3 ไอ้หมาโง่
“อ…เอ่อ คือว่า หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรือเปล่าคะ” เธอถามผมด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างลูบใบหน้าสวยของตัวเองไปมา
“ป…เปล่าหรอก”
“งั้นหรอคะ งั้นคุณช่วยตามฉันมาได้ไหมคะ”
“ไปไหน”
“ไปคลินิกค่ะ”
“ไปทำไม?” นั่นสิ เธอจะพาผมเข้าคลินิกไปทำไม ก็ในเมื่อเราทั้งสองไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อกี้เลยด้วยซ้ำ
“ก..ก็ พาเจ้าหมาน้อยตัวนี้ไปเช็คอาการไงคะ คุณไม่สงสารมันหรอ ดูสิคะ ตอนนี้มันมองหน้าคุณตาละห้อยเลย”
“ห๊ะ!?” เธอเข้าใจภาษาหมาหรือไงวะ ถึงบอกว่าหมามันกำลังอ้อนผมอยู่ ที่เห็นก็จะมีแต่ไอ้หมาในอ้อมกอดเธอกำลังทำหน้าโง่อยู่ก็แค่นั่นแหละ
“ค่ะ งั้นเราไปกันเถอะ”
“เห้ย! เดี๋ยวฉันไม่ไป” ผมรีบปฏิเสธเธอออกไป แต่เธอหาได้ฟังเสียงปฏิเสธของผมไม่ เอาแต่เดินลากจูงมือผมตรงไปตามทางเรื่อยๆ ในเมื่อไม่มีทางเลือกก็เลยเดินตามเธอไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่ถ้าใครมาเห็นเขาล้อผมตายเลยน่ะเนี่ย ที่ให้ผู้หญิงที่อ่อนแอแบบนี้เดินลากจูงเอาแบบนี้
30นาทีผ่านไป
คลินิกสัตว์น่ารัก
นี่ก็ผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วหลังจากที่โดนยัยผู้หญิงบ้าเมื่อกี้ลากมาที่คลินิกรักษาสัตว์ด้วยกัน ผมมองไปที่ห้องห้องหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นห้องให้การรักษาซึ่งมันเป็นกระจกใสสามารถมองทะลุเข้าไปได้ ผมเห็นเธอก้มๆ เงยๆอยู่ที่ไอ้หมาหน้าโง่นั้นอยู่นานก่อนจะยิ้มออกมาเหมือนกับโล่งใจอะไรสักอย่าง
เรื่องที่ผมได้รู้อีกอย่างก็คือเธอเป็นหมอรักษาสัตว์ที่คลินิกแห่งนี้ด้วย ก็นึกว่าเป็นผีบ้าที่รักสัตว์จนไม่รักตัวเองถึงได้วิ่งไปกลางถนนแบบนั้น ตอนแรกก็แปลกใจอยู่นิดหน่อยนึกว่าเธอโกหกเรื่องเป็นหมอ เห็นหน้าตาดูเด็กขนาดนั้นก็คิดว่าเรียนอยู่ม.ปลายอะไรแบบนี้เสียอีก
แกร๊ก!
เธอเปิดประตูออกมาพร้อมกับจูงหมาตัวนั้นออกมาด้วย และเดินตรงมาหาผมที่นั่งรออยู่ที่โซฟารับรอง
“เสร็จหรือยังฉันจะได้กลับ” ก็ไม่รู้ทำไมว่าตัวผมต้องมานั่งเฝ้าเธอแบบนี้ด้วย
“เสร็จแล้วค่ะ แต่ฉันมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณ”
“อะไร? แค่ฉันช่วยเธอจากความตายเมื่อกี้ยังไม่พออีกหรอ”
“เรื่องนั้นฉันรู้สึกขอบคุณคุณมากๆ เหมือนกัน แต่เรื่องนี้มันคนละเรื่อง และฉันก็กังวลมาก”
“เรื่องอะไร?”
“คุณช่วยรับเลี้ยงน้องหมาตัวนี้หน่อยได้ไหมคะ”
“ไม่!!!”
“งื้อออ~ คุณช่วยหยุดคิดสักหน่อยสิคะ ดูสิมันน่ารักมากๆ เลย อีกอย่างมันน่าจะชอบคุณนะคะ ดูสิมันกระดิกหางให้คุณไม่หยุดเลย”
“ฉันไม่ถูกกับหมา”
“นะคะคุณ ถือว่าช่วยเพื่อนร่วมโลก”
“ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับหมา”
“ฮึก คุณไม่สงสารน้องเลยหรอ ดูสิ มันต้องการความรักจากคุณนะ” เอ้า แค่ผมไม่รับไอ้หมาโง่มาเลี้ยงแค่นี้เธอถึงกลับร้องไห้เลยหรอ แล้วผมก็ไม่เคยคิดจะเลี้ยงสัตว์ด้วย อยู่ดีๆ เธอก็เดินเอามายัดเยียดให้ผมเลย
“แล้วทำไมเธอไม่เลี้ยงเองล่ะ”
“ที่จริงฉันก็อยากเลี้ยงแต่ติดที่ฉันพักอยู่ในคอนโดและไม่สามารถเลี้ยงน้องได้”
“ก็ได้ๆ ฉันจะเลี้ยงมันก็ได้” เห็นว่าไอ้หมาโง่มันน่าสงสารอยู่นิดหนึ่งหรอกน่ะ ไม่ได้แพ้น้ำตาเธอสักหน่อย เหอะ!
“จริงหรอ คุณจะรับเลี้ยงน้องจริงๆ หรอ”
“อือ แต่….”
“แต่? แต่อะไรหรอคะ” เธอทำหน้างงพร้อมกับเอียงคอเหมือนไอ้หมาโงที่ยืนอยู่ข้างๆ กันเลย
“แต่เธอต้องมาหาฉันทุกครั้งที่ฉันเรียก เพราะฉันเลี้ยงหมาไม่เป็น”
“ทุกครั้งเลยหรอคะ”
“แล้วแต่น่ะ ถ้าเธอไม่ตกลง ทุกอย่างที่พูดก่อนหน้านี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะ”
“ตกลงค่ะ ฉันตกลง” เธอรีบตอบตกลงทันทีก่อนที่ผู้ชายตรงหน้าของตัวเองจะเปลี่ยนใจไม่รับเลี้ยงน้องหมาที่ตัวเธอวิ่งไปช่วยมา
“หึ!ดีล งั้นก็เอาโทรศัพท์ของเธอมาสิ”
“อ…เอาไปทำไมคะ?”
“แลกช่องทางการติดต่อน่ะสิ เธอจะได้ไม่หนีฉันตอนที่ฉันจะโทรมาเรียกเธอไง”
“ก็ได้ค่า” เธอเอออออย่างงงๆ ก่อนจะล้วงหาโทรศัพท์ในกระเป๋าและส่งไปให้เขา
Rrrrrr Rrrrrr Rrrrrr
“หึ เรียบร้อยเอาคืนไป” ผมส่งโทรศัพท์คือเธอไปเมื่อและช่องทางการติดต่อไว้ทุกช่องทางแล้ว พร้อมกับโทรเข้าโทรศัพท์ของผมด้วยเสร็จสรรพ
“งั้นคุณซื้อพวกอุปกรณ์สำหรับเลี้ยงน้องไปด้วยเลยไหมคะ”
“งั้นเอาทุกอย่างที่จำเป็นหมาให้หมดเลย เพราะยังไงฉันก็เลือกไม่เป็นอยู่แล้ว ฝากหน้าที่นี้ให้กับเธอก็แล้วกัน”
“ค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปเลือกให้เอง ส่วนน้องก็ให้คุณถือเชือกไว้นะคะ” เธอพยักหน้าตกลงพร้อมกับส่งเชือกจูงไอ้หมาโง่นี่มาให้ผม และก็เดินหายเข้าไปในคลินิกอีกครั้ง
“นี่ไอ้หมาโง่”
โฮ่ง! โฮ่ง!
