บทที่ 2 ก็บอกว่าไม่เลี้ยง
“มามี้ เลี้ยงเยตินะฮะๆ ๆ ๆ”
นีลาเหมือนความดันจะขึ้นปนอาการคล้ายสมองเตรียมวูบ
“อัลสัญญา จะกินคุณกี่วี่เพิ่มวันละหนึ่งลูก”
เจ้าตัวเล็กเพิ่มคำต่อรอง ทุกอย่างเหมือนเดจาวู เพิ่งส่งตัวอันตรายไปพ้นเมื่อครู่ ไฉนกลับมายืนเจี๋ยมเจี้ยมส่งออร่าดำทะมึนอยู่หน้าร้านได้อีกเล่า
“เลี้ยงไม่ได้ครับอัล เขาเป็นคน ไม่ใช่เยติ”
พอถอดเสื้อขนสัตว์ปุกปุยออก ร่างที่พบคือหนุ่มผมดำตัวสูงสวมเชิ้ตขาว ตามใบหน้ามีรอยแตกบวมม่วงช้ำ ซึ่งพยายาบาลป้ายเบตาดีนสีเหลืองไว้ประปราย
ดวงตาสีนิลคู่นั้นมองเธอด้วยความใสซื่อ ช่างน่าหมั่นไส้จนอยากเอาโต๊ะทุ่มใส่ระบายอารมณ์ แต่นีลาไม่ทำหรอก เธอยังอยากรักษาภาพลักษณ์มามี้จ๋าแสนดีต่อหน้าลูก
“ฉันบอกในโทรศัพท์แล้วยังไงคะว่าไม่รู้จักกัน เขาแค่คนผ่านทางมาบาดเจ็บหน้าร้านฉัน”
กู้ภัยสองคนที่หนีบเอาตัวปัญหาจากโรงพยาบาลกลับมาส่ง สบตากันด้วยใบหน้าลำบากใจ
“แต่เขาบอกรู้จักคุณนะครับ”
“ก็บอกแล้วไงคะว่าไม่รู้จักกัน พวกคุณจะเอาเขาไปไหนก็ไป"
“หมอบอกเขาความจำเสื่อมนะครับ”
ฝ่ายผู้พามาไม่ยอมแพ้ เผือกร้อนตัวโตนี้นอกจากนำมาซึ่งความยุ่งยากแล้ว ยังมีค่าตอบแทนเป็นเข็มขัดแอร์เมส ลองเข้าไปค้นกูเกิ้ลราคาเป็นแสน ถามในกลุ่มเฟซบุ๊กคนชอบแบรนด์เนมมีคนดูเป็น ยืนยันว่าเป็นของแท้
ผู้ชายคนนี้ไม่มีกระเป๋าเงินติดตัว แต่ให้เข็มขัดตอบแทนแลกกับการพากลับมายังร้านกาแฟเดิม
“เขาไม่มีที่ไปนะคุณ โรงพยาบาลก็เตียงเต็มให้นอนไม่ได้”
สกิลหว่านล้อมกู้ภัยใช่จะไม่มี วัน ๆ เจอลูกค้าหลากหลาย วีนเหวี่ยงไม่ยอมรับญาติกลับก็เยอะ เคสนี้ยังสภาพดีไม่มีใครตาย ผู้ชายฝรั่งหน้าตาดี ส่วนผู้หญิงก็สวย
ร้านกาแฟนี้ถือว่าดัง เพราะอยู่ในทำเลหมู่บ้านราคาแพง นานทีปีหนจะได้เฉียดมาแถวนี้สักครั้ง ดู ๆ แล้ว อย่างกับเคสเมียไล่ผัวออกจากบ้านเสียมากกว่า
“ถ้าไม่มีที่นอนก็เอาเขาไปปล่อยวัดสิคะ”
เส้นเลือดหลังคอหญิงสาวโป่งพองเต้นตุบ ๆ ไม่ยินยอมรับเลี้ยงผู้ชายคนนี้อย่างยิ่ง
