลูกสาวด้วยนี่หว่า...หน้าตาดีซะด้วย สนใจหาเงินใช้หนี้ไหมน้องสาว พวกพี่มีงานให้ทำเยอะเลยนะ เงินดีด้วย” เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าลัลนาพร้อมยกมือหมายจะจับแก้มเนียน แต่ภูมิเดชเข้ามาขวางเอาไว้พร้อมขู่เสียงเข้ม

ยอมถูกทำร้ายร่างกายดีกว่าให้ลูกสาวต้องไปทำงานใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ ชีวิตของลัลนากำลังไปได้ด้วยดี อีกไม่นานก็ต้องไปเรียนเมืองหลวง

ไม่มีทางให้ลูกต้องมาเผชิญเรื่องพวกนี้เด็ดขาด

“อย่ายุ่งกับลูกสาวผม” ประกาศเสียงเข้มพร้อมแววตาดุดัน จนคนที่มาทวงหนี้ต้องยอมถอย แต่ยังคงเก็บข้าวของมีค่าออกจากบ้าน จนตอนนี้บ้านที่เคยเต็มไปด้วยของใช้เริ่มโล่ง

“เขาติดหนี้พวกนายเท่าไหร่” ภูมิเดชไม่อาจทนเฉยได้จึงตัดสินใจถามยอดหนี้ที่ค้าง คิดว่าคงไม่เกินแสนหรอก

“ห้าแสน...ยังไม่รวมดอกเบี้ยที่มันไม่ยอมจ่ายตรงเวลา รวมแล้วก็เกือบล้าน”

“อะไรนะ! มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ” แต่ยอดจริงกลับน่าตกใจจนเผลอตวาดเสียงดัง ลัลนาเองก็แทบทรุดลงบนพื้นพลางคิดว่าจะไปหาเงินล้านมาคืนได้อย่างไร

“เกินไปอะไร ก่อนมากู้นอกระบบก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าถ้าไม่จ่ายคืนจะเจออะไรบ้าง”

กลุ่มชายฉกรรจ์หัวเราะเสียงดัง พากันเดินสำรวจบ้านอย่างหยามใจ แต่ไม่นานกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด พอหล่อนหันไปมองก็เหมือนพบเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยในเวลาขับขัน คล้ายวันที่มีเรื่องอยู่โรงเรียนไม่ผิดเพี้ยน

“หนี้ที่ติดไว้ทั้งหมดเท่าไหร่” ภาวิชคิดจะมาสารภาพรักจึงเห็นว่ามีคนไม่น่าไว้ใจเดินว่อน เขาตัดสินใจเดินเข้ามาถามอย่างอาจหาญ ไม่เกรงกลัวว่าตนอาจถูกทำร้ายไปด้วย

อย่างไรอีกไม่นานก็ต้องตาย แล้วเขาจะกลัวความตายทำไมล่ะ...

“พี่ภาพ...” เรียกชื่อเขาเสียงแผ่ว ค่อยปล่อยแขนบิดาเมื่อเห็นว่าทุกคนหันไปมองหนุ่มที่มาใหม่ ไม่สนใจสองพ่อลูกอีกต่อไป

“ถามทำไม มึงจะจ่ายเหรอ ไหวเหรอวะเงินไม่ใช่น้อย”

“เท่าไหร่ล่ะ...ฉันมีปัญญาจ่าย” ถามย้ำอีกรอบ

เงินมรดกของเขามีหลายสิบล้าน อย่างไรก็ไม่ได้ใช้คิดจะเอาไปบริจาค แล้วทำไมจะช่วยหญิงสาวผู้เป็นรักครั้งสุดท้ายของตนไม่ได้ ต่อให้มีหนี้สิบล้านแล้วเขาต้องจ่ายจนหมดตัว ชายหนุ่มก็ยอมทำเพื่อเธอผู้เดียว

“พี่ภาพ พี่เป็นบ้าไปแล้วเหรอ นี่มันไม่ใช่เรื่องของพี่เลยนะ จะเอาเงินมาละลายแม่น้ำเล่นหรือไง” ร่างบางรีบวิ่งมาหาเขาแล้วกระซิบเสียงเบาเพื่อเอ่ยเตือน ตนไม่อยากดึงคนนอกเข้ามาเกี่ยว แต่ดูเหมือนเขาจะเป็นทางเลือกเดียวแล้ว

“พี่ไม่ได้ช่วยฟรีหรอก...พี่มีเรื่องให้ต่ายช่วยเป็นการแลกเปลี่ยน”

ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ อีกไม่นานเขาก็จะตาย ขอทำตามใจตัวเองหน่อยแล้วกัน ถึงจะเป็นการบังคับจิตใจของลัลนาก็ตาม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel