๓ ระยะทางคือปัญหา (๒)
“อะไรเนี่ย เล่นอะไร...ใครจะลงไปกัน ไม่ลงหรอก” บอกตัวเองอย่างนั้น แต่ความข้องใจก็ดลให้หล่อนเปิดประตูออกจากห้องทันที ไม่ลืมหยิบของบางสิ่งติดมือไปด้วย แอบย่องลงไปข้างล่างโดยเหลือบมองบิดามารดาที่กำลังนั่งดูละครหลังข่าวอยู่ข้างล่าง ไม่ยอมเข้านอนสักที
เปิดประตูหลังบ้านแล้วปิดเสียงเบา เธอคิดจะแอบเดินไปหน้าบ้านแต่แล้วแขนเล็กก็ถูกดึงจนร่างปลิวตามแรง เธอเกือบเผลอส่งเสียงแล้วถ้าไม่มีมือหนามาปิดปากเอาไว้ให้เงียบ
“ว้าย อุ้บ” พุ่มไม้ข้างบ้านคือจุดที่เธอถูกดึงให้เข้าไปนั่ง ถ้าหากมีงูหล่อนก็คงถูกกัดตายไปแล้วล่ะ ดวงตากลมเหลือบมองคนที่ทำการฉุดตนเข้ามาในนี้ แค่ได้กลิ่นกายก็ทราบว่าเป็นใครจึงไม่ขัดขืน เพราะตนเองก็คิดถึงเขามากเช่นกัน
“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวแม่ต่ายก็ได้ยินหรอก” เสียงเข้มที่กระซิบข้างหู ทำให้จิตใจที่เคยร้อนรุ่มสงบลง แต่ก็โกรธที่เขากล้าทำการอุกอาจในบ้านของตน เมื่อเขาผละออกจึงส่งค้อนวงโตให้แฟนที่ไม่เจอกันเกือบสามเดือน
ถุงผ้าคงหมดกลิ่นแล้ว...
“แล้วพี่จะฉุดต่ายเข้าพุ่มไม้ทำไมเล่า ไปคุยกันดีๆ ไม่ได้หรือไง” อยากตีเขาแต่กลัวว่าจะเสียงดังจนคนในบ้านได้ยิน
พวกเขาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ข้างบ้าน นั่งย่อโดยที่ข้างกายมีคนซึ่งไม่เจอกันนานส่งยิ้มหวาน พร้อมดึงเธอเข้าไปกอดจนเสียงหลักล้มใส่ชายหนุ่ม กลายเป็นว่าอติกานต์นอนอยู่บนพื้นโดยมีหล่อนคร่อมทับอีกที ท่าทางดูไม่จืดเลย...
ดวงหน้าหวานเหวอจนต้องรีบลุก ไม่มีช่วงสโลโมชั่นเหมือนในละคร นอกจากความเขินอายจนแก้มร้อนผ่าว รีบนั่งขัดสมาธิเพื่อไม่ให้ตนเองเสียหลักเหมือนเมื่อครู่อีก
ความรักของพวกเขาอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ หรือบางครั้งอยู่ลำพังก็นั่งในที่โล่งแจ้ง ไม่เคยทำอะไรมากกว่าจับมือหรือกอด หอมแก้มนับครั้งได้
ส่วนจูบ...ไม่มีเลย
อติกานต์ให้เกียรติหล่อน คิดจะรอจนถึงวันแต่งงาน เพราะอย่างไรเขาก็ไม่อยากแต่งงานกับใครนอกจากลัลนาอยู่แล้ว
“ไม่ได้ อยากกอด ถ้าคุยที่โล่งคนอื่นจะเห็น พี่ไม่อยากให้ต่ายเสียหาย” แอบมองอาการเขินอายของแฟนก็เอ็นดูจนอยากดึงหล่อนมากอด แต่เกรงว่าตนจะโดนทุบจนแบนไปซะก่อน ตอนเธอเขินมือไม้หนักทุกที
เขาทำได้เพียงนั่งลงข้างเธอ โดยมีพุ่มไม้ซ่อนคนทั้งสองเข้าไว้ เลือกจับไหล่บางเพื่อให้เธอหันมาเผชิญหน้า คิดถึงแทบใจจะขาด อยากเร่งวันเร่งคืนกลับบ้านแต่ก็ต้องรอเวลา ช่วงนี้เขาสอบจะทำตามใจตัวเองไม่ได้
“แล้วที่ทำอยู่ตอนนี้มันดีมากหรือไง” ผินหน้ามองทางอื่น แสงไฟที่ส่องสว่างมาถึงหลังพุ่มไม้ พอให้เขามองเห็นใบหน้าของคนรัก
ถวิลหามาตลอด พอเจอก็เหมือนได้เติมพลังให้ตัวเอง
“คิดถึงอ่ะ โคตรคิดถึงเลย คิดถึง คิดถึง” อดไม่ไหวคว้าเธอเข้ามากอดทันที หล่อนไม่ทันตั้งตัวจึงโน้มตัวไปตามแรงดึง ไม่เพียงเท่านั้นเขายังหอมแก้มนุ่มซ้ายขวาแล้วค่อยผละมามองหน้าเธออีกครั้ง ยิ้มกว้างขณะประคองดวงหน้าหวานเอาไว้
“พอแล้ว จะหอมอะไรมากมาย ต่ายอายุสิบเจ็ดยังไม่พ้นผู้เยาว์นะ” ขู่ร่างสูงแต่เหมือนเขาจะไม่กลัว
“รู้ไง เลยแอบทำ” คนฟังถลึงตาใส่ให้น่ากลัวทว่ากลับตรงกันข้าม...ออกจะน่ารักในสายตาของอติกานต์ที่มองเธอได้ไม่เบื่อ
“ไอ้พี่ปลื้ม เดี๋ยวแจ้งตำรวจจับเลย” ใช้ตำรวจมาเป็นข้ออ้าง เผื่อว่าเขาจะกลัวแม้หล่อนจะไม่กล้าทำอย่างนั้นจริงก็ตาม
“ไม่แจ้งหรอก พี่ถูกจับเข้าคุกต่ายเสียใจร้องไห้งอแงเลยนะ” เปลี่ยนจากกอดเป็นจับมือบางเอาไว้ คิดถึงจนไม่อยากละสายตาไปมองทางอื่น แค่โทรคุยหรือส่งข้อความมันไม่เพียงพอ เขาอยากนั่งมองลัลนาทั้งวันทั้งคืน
เมื่อไหร่เธอจะสอบเข้ามหา’ลัยเดียวกันได้นะ...วันนั้นมาถึงคงจะดีกว่านี้
ยิ่งคิดก็เปลี่ยนจากกุมมือเป็นกอดอีกครั้ง เธอแทบจมเข้าไปในอกเขาจนต้องเงยหน้าเพื่อสูดอากาศเข้าปอด แย้มยิ้มมีความสุขเมื่อคิดว่าไม่ใช่ตนที่คิดถึงเขาอยู่ฝ่ายเดียว
ชายหนุ่มก็คิดถึงเธอเช่นเดียวกัน...
“บ้า ใครจะงอแง ไม่มีสักหน่อย...ปล่อยได้หรือยัง กอดแน่นขนาดนี้ใครเขาจะหายใจออก” ตีแผ่นหลังกว้างเพื่อบอกให้ปล่อย เขาจำต้องผละออกอย่างจำยอม ทำหน้าหงอยแต่สายตาก็ไม่คลาดเคลื่อนไปทางใด
วางสายตาไว้ที่ลัลนาผู้เดียว
“กลับมาเมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกกันก่อนเลย” ได้เวลาถามถึงไม่ปล่อยโอกาสหลุดลอย ตนอุตส่าห์โทรหาเขาหลายรอบแต่ไม่มีการตอบกลับ มันน่าตีจริงเชียว ตอนแรกก็นึกเป็นห่วงกลัวว่าเกิดอะไรขึ้นซะอีก ไม่คิดว่าเขาจะมาหาถึงบ้าน
ระยะทางไม่ใช่ใกล้เลย จนเธอเริ่มรู้สึกผิดที่ชายหนุ่มต้องเดินทางไกล...เพื่อมาหาตน
“บอกก่อนก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ พี่สอบเสร็จก็รีบขึ้นเครื่องแล้วนั่งรถกลับมาหาต่ายเลยนะ กระเป๋ายังโยนไว้หน้าบ้านแล้วแอบปั่นจักรยานมา กลัวแม่ต่ายได้ยินเสียงรถ” หลุดขำกับคำอธิบายของเขา ภาพผุดเข้ามาในหัวอย่างช่วยไม่ได้ หล่อนเชื่อคำพูดเขาหมดหัวใจ เพราะถ้าเป็นตนก็คงทำอย่างนั้นเช่นเดียวกัน
“คิดถึงต่ายมากเหรอ” ยกมือขึ้นประคองใบหน้าคมบ้าง ตอนยืนเขาอาจจะสูงกว่า แต่พอนั่งก็อยู่ในระดับที่ไม่ต้องเงยหน้ามองให้เมื่อยคอ
“มากๆๆๆ” ย้ำหนักแน่นจนคนตัวเล็กหัวใจพองโต
“ไม่ได้แอบมีกิ๊กใช่ไหม” ยังคงต้อนเขาเพื่อจับผิด แต่ชายหนุ่มที่ไม่เคยนอกลู่นอกทางรีบชูสามนิ้วพร้อมแววตาจริงจังขณะสบกับหล่อน ไม่มีทางที่จะนอกใจหญิงสาวเพียงคนเดียวที่เขาถวิลหาตลอดเวลาได้หรอก
ถึงจะมีอาหารตามากแค่ไหน...แต่ก็ทำเพียงแค่มองเพราะใจมอบให้ลัลนาคนเดียวแล้ว
“ไม่มีหรอก วันๆ อยู่แต่กับหนังสือจะมีใครได้ไงล่ะ มีแค่ต่ายคนเดียวเท่านั้นแหละ” ไม่รู้ว่าเขาโกหกให้เธอตายใจหรือเปล่า แต่แปลกที่เธอก็เชื่อสนิทใจไม่ถามอะไรอีก ค่อยปล่อยดวงหน้าคมเป็นอิสระ แล้วถามถึงระยะเวลาที่เขาจะอยู่กับตน
“จะกลับวันไหน”
“มะรืน...เฮ้อ ยังมีสอบอีกตั้งหลายตัว” แววตากลมที่ประกายแสงแข่งกับดวงดาวค่อยหม่นลง เหมือนท้องฟ้าในคืนอันมืดมิด อติกานต์เห็นอย่างนั้นก็เศร้าเช่นเดียวกัน
เขายังไม่อยากกลับ แต่เรื่องเรียนก็สำคัญจนไม่อาจปล่อยได้
“แล้วยังจะกลับมาอีกนะ ทำไมไม่สอบให้เสร็จแล้วค่อยกลับล่ะ ถ้าพี่อ่านหนังสือไม่ทันแล้วสอบตกจะทำยังไง เอาแต่ใจตัวเอง อยากตีจริงๆ เลย” สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วแสร้งทำเป็นโมโหไม่ให้บรรยากาศโศกเศร้า กำลังจะยกมือขึ้นตีแขนหนาแต่เขาก็เบี่ยงหลบ
อติกานต์ผู้ไม่เคยกลัวใคร...ยอมสยบให้กระต่ายตัวน้อยของเขาเพียงผู้เดียว
“กลับมาเอาถุงหอม ที่อยู่ห้องหมดกลิ่นแล้ว” เหตุผลนั้นเรียกรอยยิ้มให้หล่อน หยิบมันออกจากกระเป๋าแล้วค่อยวางลงบนมือหนา
เขาไม่ได้ผิดสัญญาจริงด้วย
“อยากให้มันหอม...เหมือนวันแรกที่ได้จากมือของต่าย” สองสายตาสบกัน แรงดึงดูดบางอย่างทำให้ใบหน้าค่อยเคลื่อนเข้าใกล้กันอย่างไม่อาจห้ามความต้องการส่วนลึกของจิตใจได้
พระจันทร์เปล่งแสงนวลทาบทับหมู่ดาวที่อยู่รอบข้าง ค่อยหรี่แสงลงแล้วซ่อนตัวในหมู่เมฆราวต้องการให้ความเป็นส่วนตัวกับหนุ่มสาวทั้งสอง
ความรักมันช่างดีซะเหลือเกิน...
ตกเย็นเธอเปลี่ยนจากกลับพร้อมพ่อเป็นเดินไปหน้าโรงเรียนเพื่อขึ้นรถประจำทางกลับบ้านของตน แล้วค่อยปั่นจักรยานซึ่งจอดไว้ศาลาหน้าหมู่บ้านเพื่อกลับบ้าน ไม่ต้องให้บิดามารอตนเลิกเรียนทั้งที่ท่านเสร็จธุระตั้งแต่ช่วงบ่าย
ระหว่างรอรถก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านไม่สนใจคนรอบข้าง ก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้นหลายนาที ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงเรียก จนไหล่บางถูกแตะเธอจึงสะดุ้ง รีบถอดหูฟังแล้วเงยหน้ามองคนที่ทักตนทันที พบว่าไม่ใช่คนอื่นไกล
เป็นภาวิชนั่นเอง...
“ขยันจังเลยนะ เจอต่ายทีไรก็ต้องมีสมุดโน้ตอยู่ในมือตลอด ตั้งใจสอบเข้าที่ไหนเหรอ” ชื่นชมหญิงสาวที่อ่านหนังสือทุกครั้งยามว่าง
เขาไม่ค่อยได้เจอเธอแม้จะมาส่งขนมทุกวัน พยายามมองหาเท่าไหร่แต่ก็ไร้วี่แวว จนวันนี้ที่ผ่านหน้าโรงเรียนแล้วเจอลัลนานั่งอ่านหนังสือ ภาวิชไม่รอช้ารีบจอดรถข้างฟุตบาธแล้วเดินแกมวิ่งมาทักทาย
“มหาลัย...อยู่กรุงเทพฯ ค่ะ” แค่เอ่ยชื่อของมหาวิทยาลัยเขาก็ต้องเผยอปากค้าง นึกว่าหล่อนจะเรียนใกล้บ้านซะอีก ไปไกลถึงเมืองหลวงแล้วเขาจะทนคิดถึงไหวเหรอ
“โห อันดับท็อปทรีเลย สู้ๆ พี่เชื่อว่าต่ายทำได้อยู่แล้ว” เลือกให้กำลังใจเธอดีกว่าพูดความในใจของตัวเอง อยากแนะนำให้เรียนใกล้บ้านแต่เขาก็ไม่อาจขัดความตั้งใจอันแรงกล้าของลัลนาได้ ดูเหมือนหญิงสาวจะพยายามเป็นอย่างมากเพื่อเข้าสถานศึกษาในฝัน
“แล้วพี่ภาพจะไปไหนคะ”
“ซื้อของไปทำขนม สนใจไปด้วยกันไหม” คำถามของเธอช่างเหมาะเจาะซะเหลือเกิน เขาไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย รีบเอ่ยชวนทันทีเพราะกลัวคนในรถคอยนาน
“ไม่เป็นไรค่ะ...” รีบปฏิเสธแต่ดูเหมือนจะไม่ทัน
“ไปด้วยกันเถอะ เดี๋ยวพี่จะทำของโปรดให้กิน ป่ะ...ไม่ต้องปฏิเสธให้มากความ พี่อยากพาต่ายไปด้วย” มัดมือชกด้วยการจับมือบางแล้วดึงให้เดินตามทันที หญิงสาวจะพูดอะไรได้นอกจากเดินตามแรงดึงของเขา แม้จะไม่ชอบที่ถูกจับมือก็ตาม
พอถึงรถเขาก็ปล่อยเธอเป็นอิสระ แล้วเปิดประตูหลังให้หญิงสาว ผายมือเชื้อเชิญหล่อนจึงค้อมศีรษะเป็นการขอบคุณ เข้ามานั่งข้างในแล้วพบว่าเขาไม่ได้มาคนเดียว
มีคุณยายนั่งอยู่เบาะด้านหน้าข้างคนขับ...
“ภาพ...นั่นทำอะไรน่ะ ฉุดกระชากลูกใครเขามาหือ” เอ็ดหลานชายที่เข้ามานั่งประจำที่ แล้วค่อยเคลื่อนรถออกจากริมฟุตบาธก่อนจะโดนตำรวจเรียก
“ฉุดอะไรกันครับ นี่รุ่นน้องโรงเรียนผมเอง ชื่อกระต่ายอยู่ม.ห้า แต่เคร่งเครียดอ่านหนังสืออย่างเดียว ผมกลัวว่าน้องจะแก่ก่อนวัยเลยชวนไปซื้อของกับพวกเราครับ” หล่อนทำหน้าไม่ถูกยามอยู่กับญาติผู้ใหญ่ของภาวิช เพิ่งรู้จักกันไม่นานแทบไม่รู้ประวัติหรือพื้นเพของเขาเลย
จึงค่อนข้างเกรงใจและเกรงกลัว...
“เอ่อ สวัสดีค่ะ” ยกมือไหว้คุณยายที่เอี่ยวตัวมามองหล่อน ท่านพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้เธอ คลายความกังวลไปได้มาก
“นี่ยายของพี่เอง”
“หนูกระต่ายเหรอลูก ชื่อสมตัวหน้าตาก็น่ารัก” คำชมทำให้คนฟังยิ้มแล้วค้อมศีรษะรับ ไม่รู้จะต่อประโยคนั้นอย่างไรดี
“ค่ะคุณยาย”
“หน้าตาสะสวย ผิวพรรณก็ดี...มีแฟนหรือยัง สนใจหลานชายของยายไหม” ภาวิชหันขวับมองคุณยายที่เอ่ยไม่มีปี่มีขลุ่ย เหมือนท่านรู้ใจหลานชายสุดที่รักว่าคิดอย่างไร แต่เขาคิดว่ามันเร็วเกินไปเพราะตนเพิ่งรู้จักลัลนาไม่นาน
กลัวหญิงสาวจะไม่ยอมเปิดใจ...
“ยายครับ” เรียกท่านเสียงอ่อน ไม่อยากให้คุณยายพูดเรื่องนี้ แต่หูก็แอบฟังเพราะอยากรู้หญิงสาวจะตอบเช่นไร
“เอ่อ ต่ายมีแฟนแล้วค่ะ”
ซึ่งคำตอบนั้นก็ทำให้คนคิดไปไกลอกหักทันที
เธอมีเจ้าของแล้ว...