“โถ่คุณ... นี่คนทั้งคนนะ ไม่ใช่หมาใช่แมว เอาไปปล่อยวัดก็สงสารเจ้าอาวาสท่าน”
เชอะ ! สงสารพระแต่ไม่สงสารผู้หญิงสู้ชีวิตตัวเล็ก ๆ อย่างเธอเลยหรือ
เฮงซวย พูดอย่างนี้ได้ยังไง
“โอ๊ะ ! มีเคสเข้า พวกผมไปละนะ ต้องไปช่วยคน”
หนึ่งในนั้นฉวยโอกาสวอล์คกี้ทอล์คกี้ส่งเสียง รีบชิ่งขึ้นรถสตาร์ตเผ่นหนีไปเลย
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ”
นีลาวิ่งตาม ทว่าตัวปัญหาร่างโตยืนขวาง เธอที่อารมณ์เสียอยู่แล้วจึงผลักอกกว้างออก สับเท้าไล่ตามรถกู้ภัย แต่ไม่ทัน เห็นเพียงไฟท้ายรถแดง ๆ เคลื่อนหนีไปไกลแล้ว
“มามี้ ลุงคนนี้เป็นคนไม่ใช่น้องหมาเอาไปปล่อยวัดไม่ได้ใช่ไหมฮะ งั้นอัลขอเลี้ยงนะฮะ”
กลับมาสู่ปัญหาเดิมอีกจนได้ นีลาปวดไมเกรนจี๊ด ๆ กระนั้นยังฝืนส่งยิ้ม
โถ...ลูกเธอช่างใสซื่อเหลือเกิน นับญาติกันเสร็จสรรพ รู้ไหมว่าผู้ชายคนนี้เคยยอมนับญาติกับใครเสียที่ไหน
“อัลครับการจะเลี้ยงใครสักคนไม่ใช่เรื่องที่อัลจะตัดสินใจได้คนเดียว บ้านเรามีทั้งพี่เม้ย พี่จ๋าย พี่เล็กซ์”
นีลาย่อกายลง คุยกับลูกชายอย่างใจเย็น
อัลวาชะงัก คิ้วเรียวเหมือนมีดสั้นป้อมขมวดครุ่นคิดตาม คนเป็นแม่อย่างเธอร้องเย้ในใจอย่างยินดี ฉลาดรู้ความสมเป็นลูกเธอเหลือเกิน ฮรึก...แม่ภูมิใจ
“งั้นเรามาโหวตกันไหม”
ความปลื้มปริ่มถูกปัดตกในทันใด ยามอเล็กซ์เอื้อนเอ่ย แววตาเจือเบื่อหน่าย เพราะใกล้จะถึงเวลานอนเต็มทีแล้ว
“จริงด้วยมาโหวตกัน พี่เล็กซ์ฉลาดมาก”
อกเล็ก ๆ ของหนุ่มวัยอนุบาลยืดฟู ริมฝีปากแอบยกยิ้ม
“อัลอยากเลี้ยงคุณลุง ใครเห็นด้วยยกมือขึ้นหน่อย”
แฝดน้องยกมือป้อมชูขึ้นสูง ใบหน้าร่าเริงค่อยเจื่อนลง เมื่อดวงตากลมโตส่ายไปทั่วแล้วพบว่าตนเป็นผู้ยกมือเพียงหนึ่งเดียว หันสบตาแฝดพี่อีกครั้ง พร้อมปากแบะ ขอบตาเริ่มฉ่ำน้ำ
อเล็กซ์เป็นเด็กเคร่งขรึม สมองฉลาดเกินวัย แต่กระนั้นก็มีจุดอ่อน นั่นก็คือน้องชายที่เกิดหลังตนห้านาที
“...”
"พี่เล็กซ์”
คราวนี้เพิ่มเสียงเครือ ดวงตาออดอ้อน แบบใครก็เห็นก็ใจอ่อน
มือป้อมอีกมือยกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ มิเช่นนั้นคืนนี้อเล็กซ์ต้องทนปวดหูนอนฟังเสียงร้องไห้ทั้งคืนแน่
“พี่เม้ย พี่จ๋าย”
ได้คะแนนเพิ่มอีกหนึ่ง ต่อไปก็เป็นคิวสองพี่น้อง เด็กในอุปถัมภ์เหลือบดูสีหน้านีลา เห็นชัด ๆ ว่าคิ้วกระตุกยึก ๆ ไม่พอใจอยู่ เม้ยตัดสินใจจะไม่ยกมือ ทีแรกจ๋ายจะทำตามพี่ อัลวารีบสอดขึ้นทันใด
“พี่จ๋ายอยากเป็นหมอไม่ใช่เหรอ นี่ไงคุณลุงเขาป่วย มีคนไข้ให้ลองรักษาแล้วนะ”
นีลากับเม้ยจ้องหนุ่มน้อยวัยแปดขวบเป็นตาเดียว
“เนอะพี่เล็กซ์ พี่จ๋ายบอกอย่างนี้”
เจ้าของแก้มอวบอิ่มหาแนวร่วมจากพี่ชาย ซึ่งพยักหน้าเห็นด้วย
“จ๋ายคงพูดเล่นมั้งคะพี่หนูดี อย่าไปฟังเลยค่ะ”
เม้ยรีบแก้ตัวให้ เธอเป็นสาวมัธยมปลาย รู้ว่าค่าใช้จ่ายในการเรียนมหาวิทยาลัยนั้นแพงขนาดไหน ตนเองหากจบแล้วยังคิดจะเรียนต่อแค่ม.รามฯ
ไม่อยากให้ผู้มีพระคุณต้องเสียค่าใช้จ่ายให้พวกเธอมากกว่านี้ แค่รับอุปถัมภ์หลังพ่อแม่เสียชีวิตนี่ก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว
“จ๋ายอยากเป็นหมอเหรอ”
เด็กชายก้มใบหน้าลง ไม่ยอมสบตา
“พี่จ๋ายจำชื่อยาในกล่องปฐมพยาบาลได้หมด ทำแผลเป็นด้วย วันก่อนก็แปะพลาสเตอร์ที่เข่าอัลให้เพราะหกล้ม”
อเล็กซ์ยังคงคอนเซ็ปต์พูดน้อยต่อยหนัก พูดออกมาแต่ละที สะเทือนใจคนฟังเหลือคณา
“โอเค อยากเป็นหมอก็เป็น พี่จะส่งเรียนเอง”
นีลาใจฟูขึ้นหน่อย เด็กในปกครองใฝ่ดีกว่าที่คิด ถือเป็นเรื่องราวดี ๆ ในชีวิต
“งั้นพี่จ๋ายต้องให้เลี้ยงคุณลุงด้วยสิ”
มีคนอาศัยจังหวะชุลมุน วิ่งตัก ๆ มายกอีกแขนหนึ่งเพื่อเพิ่มคะแนน
“พี่เล็กซ์รีบนับคะแนนเร็ว” พร้อมเร่งเร้าเอากับผู้เป็นพี่
“สามคะแนน”
“มามี้กับพี่เจ้ยมีสองคนเป็นสองคะแนน พวกเราชนะแล้วเย้ ๆ เลี้ยงคุณลุงนะฮะมามี้” อัลวากระโดดดีใจจนตัวลอย แก้มยุ้ยกระเพื่อมไปหมด
นีลากัดริมฝีปาก ห้ามตัวเองไม่ให้กรี๊ด ลูกหนอลูก ไม่ได้ดังใจเอาเสียเลย แย่ที่สุดก็เธอนี่ละ ตามใจลูกทุกอย่าง
สุดท้ายค่ำคืนนี้บ้านหลังร้านกาแฟน้อย ๆ ของครอบครัวเธอก็จำต้องต้อนรับสมาชิกใหม่
“ให้พักแค่วันนี้เท่านั้นนะ พรุ่งนี้จะให้ตำรวจเขาตามหาญาติมารับ”
หญิงสาวบอกเขาขณะยื่นเสื้อผ้าให้ที่ประตูห้องน้ำในห้องเม้ย สาวน้อยเปลี่ยนมานอนกับเธอ ส่วนจ๋ายแยกไปนอนกับแฝด
“ผมจำอะไรไม่ได้” มือใหญ่ยังนิ่งแนบลำตัว ภาษาไทยแปร่ง ๆ แบบคนต่างชาติพูด
คิ้วเรียวได้รูปขมวด จ้องลึกไปยังดวงตาสีเดียวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ครั้งหนึ่งนีลาคิดว่ามันสวย น่าค้นหา เหมือนห้วงลึกสุดของจักรวาล
เขาคือความแปลก ปรกติหนุ่มยุโรปมักผมทอง ตาสีอ่อน ผมดำตาดำแบบนี้หายากนัก เจ้าตัวเคยบอกว่าเป็นมรดกตกทอดทางพันธุกรรมจากบรรพบุรุษ อเล็กซ์กับอัลวาก็ผมดำตาดำเหมือนกัน
“ตำรวจจะถ่ายรูปคุณไปประกาศหาญาติ เดี๋ยวญาติก็มาหาเองแหละ”
“ผมบาดเจ็บ ถูกทำร้าย มีใครอยากฆ่าผมหรือเปล่า ขออยู่ที่นี่ก่อนได้ไหม”
นีลาคิ้วกระตุก คนขอยังหน้านิ่ง แววตาสงบแบบไม่สามารถอ่านออกได้
“โน ! นั่นเป็นปัญหาของคุณ ฉันไม่อยากซวยไปด้วย ให้นอนคืนหนึ่งแล้วไปซะ”
เธอดันชุดเสื้อผ้าใส่อกเขาอย่างแรง
“อาบน้ำแล้วก็นอนซะ อย่าก่อปัญหา”
ให้อาศัยนอนแค่คืนเดียวหรอกนะ ถือว่าทำบุญ พรุ่งนี้นีลาจะทำทุกทาง ดีดเขาให้กระเด็นออกไปจากชีวิต
นอนไม่หลับ
เธอพลิกไปพลิกมากระสับกระส่ายบนเตียงอยู่ค่อนคืน ใจพะวงกลัวเหตุร้าย ตัวตนคนอยู่อีกห้องนั้นธรรมดาเสียเมื่อไร เขามากอำนาจบารมี ลูกน้องรองมือรองเท้าก็เยอะ
ธุรกิจสีขาวครอบคลุมทั้งยุโรป ไหนจะธุรกิจสีเทาอีก นีลาเดาได้จากคนที่เขาบอกว่าเป็นคู่ค้า ยามพาออกงานด้วยกัน คนพวกนั้นดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนดี แม้สวมเสื้อผ้าแบรนด์หรูหรา ประดับประดาด้วยเครื่องเพชรราคาแพง แต่ไม่อาจกลบบุคลิกอันตรายพวกนั้นได้
นีลาเคยภูมิใจยามได้อยู่เคียงข้างเขา รู้สึกเป็นผู้ชนะผู้หญิงทั้งหลาย ที่จ้องอยากได้เขาจนน้ำลายหก เธอทนงตัวว่าเก่งที่สามารถสยบชายหนุ่มผู้ได้รับฉายาสัตว์ร้ายในแวดวงธุรกิจให้เชื่องอยู่แทบเท้า
ก่อนนีลาจะถูกเขากัดจมเขี้ยว หัวใจแตกสลายซมซานกลับมาเลียแผลที่เมืองไทย
ใบหน้างามเชิดขึ้น เธอซึ่งเคยถูกโหวตเป็นดาราสวยที่สุดจากโพลหลายสำนัก แม้จะรับทตัวละครนางร้ายก็ตาม
นีลาสูดลมหายใจช้า ๆ ปัดเรื่องกวนใจในอดีตออกไป เธอผ่านมันมาแล้ว และจะไม่กลับไปจุดนั้นอีก ตอนนี้เธอมีชีวิตที่ดี มีลูก มีครอบครัวเล็ก ๆ กิจการก็เป็นไปด้วยดี
ชีวิตเรียกได้ว่าขาขึ้น โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ
เรื่องอะไรจะวิ่งเข้าใส่ดงหนาม ให้เสียดแทงเจ็บหัวใจอีกเล่า
แต่ปัญหาตอนนี้คือนีลานอนไม่หลับ เธอไม่ฝืนตัวเอง ลุกขึ้นไปหาอะไรทำ ออกแรงให้เหนื่อย เดี๋ยวก็ง่วงอยากหลับเอง มือเปิดประตูห้องแผ่วเบา เพื่อไม่ขัดนิทราเม้ยที่ยังหลับกรนครอก ๆ อยู่
ขาพาเดินมายังครัว เปิดตู้แช่สำรวจวัตถุดิบ ก้ม ๆ เงย ๆ เห็นผลไม้เหลือหลายอย่าง ทำแซนด์วิชซอฟท์ครีมผลไม้ดีกว่า มีสตรอว์เบอร์รี กีวี่ ส้ม จะเอามาทำทั้งหมด หยิบผลไม้หันกายจะเอาวางบนโต๊ะ ร่างกายกลับชนกับกำแพงแข็ง ๆ จมูกจุ่มเข้าจมกลิ่นกรุ่นเข้ม ตาเงยขึ้นตามสัญชาตญาณ
แขกไม่ได้รับเชิญยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า นีลาผงะออกทันที แต่หลังติดตู้เย็นเสียแล้ว กลายเป็นระยะระหว่างกันห่างเหลือไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน
“จะทำอะไร จะขโมยของเหรอ”
ในสถานการณ์แบบนี้ อีกฝ่ายไม่น่ามารำดาบถวายแน่ มือกอดถุงผลไม้ไว้แนบอกแน่นเป็นที่พึ่งสุดท้าย หากก้าวเข้าใกล้อีกก้าว อีกฝ่ายได้เจอฤทธิ์กระสุนผลไม้มหาประลัยแน่ แม่จะควักมาขว้างทั้งหมด
“ฉันจะเรียกตำรวจมาจับคุณ”
แล้วจะไปเผยไต๋บอกเขาทำไมละหนอเธอ
“ผมหิว”
ใบหน้าคมเข้มสลดลง ตาหมาหงอยเหมือนอัลวาตอนขอขนมกินไม่มีผิด
“ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เย็น”
มือยกลูบท้องประกอบ คนฟังไปไม่ถูก ไม่เคยเจอเขาในอาการแบบนี้ ปรกติมาดขรึม แผ่อำนาจออร่าสูงส่ง แบบคนเป็นเจ้านายคน ไม่เคยสักครั้งจะได้ยินเจ้าตัวขอร้องใคร
“ไปยืนไกล ๆ เลยนะ”
นีลาชี้ไปยังอีกมุมของห้อง ดวงตาดำมองตาม แล้วสลับกลับมองเธอ
“ไปยืนอยู่ตรงโน่นเลยนะ ไป”
เธอพยักหน้าไล่ อารมณ์ประมาณคุยกับหมาตัวโต ๆ
“ขอของกินหน่อย"
“รู้แล้ว ไปรออยู่ตรงโน้น”
ความจำเสื่อมทำให้คนปัญญาอ่อนด้วยเหรอเปล่านะ คนคนนี้ถึงได้เชื่อง เชื่อฟังเธออย่างเหลือเชื่อ
“แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกว่ายังไม่ได้กินข้าว”
ผลไม้วางลงบนโต๊ะ นีลาเปิดตูเย็นลำเลียงขนมปัง แฮม และชีสมาเพิ่ม มายองเนส มัสตาร์ดอยู่ใกล้มือพอดี เอามาเพิ่มหน่อยก็แล้วกัน
“ก็หนูดีบอกให้อาบน้ำแล้วนอน”
“ใครให้เรียกหนูดี” นีลาหันขวับตาเขียวปั๊ด
“หนูดีชื่อหนูดีไม่ใช่เหรอ”
คนมุมห้องคอย่น ก้มหน้าหลบสายตา ท่าทางสงบหงิมจนน่าหมั่นไส้
“ไม่ให้เรียก ฉันให้เรียกเฉพาะคนสนิทเท่านั้น”
หงุดหงิด ทีแต่ก่อนเรียกเธอแต่ ‘นีล่า’ ขอให้เรียกชื่อเล่นหนูดีก็ไม่ยอมเรียก บอกชื่อภาษาไทยเรียกยากไม่ชินปาก พอความความจำเสื่อมกลับพูดไทยชัดเสียอย่างนั้น
“งั้นเรียกพี่หนูดีได้ไหม”
ตาเธอแทบเรืองแสงได้ อยากปาของบนโต๊ะใส่เขานัก ความจำเสื่อมจริงใช่ไหม สติปัญญาอ่อนลง แต่ไหงความกวนตีนดันเพิ่มขึ้น
“คุณอายุมากกว่า เรียกฉันพี่ไม่ได้”
ทันใดนั้นดวงตาสีดำปรากฏประกายยินดีพาดผ่าน
“หนูดีรู้จักผม เรารู้จักกัน”
“ไม่! ไม่รู้จักเลย”
คราวนี้นีลาหลบสายตาเสียเอง พลาดไปเสียแล้ว
“หนูดีบอกว่าผมอายุมากกว่า”
“เดาน่ะ! รู้จักไหม เดา เพราะคุณตัวโตกว่า หน้าแก่กว่า ต้องอายุมากกว่า”
แสร้งเฉไฉกลบกลื่อนโดยเปิดถุงวัตถุดิบดูโน่นนี่บนโต๊ะ
“อย่าพูดมาก ฉันเสียสมาธิ เดี๋ยวก็ไม่ได้ทำอะไรให้กินหรอก”
อีกฝ่ายจึงเงียบไป กระนั้นนีลายังรู้สึกถึงสายตาพินิจ ติดตามจ้องเธอทุกอิริยาบถ
ขนหลังคอลุกเหมือนอยู่ในกรงกับสัตว์ร้าย
...ตัวเดียวกับที่กัดเธอจมเขี้ยวให้ใจสลายเมื่อห้าปีก่อน
