บทที่ 9 พ.ศ.ใดแล้ว
“ข้าก็แค่พูดกับเจ้า เจ้าอย่ามาทำตำหนิตข้าเหมือนท่านพ่อหน่อยเลย ข้ารู้หรอกน่า ฮึ ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วเสียอารมณ์จริง ๆ ข้าไปขึ้นรถม้ารอท่านพ่อท่านแม่ดีกว่า”
หนิงจินซูคุณหนูใหญ่ของบ้านรีบเดินสะบัดก้นออกจากห้องของตนเอง จนสาวใช้ส่วนตัววัยอายุห่างกันไม่กี่ปีถึงกับต้องรีบวิ่งตามหลังของคุณหนูไปแทบไม่ทัน
“คุณหนูเจ้าคะรอข้าด้วยข้าขอโทษที่ทำให้คุณหนูต้องโกรธเคือง”
“ฮึ เจ้าก็รู้ตัวเองด้วยหรือ ว่าเจ้ากำลังทำให้ข้าไม่พอใจ” หนิงจินซูหันกลับมาเผชิญหน้ากับสาวใช้ประจำตัวของตัวเองด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงกล่าวตะคอกออกมา
“คือข้ารู้ตัวเองดีเจ้าค่ะ นี่แนะ (เพี้ยะ) นี่แนะ (เพี้ยะ) ปากไม่รักดี เห็นไหมเจ้าคะข้าทำโทษตัวของข้าเองแล้ว เพราะปากของข้าไม่ดีต่อไปจะไม่ทำให้คุณหนูต้องโกรธอีกเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่ตบปากทำโทษตัวเองเสร็จแล้วรีบนั่งกอดขาของหนิงจินซูเอาไว้อย่างร้องขอการให้อภัยจากคุณหนูใหญ่ของเธอ
“ก็ดีที่เจ้ารู้ตัวเอง ปล่อยขาข้าซะหากขืนเจ้ายังกอดขาข้าเช่นนี้ ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้า”
“ปล่อยแล้ว ข้าปล่อยแล้วเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่”
คุณหนูหนิงจินซูมองภาพที่สาวใช้ส่วนตัวยกมือตบปากของตนเองจนบวมแดงด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ ก่อนที่เธอจะหันเดินไปที่หน้าจวนเพื่อขึ้นรถม้า
จวนตำหนักองค์ชายลี่หยาง
บนเตียงขององค์ชายลี่หยางที่ตอนนี้ฟรานเชสในร่างขององค์ชายค่อย ๆ ลืมตาขึ้นปรับกับแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาภายในห้องบรรทมของพระองค์ ก่อนที่ฟรานเชสจะค่อย ๆ ยันตัวเองลุกขึ้นนั่งบนเตียงและสัมผัสได้ว่าตนเอง ไม่ได้อยู่ในห้องนี้เตรียมลำพัง ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นมาเฟียเจ้าพ่อค้าอาวุธสงครามที่ผ่านกันต่อสู้และการฝึกฝนมาอย่างหนักตลอดทั้งชีวิตตั้งแต่เล็กจนโต ก่อนที่สายตาคมกริบจะเหลือบไปเห็นสาวน้อยหญิงสาวนางหนึ่งที่นั่งนอนอยู่ข้างขอบเตียงนอนที่ฟรานเชสเพิ่งตื่นขึ้นมา พร้อมกับเรือนผมที่เงางามราวกับแพรไหมที่ปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ กลิ่นตัวของเธอช่างหอมราวกลิ่นดอกไม้ที่หอมอ่อน ๆ ไม่อับฉุนเหมือนน้ำหอมแบรนด์เนมทั่วไป ฟรานเชสเผยรอยยิ้มเจ้าชู้จอมเพลย์บอยออกมากับภาพสาวน้อยที่นั่งนอนหลับไหลในชุดผ้าพริ้วไหวอย่างแปลกตา ราวกับภาพนั้นเป็นภาพวาดในตำนาน เพียงแค่ได้มองอย่างไม่เห็นหน้าก็สะดุดตาสะดุดใจจนหัวใจของฟรานเชสที่ไม่เคยเต้นสั่นรัวให้กับสตรีคนไหนมาก่อน สาวน้อยที่เขายังไม่ได้เห็นหน้าคนนี้กลับทำให้ฟรานเชสเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดราวกับเด็กหนุ่มที่พึ่งพบหญิงสาวที่ตนเองพึงพอใจ จนชักอยากจะเห็นหน้าสาวน้อยนางนี้เสียแล้วว่าเธอจะสวยแค่ไหน เพราะเพียงแค่มองแบบไม่เห็นหน้าก็สะกดใจและทำให้ใจของเขาเต้นรัวได้จนแทบทะลุออกมานอกอกแบบนี้ ฟรานเชสไม่รอช้ารีบขยับกายตนเองพาร่างสูงลงจากเตียงมายืนด้านข้างขอบเตียง ก่อนที่จะจับผมนุ่มค่อย ๆ จับไปทักที่ใบหูเล็กเปิดเผยใบหน้าอันสวยหวานนวลเนียนของเธอให้เขาได้เห็นอย่างเต็มตาด้วยความตะลึง
“เฮ้ย… นี่มันนางฟ้าชัด ๆ นี่หว่า ว่าแต่ทำไมมือของเราถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ ดูสิผอมเป็นบ้าเลยราวกับคนเป็นโรคเจ็บป่วยมานาน นี่เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่”
ฟรานเชสที่เพิ่งเห็นฝ่ามือหนาของตนเองที่ได้จับผมนุ่มของสาวน้อยก็ต้องตกใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบหันไปมองสำรวจรอบห้องที่ตกแต่งอย่างแปลกตาอีกครั้งด้วยสติที่มีมากขึ้น ชายหนุ่มเห็นที่ประตูห้องนอนเปิดอยู่พร้อมกับมีชายสองคนที่ถือดาบในชุดจีนโบราณเครื่องแบบทหารเหมือนกับที่เขาเคยเห็นในหนังจีนยืนเฝ้าอยู่ที่ข้างประตูทั้งสองข้าง ฟรานเชสรีบวิ่งเดินผ่านประตูนั้นออกไปมองความสวยงามภายนอกของห้องนี้ด้วยสายตาที่เบิกกว้าง กับภาพความสวยงามอลังการกับบ้านเรือนประสาทราชวังที่ถูกก่อสร้างจนใหญ่โตสวยหรูในแบบยุคจีนโบราณ ต้นไม้ดอกไม้ที่ถูกปลูกประดับบางชนิดเขายังไม่เคยเห็นในยุคของตนเองด้วยซ้ำ มีเหล่าทหารที่อยู่ในชุดจีนทุกโบราณพร้อมถืออาวุธยืนเฝ้าเป็นจุดเป็นจุดจนทั่วไปหมด รวมถึงสาวใช้หรือนางกำนัลที่แต่งกายในผ้าพริ้วไหวอย่างสวยงามเหมือนนางในของหนังจีนที่เขาเคยดู
“ถวายบังคมพะยะค่ะองค์ชายลี่หยาง”
เสียงกล่าวที่ดังจากด้านหลังของฟรานเชส ทำให้ชายหนุ่มตกใจรีบหันกลับไปมองพร้อมกับตั้งท่ากำหมัดพร้อมที่จะอัดพวกเขาทั้งสองคน ท่าทางที่ฟรานเชสหันกลับมาและพร้อมที่จะอัดใส่พวกเขาทำให้ทหารทั้งสองถึงจับรีบนั่งคุกเข่าก้มศีรษะแนบพื้นร้องขอชีวิตอย่างกลัวตาย เพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาอาจทำให้องค์ชายลี่หยางไม่พึงพอพระทัย
“ขอองค์ชายทรงให้อภัยด้วยพะย่ะค่ะ ข้าน้อยสองคนสมควรตายหากทำให้องค์ชายไม่พึงพอพระทัยหรือตกใจ ขอองค์ชายได้โปรดอภัยด้วย”
ฟรานเชสที่มองสำรวจชายทั้งสองคนอย่างอึ้ง ๆ อีกครั้ง พร้อมกับนึกใจในตนเองว่าภาษาที่พวกเขาใช้ทำไมถึงแปลกไปจากภาษาจีนปัจจุบันค่อนข้างเล็กน้อย แต่ฟรานเชสก็ฟังออกทุกคำเพราะเขาเป็นนักธุรกิจพ่อค้าอาวุธสงครามต้องสื่อสารกับผู้คนในหลายประเทศ และภาษาจีนก็เป็นภาษาที่ฟรานเชสค่อนข้างถนัดเสียด้วย
“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนเรียกข้าว่าอะไรนะ แล้วนี่มันปีพ.ศใดกันแล้ว”
ฟรานเชสกล่าวถามด้วยความสงสัย เพราะทุกอย่างรอบกายของเขาไม่มีสักอย่างที่เหมือนปัจจุบันสักนิดเดียว เท่าที่เขาจำได้ครั้งสุดท้ายเขาถูกลุงญาติเพียงคนเดียววางยาหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีก คำถามของฟรานเชสได้สร้างความสงสัยในใจของทหารทั้งสองว่าองค์ชายลี่หยางทรงฟื้นขึ้นพร้อมกับความทรงจำที่หายไปหรือเปล่าถึงได้ตรัสถามเช่นนั้น
"แย่แล้ว องค์ชายลี่หยางทรงหายไป ใครอยู่ข้างนอกบ้าง มีใครเห็นองค์ชายบ้างหรือเปล่า"
เสียงใสร้องเอะอะโวยวายที่ดังมาจากภายในห้องบรรทมขององค์ชายลี่หยาง ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าห้องต้องหันไปมอง
