บท
ตั้งค่า

บทที่ 29 อลิซไม่ได้ปัญญาอ่อน

คีนอซดีดนิ้วทีเดียว บรรดาคนรับใช้ก็พากันเก็บถาดอาหารออกไปจนเกลี้ยง ทั้งเช็ดโต๊ะจนสะอาดสะอ้านในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีตามที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างช่ำชอง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแก้วทรงสูงพร้อมเสิร์ฟไวน์ที่บ่มมาสิบห้าปีเป็นการปิดท้ายมื้อค่ำอีกด้วย

แต่ใครเล่าจะมีแก่ใจจิบไวน์ คงมีเพียงอลิซที่ได้รับช็อกโกแลตร้อนๆ หนึ่งแก้วและกำลังละเลียดดื่มทีละนิดอย่างดีใจ แลบลิ้นเลียฟองครีมที่ติดอยู่บนขอบแก้วแผล็บๆ

“เอาล่ะ...วันนี้เป็นวันดี ฉันจึงเชิญทุกคนมาเป็นสักขีพยานต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัว นี่คืออลิซ อองเตส เซซิล ลูกสาวบุญธรรมของฉันเอง”

“ลูกบุญธรรม!!” คนเกือบทั้งโต๊ะอุทานขึ้นพร้อมกัน มีเพียงหลานชายทั้งสองที่มองสบตากันไปมา

“ละ...ลูก...บุญธรรม?”

“มะ...หมายความว่ายังไงกันครับ?”

พริบตาเดียวหลังจากประกาศออกไป ความโกลาหลอลหม่านก็บังเกิดขึ้น นายอำเภอถูกเรียกให้ประทับตราในหนังสือจดทะเบียนรับรองการเป็นบุตรบุญธรรมและเป็นพยานในพินัยกรรมฉบับโลกแตก โดยมีทนายความประจำตระกูลเป็นผู้อ่านเนื้อความให้ฟังอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่ประโยคเดียว

เมื่ออ่านครบจบกระบวนความท่านเคาท์แฟลงคลินและเคาท์เตสมาเรียก็ถึงช็อกตาตั้ง คนอื่นๆ หากไม่ตาเหลือกค้างก็ตัวสั่นจนคุมร่างกายไม่อยู่ แม่บ้านต้องวิ่งเอายาดมมาเสิร์ฟแทนไวน์

เพราะถึงพวกเขาจะเป็นผู้ที่มีสายเลือด (จางๆ) ของตระกูล หากแต่ไม่มีใครสักคนที่ได้ใช้นามสกุลอองเตส เซซิล ต่อท้าย เพราะเชื้อสายสืบมาจากฝั่งมารดาของมาร์ควิสทั้งหมด

จู่ๆ ก็มีเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง โผล่เข้ามาใช้นามสกุลเดียวกับท่านมาร์ควิสหน้าตาเฉย ทั้งยังมีสิทธิ์ในทรัพย์สินเกือบทั้งหมดโดยชอบธรรม ซ้ำพินัยกรรมฉบับนั้นยังเป็นเหมือนเกราะคุ้มครองปกป้องภัยชั้นดีที่ทำให้พวกเขาไม่อาจทำอะไรได้มากกว่ายืนดูอยู่เฉยๆ

สุดท้ายแล้ว มาร์ควิสหนุ่มก็แค่เพียงเล่นเกมยื้อเวลารอการแต่งงานกับใครสักคนที่จะมาให้กำเนิดทายาทของเขา โดยการโยนภาระอันหนักหน่วงให้กับเด็กสาวคนหนึ่ง หรืออาจจะไม่ใช่ภาระเลยก็ได้ เพราะเด็กคนนั้น ขนาดประกาศพินัยกรรมช็อกโลกอย่างนี้แล้วก็ยังเอาแต่แลบลิ้นเลียฟองครีมอยู่ได้หน้าตาเฉยราวกับเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง

บุคคลสำคัญอย่างอลิซ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาละเลียดดื่มของโปรดอย่างไม่อนาทรร้อนใจต่อสายตาของบรรดาว่าที่เจ้าบ่าวอย่างรอนสัน เมล คีฟ และฟอล์กที่กำลังมองเธอเป็นตาเดียว

“จะให้แต่งงานกับเด็กคนนี้?”รอนสัน ซึ่งอายุย่างสามสิบแล้วร้องคราง มองเด็กสาวด้วยความสมเพช

“นึกว่าเป็นลูกหลานผู้ดีที่ไหน ที่แท้ก็แค่เด็กเร่ร่อน” สองฝาแฝดหันไปซุบซิบกัน

“อ๊า...อร่อย อลิซชอบช็อกโกแลตร้อนที่สุด”อลิซแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองเป็นการปิดท้าย ผลักแก้วออกห่างตัวแล้วเอนหลังนั่งลูบพุงมองทุกคนด้วยใบหน้าไร้เดียงสา

“ไม่คิดเลยว่าเขาจะให้พวกเราแต่งงานกับเด็กปัญญาอ่อน” เมลหันไปกระซิบเบาๆ กับรอนสันซึ่งขบกรามจนเป็นสันนูนด้วยความเคียดแค้น

“ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้”มาร์ควิสเซซิลได้ยินเต็มสองหูชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที เจ้าเด็กนั่นเป็นของเขา ใครจะมาพูดจาพล่อยๆ แบบนี้ไม่ได้ทว่ายังพูดไม่ทันจบประโยค อลิซก็ลุกขึ้นเสียก่อนพร้อมตะโกนเสียงแข็ง

“อลิซไม่ได้ปัญญาอ่อน”

นั่น! ต้องอย่างนั้นสิถึงจะเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น จะเป็นลูกของมาร์ควิสต้องห้าวหาญไม่แพ้ใคร เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงอนุญาตเมื่อเด็กสาวหันมาคล้ายจะขอพูดอะไรบางอย่างทั้งๆ ที่ริมฝีปากยังสั่นๆ เพราะไม่เคยตะโกนเสียงดังมาก่อน

เอาเลยลูก ตอกกลับให้หน้าหงายเลย! เขาแอบเชียร์อยู่ในใจ อลิซได้ทีจึงแผดเสียงดังกว่าเก่า

“เซซิล...เซซิลบอกว่า...อลิซแค่สมองทึบเฉยๆ”

เกว็น ซิมมอนส์พยายามที่จะลืมตาเมื่อได้ยินเสียงของบุรุษหลายคนดังขึ้นแว่วๆ ผสานกับเสียงย่ำเท้าของม้าคล้ายว่าจะไกลก็ไม่ไกลจะใกล้ก็ไม่ใกล้ หากแต่การโยกคลอนไปมาของอะไรสักอย่างทำให้เธอเวียนศีรษะจนไม่อาจลืมตาขึ้นได้ก่อนเสียงทั้งหลายจะค่อยๆ ไกลห่างออกไปและสุดท้ายก็เหลือเพียงความเงียบสงบ

ลอร์ดคาวารอนเปิดผ้าม่านหน้าต่างในตู้เกวียน ครั้นเห็นหญิงสาวยังนอนขดอยู่บนเบาะก็ปิดลงดังเดิม แล้วควบม้าไปยังตู้เกวียนของรถม้าอีกคันที่อยู่หน้าขบวน เขาโบกมือส่งสัญญาณให้ทหารที่ควบม้านำขบวนชะลอฝีเท้าให้ทหารอารักขากว่าสิบนายกระจายกันออกไปยืนสังเกตการณ์และให้อาหารม้า

“กระหม่อมนำโอสถมาถวายพะยะค่ะ”ลอร์ดคาวารอนพูดเสียงเบาอยู่ข้างหน้าต่างผู้ที่อยู่ในตู้เกวียนไม่ได้ยื่นมือออกมารับ หากแต่ค่อยๆ ก้าวออกมาทางประตูอย่างระมัดระวัง ทำให้เขาถลาเข้าไปรับแทบไม่ทัน

เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ยกพระหัตถ์ขึ้นห้ามคนสนิทที่มักจะทำเหมือนเขาเป็นคนพิการอยู่เสมอ เขาใช้ไม้เท้าค้ำยันร่างกาย แหงนพระพักตร์สูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอด พอพระทัยกับช่วงเวลานี้เป็นอย่างยิ่ง

