บทที่ 11 จินซูอันฝึกฝนหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่ง 1/2
เมื่อทั้งสิบคนประทับลายนิ้วมือบนสัญญา นั่นถือว่าพวกเขาคือคนของตระกูลจิน แรงกายแรงใจต่อจากนี้ย่อมอุทิศให้ตระกูลจินเท่านั้น ซูอันอนุญาตให้พวกเขาได้พักผ่อนเสียก่อน พอถึงยามเหม่าของวันพรุ่งนี้ การฝึกฝนที่หนักหน่วงไม่ต่างกับทหาร จะเริ่มต้นขึ้นภายใต้การควบคุมดูแลของนาง และพวกเขาต่างทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
ในยามเหม่าของวันต่อมาบริเวณลานฝึกซ้อมหลังจวน หน่วยคุ้มกันรุ่นแรกของซูอันยืนเรียงแถวอย่างมีระเบียบ เพื่อรับการฝึกฝนจากเจ้านายที่ยังไม่ปักปิ่นอย่างซูอัน
พอมาถึงลานฝึกฝน ซูอันพูดถึงความสำคัญของการฝึก
“จำไว้ให้ดี! การปกป้องชีวิตข้า ปกป้องสินค้าคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่การปกป้องชีวิตของตัวพวกเจ้าเองก็สำคัญไม่แพ้กัน พวกเจ้าไม่ใช่แค่โล่ที่ไม่มีชีวิต แต่พวกเจ้าคือดาบที่พร้อมฟาดฟันศัตรูกลับไปทุกเมื่อ”
“รับทราบขอรับคุณหนูเล็ก!!”
พอเห็นความพร้อมของคนทั้งสิบ ซูอันจึงเริ่มการฝึกฝนขึ้นทันทีขั้นแรกการฝึกร่างกายให้แข็งแกร่ง ช่วงเช้าตรู่จะเริ่มด้วยการฝึกความอดทนพื้นฐาน ทุกคนต้องวิ่งรอบลานฝึกนับสิบรอบ พร้อมแบกถุงทรายหนักบนหลัง เสียงลมหายใจถี่กระชั้นของพวกเขาเริ่มดังขึ้น ขณะเหงื่อเม็ดโตหยดลงบนพื้นอย่างต่อเนื่อง
ซูอันซึ่งสวมชุดสีดำเรียบง่ายก็ฝึกเช่นเดียวกัน เนื่องจากร่างกายนี้ยังไม่เคยรับการฝึกหนัก นางจำเป็นต้องเริ่มอย่างช้า ๆ แม้จะเหน็ดเหนื่อยก็ไม่ปริปากบ่น จนกระทั่งวิ่งรอบลานฝึกครบสิบรอบ ซูอันได้ใช้อุปกรณ์เพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้ทุกคนดู
“หากพวกเจ้าไม่สามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง จนผ่านการยกลูกเหล็กที่หนักที่สุดนี้ได้ นั่นก็หมายความว่าพวกเจ้าก็ไม่สามารถปกป้องข้าได้” ซูอันชี้ให้ทุกคนได้เห็นถึงลูกเหล็กที่มีน้ำหนักหลายสิบจิน
“แน่นอนว่าพวกเจ้าอาจล้มลงได้ทุกเมื่อ แต่อย่าล้มลงก่อนที่จะทำให้ข้าและสินค้า ที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของคนในครอบครัวให้ปลอดภัย”
“รับทราบขอรับคุณหนูเล็ก!”
ในช่วงสายหลังจากพักกินอาหารมื้อเช้า การฝึกเริ่มเปลี่ยนเป็นการฝึกต่อสู้ระยะประชิด ซูอันจัดให้ทุกคนจับคู่เพื่อฝึกการโจมตี และป้องกันตัวจากศัตรูด้วยมือเปล่า
“ทุกส่วนของร่างกายพวกเจ้า ล้วนเป็นอาวุธในการป้องกันตัวได้ สายตาต้องคอยจับจ้องศัตรูตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นหมัด เท้า เข่า ศอก ยามที่ปล่อยมันออกไปต้องถูกจุดสำคัญเท่านั้น เมื่อใดที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบจงคิดให้เร็วเพื่อกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ อวี้เหลียนลุกขึ้นมาข้าจะแสดงตัวอย่างให้พวกเจ้าได้ดู จากนั้นจับคู่กันและเริ่มฝึกทันที”
“ขอรับ”
เมื่ออวี้เหลียนหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ซูอันจึงสั่งให้เขาโจมตีนางได้เต็มที่ คราแรกอวี้เหลียนเกิดความลังเล แต่เป็นซูอันที่ออกคำสั่งเสียงเข้มงวดอวี้เหลียนจึงต้องทำตาม เขาพุ่งเข้าไปหานางใช้ท่าทางการต่อสู้เท่าที่รู้ และใช้เป็นประจำในการเป็นฝ่ายรุกด้วยกำลังที่มี
แต่เป็นซูอันที่สามารถปัดป้องได้ทุกกระบวนท่า โจมตีกลับด้วยท่าการป้องกันตัวแบบยุคปัจจุบัน และการต่อสู้แบบโบราณอย่างต่อเนื่อง ท่วงท่าของนางพลิ้วไหวดุจสายลม การโจมตีกลับของซูอันล้วนตรงไปที่จุดสำคัญของอีกฝ่ายทุกครั้ง เพียงแต่นางหลีกเลี่ยงด้วยการผ่อนแรง เพื่อไม่ให้อวี้เหลียนต้องบาดเจ็บ
ท่ามกลางสายตาของคนทั้งเก้า ที่ตั้งใจจดจำท่าทางการต่อสู้ของซูอันอยู่ตลอดเวลา พวกเขาไม่คิดว่าคุณหนูที่เป็นเจ้านายคนนี้ แม้จะมีรูปร่างบอบบางเช่นสตรีในห้องหอ แต่นางกลับมีฝีมือต่อสู้อันแข็งแกร่ง และยังสามารถล้มบุรุษด้วยมือเปล่าได้อีกด้วย
ซูอันตามติดอวี้เหลียนแม้เขาจะล้มลงไปแล้ว แต่นางกลับเดินเข้าไปจับแขนเขาไว้แน่น แล้วผลักเขาไปข้างหน้า “อย่ากลัวที่จะตอบโต้! ศัตรูของพวกเจ้าไม่มีความเมตตา หากเจ้าอ่อนแอนั่นคือเจ้าจะต้องตาย และข้ากับคนในครอบครัวก็จะตายด้วยเช่นกัน”
เว่ยโฉวแทบทนรอไม่ไหวที่จะได้ฝึกการต่อสู้นี้ เขากำลังคิดว่าถ้ามีอาวุธเช่นมีดสั้น หรืออาวุธลับติดตัวคงสังหารศัตรูได้อย่างแน่นอน เขาเป็นคนหนึ่งที่มีความฝันว่าอยากเข้ากองทัพ เผื่อสักวันหนึ่งจะได้เป็นทหารที่แข็งแกร่ง เพียงแต่ความฝันนี้ไม่อาจเป็นไปได้
เพราะหากเขาจากไปครอบครัวของเขา ก็จะไม่มีใครคอยปกป้องซูอันปล่อยมือจากแขนของอวี้เหลียน ก่อนจะหันมาสั่งให้ทุกคนจับคู่และเริ่มฝึกการต่อสู้นี้ “เอาล่ะ พวกเจ้าเลือกจับคู่และฝึกตาม ข้าจะคอยบอกหากการออกท่าทางนั้นไม่ถูกต้อง ส่วนการต่อสู้ด้วยการใช้อาวุธ ข้าจะสอนพวกเจ้าหลังยามเว่ย เริ่มได้!”
สิ้นเสียงของซูอันทั้งสิบคนจึงจับคู่กัน และเริ่มทำตามตัวอย่างที่ซูอันทำให้ดู พวกเขาออกท่าทางด้วยกำลังที่มี ไม่มีการยั้งแรงตั้งแต่ครั้งแรกที่ฝึก โดยมีเจ้านายผู้มีใบหน้างดงามแต่ดวงตากลับคมกริบประหนึ่งนักฆ่า คอยจับตาดูและช่วยแก้ไขท่วงท่าให้ถูกต้อง พวกเขาคิดว่าการต่อสู้เช่นนี้จำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น ตราบใดที่ยังอ่อนแอท่วงท่าต่อสู้ย่อมไม่สามารถกำจัดศัตรูได้
หลังจากได้พักในยามอู่เข้าสู่กลางยามเว่ย ก็มาถึงขั้นตอนการฝึกฝนสุดท้ายนั่นคือการใช้อาวุธ นอกจากนี้ซูอันยังให้ทั้งสิบคน ได้ตัดสินใจเลือกอาวุธที่คิดว่าเหมาะกับแต่ละคน พวกเขาเลือกทั้งดาบ กระบี่ ทวน ดาบสั้นและมีดบิน ซูอันให้ความสำคัญกับการสอนวิธีการป้องกันตัวในสถานการณ์คับขัน คนของนางต้องพลิกแพลงกลับมา
เป็นฝ่ายได้เปรียบ และจัดการศัตรูด้วยอาวุธที่อยู่ในมือแทน
“หากพวกเจ้าไม่มีทางหนีและเหลือแค่มีดในมืออยู่เล่มเดียว พวกเจ้าจะหาทางรอดให้กับตนเองอย่างไร?” ซูอันถามพลางโยนมีดเล่มหนึ่งไปทางเว่ยโฉว ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในสิบคนที่เลือกใช้มีดสั้น
เว่ยโฉวรับมีดจากซูอันมาถือไว้ในมือ และเข้าใจสิ่งที่นางจะสื่อกับเขา ก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาซูอันอย่างรวดเร็ว แต่นางกลับหลบหลีกด้วยการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลและรวดเร็วกว่า จากนั้นได้สวนกลับด้วยการหยิบมีดอีกเล่มจากข้างเอว แล้วจ่อมันไปที่คอของเว่ยโฉวทันที
“จงอย่าลืมว่าการมีชีวิตรอดไม่ได้ขึ้นอยู่กับพละกำลังเท่านั้น แต่มันขึ้นอยู่กับไหวพริบขณะต่อสู้ของพวกเจ้าด้วย”
ทุกคนแทบขยี้ตากับการต่อสู้ทุกอย่าง ที่ซูอันได้สอนแก่พวกเขาทุกคน ซึ่งยามนี้ทั้งสิบคนได้ยกย่องนางให้เป็นตัวอย่างในการพยายามฝึกฝน “คุณหนูเล็กโปรดวางใจ พวกข้าจะพยายามฝึกฝนให้หนัก และจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอนขอรับ!”
หลังจากการฝึกฝนสิ้นสุดลงในยามเย็น ลูกน้องทั้งสิบคนของซูอันต่างหมดแรงไปตาม ๆ กัน แต่แววตาของพวกเขากลับเต็มไปด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น พวกเขาตระหนักในใจดีว่า การเป็นหน่วยคุ้มกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
นอกจากต้องแข็งแกร่งรวมถึงฝีมือการต่อสู้แล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือต้องมีไหวพริบ รอบรู้เรื่องราวข่าวสารทุกอย่าง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจเมื่อเริ่มทำงาน และนี่เป็นเส้นทางที่พวกเขาเลือกแล้ว และพร้อมที่จะทำเพื่อปกป้องตระกูลจิน ที่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ ทำให้ครอบครัวและคนในหมู่บ้านซานอี๋ ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนี้