“รู้ไหมว่าแกเป็นภาระฉัน ทำตัวให้มีประโยชน์ด้วยล่ะ” ผมเป็นบ้าแล้วหรือเปล่าเนี่ยที่มายืนคุยกับหมาอยู่แบบนี้
หงิง~ หงิง~ หงิง~
“อะไร? แกร้องแบบนั้นทำไม” อยู่ดีๆ มันก็ร้องเสียงเล็กพร้อมกับเอาหัวของมันมาถูไถที่ขาของผมไปมา
“น้องน่าจะอยากให้คุณลูบหัวน้องนะคะ ลองลูบดูสิคะ น้องน่าจะดีใจสุดๆ เลยค่ะถ้าคุณลูบหัวน้อง” พนักงานในคลินิกเดินมาหาผมพร้อมกับบอกให้ผมลูบหัวหมา นี่คนในคลินิกนี้พูดภาษาหมาได้หรอ ทำไมถึงรู้ว่ามันต้องการที่จะสื่ออะไร
“หรอ แกอยากให้ฉันลูบหัวแกงั้นหรอไอ้หมาโง่”
หงิง~ หงิง~ หงิง~
ปุ๊! ปุ๊!
ผมลูบหัวมันสองสามทีพร้อมกับตบแปะเบาๆ ที่หัวมันด้วย เหมือนจะเป็นอย่างที่พนักงานเดินมาบอกจริงๆ นั่นแหละ เพราะทันทีที่ผมลูบหัวมันเมื่อกี้มันก็กระดิกหางใส่ผมใหญ่เลยแถมยังเอาหน้ามาคลอเคลียที่ขาผมหนักขึ้นไปอีก
“ลักษณะดูคุ้นๆ น่ะเนี่ย เหมือนหมาที่เคยเห็นต่างประเทศเลย” มันดูเหมือนหมาที่ไม่ควรถูกทิ้งเลยด้วยซ้ำ เพราะมันน่าจะเป็นหมาพันธุ์ของต่างประเทศ แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องพันธุ์หมาเลยเนี่ยสิ เอาไว้ค่อยถามเธอทีหลังก็แล้วกันว่ามันเป็นพันธุ์อะไร
“คุณจะเอาของเล่นด้วยไหมคะ” ผ่านไปไม่นานเธอก็เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับของใช้ที่เต็มรถเข็น
“เอามาให้หมดนั่นแหละ”
“ค่ะ รวมทั้งหมดก็จะอยู่ที่10,850บาทค่ะ จ่ายแบบผ่อนไหมคะ คลินิกเรารับผ่อนอยู่”
“เธอเห็นฉันเป็นคนไม่มีเงินขนาดนั้นเลยหรอไง” เธอดูถูกผมมากเลยน่ะ ให้ผ่อนอย่างนั้นหรอ เหอะ! ราคาแค่นี้มันไม่ทำให้ขนหน้าแข้งผมล่วงแม้แต่เส้นเดียวหรอ แล้วจำไม่ได้หรือไงว่าผมพึ่งโยนเงินให้อุบัติเหตุเมื่อกี้ไปสองแสน
“ม…ไม่ใช่นะคะ คือฉันเห็นว่าวันนี้คุณหมดเงินไปเยอะแล้ว เลยกลัวว่าคุณจะลำบากใจ”
“เพราะเธอทั้งนั้นนั่นแหละที่ทำให้ฉันต้องมาเสียเงินเยอะขนาดนี้” ผมพูดพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตไปให้เธอ
“หงึ~ ขอโทษค่ะที่ต้องให้คุณมาเปลืองเงินเพราะฉันอีกแล้ว” ถึงเธอจะพูดอย่างนั้นแต่สุดท้ายก็ยื่นมือมารับบัตรไปจากมือผมอยู่ดี
“นี่ไอ้หมาโง่ วันนี้ฉันหมดไปกับแกสองแสนกว่าแล้วน่ะ” เมื่อเธอเดินออกไปผมก็หันไปต่อว่าไอ้หมาโง่ที่ยืนอยู่ข้างผมอีกครั้ง ไม่คิดว่าแค่หมาตัวเดียวจะก่อเรื่องให้ผมหมดเงินได้เยอะขนาดนี้
หงิง หงิง หงิง หงิง
“ไม่ต้องเอาหัวมาถูขาฉันเลย”
โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง
“เฮ้อ~”