“ทรงปวดพระเศียรหรือไม่พะยะค่ะ?” ลอร์ดคาวารอนยังถามย้ำด้วยความเป็นห่วง ด้วยออกเดินทางมาแล้วหลายชั่วโมงทั้งอากาศหนาวจัดนั้นมีผลต่อสภาพพระวรกายของเจ้าชายไม่น้อย

“เราสบายดี ไม่ต้องพึ่งยา”

“หากหล่อนฟื้นขึ้นมา จะให้กระหม่อมจัดการหล่อนอย่างไรดีพะยะค่ะ”เป็นที่รู้กันว่าผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงอย่างเลดี้เกว็นไม่มีทางจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมแน่นอน ดังนั้น เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น เขาจึงฉีดยาสลบไว้ถึงสองเข็ม

เรื่องนี้มีเดิมพันมูลค่ามหาศาล สำหรับดยุคดาร์มิน เลดี้เกว็น คือธิดาสุดรักสุดหวงและมีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้สืบทอดกิจการอุตสาหกรรมใหญ่ของตระกูลมากกว่าพี่ชายไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างเคาท์ดาโก้ ทั้งความไม่ลงรอยกันระหว่างสองพี่น้องก็เป็นเหตุให้ผู้เป็นพ่อต้องปวดหัวอยู่บ่อยๆ การหายตัวไปของเธอ ย่อมส่งแรงสะเทือนออกไปเป็นวงกว้าง

เขาไม่รู้ว่าเคาท์ดาโก้ทำจดหมายปลอมของมาร์ควิสเซซิลเพื่อให้เธอเดินทางไปแคปตอลทาวน์เพราะเหตุใด ทั้งยังเลือกช่วงเวลาที่ดยุคดาร์มินไม่อยู่ แต่นั่นก็ทำให้พวกเขาลงมือได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

“เลี้ยงไว้จนกว่าจะถึงเวลายื่นข้อต่อรอง อยู่ที่กีซให้เงียบที่สุดจนกว่ามาร์ควิสเซซิลจะเคลื่อนไหว” เจ้าชาย อเล็กซานเดอร์ตรัสด้วยพระสุรเสียงเฉื่อยเนือย

“พะย่ะค่ะ” ลอร์ดคาวารอนผงกศีรษะรับ ก่อนจะถอยออกไปและส่งสัญญาณให้ทหารถอยออกไปจากบริเวณนี้อีกคนละยี่สิบก้าว เพื่อให้พระองค์ได้พักผ่อนตามลำพัง

เจ้าชายอเล็กซานเดอร์มิได้ทรงขยับพระวรกาย เพียงแต่ยืนคิดคำนึงถึงใครบางคนในช่วงเวลาอันยากลำบากตอนที่ถูกทรมานอยู่ในคุกใต้ดิน กระทั่งเวลาที่เขาคิดว่าเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต

ใครบางคนๆ นั้นมีชื่ออันต่ำต้อยว่าเดซี่ เช่นเดียวกับดอกเดซี่ที่ขึ้นอยู่ตามท้องทุ่งและถูกมองข้าม ทว่ากลับมีตัวตนเด่นชัดอยู่ในความทรงจำของเขา แม้ว่าสติสัมปชัญญะที่มีอยู่จะรางเลือนเหลือเกินในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย วินาทีที่เขานาบตราประทับลนไฟลงไปบนผิวเนื้อของเธอ ริมฝีปากซีดจางกลับเม้มแน่นเพื่อกลั้นเสียงกรีดร้องอย่างสุดความสามารถ เพื่อมิให้ผู้ที่บงการการสังหารเขาได้สิ่งสำคัญนั้นไปและแม้ว่าเจ้าดอกเดซี่จะถูกเฆี่ยนตีภายใต้โซ่ตรวนอันแน่นหนา ดอกไม้ที่ไร้ค่าดอกนั้น ก็ยังมองเขาด้วยความบูชาชื่นชม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel