บทที่ 6
THE ILLUSION OF LOVE มารยายั่วรัก
Chapter 6
เธอกำลังกลัวหัวใจตัวเอง ไม่รู้ว่าเงินค่าจ้างที่เธอได้รับจะคุ้มกับความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจเธอตอนนี้หรือเปล่า
หลังจากหญิงสาวออกจากห้องไป ณัฐภัทรได้แต่นั่งนิ่งทบทวนความรู้สึกที่แทรกเข้ามาโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งที่ผ่านมาเขาไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนสักคนแต่ทำไมครั้งนี้เขากลับรู้สึกเหมือนมีแรงบางอย่างดูดเขาเข้าหาเธอ กลิ่นกายสาวที่ยังคงติดปลายจมูกเขา ยิ่งทำให้เขาคิดถึง
เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้คิดถึงสักหน่อย !
“บ้าเอ๊ย !”
ชายหนุ่มส่ายหน้ากำหมัดแน่ทุบไปที่โต๊ะอย่างแรง หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไม บางทีอาจเป็นแค่เพียงอารมณ์ชั่ววูบก็เท่านั้น...
เวลาผ่านไปนานเกือบชั่วโมง ณัฐภัทรนั่งอยู่ภายในห้องคนเดียวด้วยความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นในใจเขา ชายหนุ่มหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านต่อ อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้เข้าใกล้ผู้หญิงมานานแล้วก็ได้ถึงได้รู้สึกสับสน เพราะตั้งแต่พิศชามนต์จากเขาไป เขาก็ไม่เคยมองใครอีกเลยและเขาไม่เคยเข้าใกล้ชิดผู้หญิงมากขนาดนี้
สายตาคมมองไปที่นาฬิกาข้อมือ เกือบเที่ยงแล้วงานของเขายังคงไม่ขยับไปไหน ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานเดินออกจากห้องไป
บรรดาพนักงานที่ยืนคุย เมื่อเห็นณัฐภัทรเดินออกมาจากห้องทำงาน ก็ต่างรีบเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานเหมือนเดินด้วยความตกใจ เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านพ้นไปเสียงซุบซิบนินทาก็ได้ดังขึ้นอีกครั้งซึ่งนั้นเป็นเรื่องที่เฉยชินสำหรับเขาเสียแล้ว
“น่าเสียดายเนอะ” เสียงของพนักงานสาวเอ่ยขึ้น
“เสียดายอะไรย่ะ สายตาหล่อนมองคุณณัฐภัทรไม่วางตาเลยนะ” สาวประเพศสองมองหน้าเชิดใส่
“ก็ฉันเสียดายนี่ คนหล่อ ๆ แบบนี้ไม่น่าเป็นเกย์เลย”
“เป็นเกย์อะไรกัน หล่อนนี่มั่วไปหมด” สุรชาติสาวประเพศสองเดินเข้าไปตีที่แขนของเบาๆ
“ก็ฉันเห็นคุณณัฐภัทร ไม่สนใจผู้หญิงคนไหนเลย ถึงขนาดสั่งให้ผู้ชายนำเอกสารไปส่งให้เท่านั้น เจ๊ไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอ”
“ไม่รู้สิ แต่ฉันว่าไม่ใช่”
“ไปกินข้าวกลางวันกัน เรื่องส่วนตัวเจ้านายอย่าไปยุ่งจะดีกว่านะ”
แสงอาทิตย์ยามอัสดงส่องผ่านหน้าต่าง ณัฐภัทรถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้าส่วนหนึ่งเป็นงานที่ทำ แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของ จิรภาณินท์ ไม่เพียงต้องเจอหน้าทุกวันหลังจากนี้ ไม่ใช่เพราะว่ากลัวแผนของย่าจะสำเร็จ แต่กลัวว่าความรักที่มีต่อคนรักจะถูกลืมเลื่อนได้ด้วยหรือไม่
ชายหนุ่มหัวเราะสมเพชกับตัวเอง คนอย่างเขาจะมีความรักที่แท้จริงได้อย่างไร ในเมื่อทุกอย่างมันจบไปแล้ว
“คุณย่าเป็นคนบังคับผมเอง” เขาพูดกับตัวเองพร้อมเปิดประวัติหญิงสาวหยิบที่อยู่ออกมาก่อนเก็บลง บางทีควรจะสั่งสอนบ้างซะแล้ว
ณัฐภัทรหยิบกุญแจรถพร้อมลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป วันนี้แค่เผลอไปเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเงินที่ย่าเสนอให้คงไม่ลงทุนยั่วขนาดนั้นหรอก
ชายหนุ่มขับรถออกจากบริษัทพลางกรุ่นคิดหาวิธีที่จะทำให้ แผนของย่าล้มเหลว เพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมงหยุดจอดลงหน้าบ้านไม้ขนาดสองชั้น ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ เดินไปกดกริ๊งที่หน้าบ้านรัวติดกันหลายรอบ
จนเจ้าของบ้านต้องรีบวิ่งออกมาดูด้วยความตกใจ
“มาหาใครคะ”
ณัฐภัทรมองใบหน้าหญิงวัยกลางคนอย่างพินิจ ละม้ายคล้ายคลึงกับหญิงสาวที่พบเมื่อเช้า
“ ผมมาหาจิรภาณินท์ครับ” เขาตอบ
“มาหาณินท์หรอคะ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับลูกสาวฉันหรือคะ”
“ผมเป็นเจ้านายของเธอ”
“เออ...ค่ะ รอสักครู่นะคะ ฉันจะไปตามเธอมา” ว่าแล้วสายพิรุณเดินเข้าไปภายในบ้าน ผ่านไปไม่ถึงห้านาที จิรภาณินท์เดินออกมาข้างนอกบ้านด้วยความตกใจเมื่อพบกับชายหนุ่ม
“คุณณัฐภัทร คุณมาได้ยังไงคะ !” หญิงสาวร้องอุทานด้วยความตกใจ พร้อมถอยหลังกลับเข้าไปในตัวบ้าน
“นั่นเป็นคำถามที่ผมไม่ตอบ แต่ถ้าคุณไม่ออกมาผมจะเข้าไปหา”
ได้ผลเกินคาด จิรภาณินท์เดินออกมาจากตัวบ้านก้าวเข้ามาหา มือเปิดรั้วประตูออก ก่อนส่งสายตายั่วมอง
“คุณมีอะไรคะหรือว่าคิดถึงฉัน”
ไม่หยุดยั่วทั้งที่ใจก็กลัวคนตรงหน้าแทบตัวสั่น
“ผมแค่มีข้อเสนอมาเสนอคุณ” เขากล่าว พลางยิ้มออกมาราวกับมีชัยชนะรออยู่ก่อนแล้ว
“ข้อเสนอ ?”
“ใช่ ข้อเสนอ”
“ข้อเสนออะไรคะ แล้วทำไมคุณถึงต้องมาหาฉันถึงบ้าน” เธอถามด้วยความสงสัย มองอย่างไม่เข้าใจ
“รับปากตกลงก่อน ผมถึงจะบอก”
จิรภาณินท์มองด้วยสายตาที่ลังเล ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ฉันตกลงรับข้อเสนอของคุณ บอกข้อเสนอของคุณมาสิคะ”
ณัฐภัทรยิ้มด้วยความพอใจ
“ผมจะให้เงินคุณมากกว่าเงินที่คุณย่าให้คุณ ถ้าคุณต้องการมากกว่านั้นผมก็ยินดีให้ หรือจะให้ผมหางานให้คุณทำด้วยก็ได้”
“เพื่ออะไรคะ” เธอถาม
“เพื่อออกไปจากชีวิตผม”
ข้อเสนอที่ได้ยินถึงกับอึ้งทันที หญิงสาวซ่อนความรู้สึกไว้ภายใต้รอยยิ้มหวานที่ยิ้มตอบให้ “คุณมั่นใจหรอคะ ว่าฉันจะตกลงรับปาก”
“ผมมั่นใจ” เขาโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างใบหูของเธอ “แต่คุณคงไม่คิดว่าเงินที่ผมให้น้อยไปจนคุณอยากได้เพิ่มขึ้นมาอีก”
จิรภาณินท์ถอยออกห่าง พลางยิ้มหวานให้ “ถ้าฉันอยากได้คงเป็นหัวใจของคุณมากกว่ามั่งคะ ”
“หึ คุณหวังสูงเกินไป” ณัฐภัทรข่มน้ำเสียงตอบกลับ
“เหรอคะ งั้นฉันคงรับข้อเสนอของคุณไม่ได้ค่ะ เพราะฉันอยากได้หัวใจของคุณมากกว่าเงินซะอีกค่ะ”
“แล้วคุณจะต้องเสียใจ” เขาพูดก่อนจะเดินกลับไปที่รถทิ้งให้ จิรภาณินท์มองรถขับผ่านหน้าออกไป...
วันรุ่งขึ้น ณัฐภัทรเดินเข้ามาในห้องทำงานสายตาเหลือบมองไปที่โต๊ะทำงานของจิรภาณินท์ที่ถูกนำเข้ามาเมื่อช่วงตอนเย็นของเมื่อวาน
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีประตูเปิดออก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองร่างอรชรที่อยู่ในชุดเดรสสีชมพูหวานก้าวเข้ามา ก่อนจะก้มลงทำงานตามเดิมโดยไม่ปริปากพูด
จิรภาณินท์มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจ อุตส่าห์เลือกชุดตั้งนานเพื่อที่จะให้เขามองเธอจนตาค้าง แต่ที่ไหนได้ ไม่สนใจสักนิดแล้วแบบนี้แผนของเธอจะสำเร็จไหม
เธอเดินเข้าไปหาก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบที่ข้างใบหูของชายหนุ่ม
“คุณณัฐภัทรคะ”
ณัฐภัทรปรายตาขึ้นมอง “งานของคุณอยู่บนโต๊ะ”
จิรภาณินท์มองไปยังโต๊ะทำงานขนาดกลางวางอยู่สุดมุมห้อง ห่างจากโต๊ะของเขาหลายเมตร
“ไม่ไกลไปหน่อยหรอคะ”
“ไม่” เขาตอบสั้นก่อนจะลุกขึ้นมามองใบหน้าสวยอย่างชิดใกล้
“ถ้าคุณอยากนั่งใกล้ผม” เขาโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูพร้อมยิ้มที่มุมปาก “ก็เลื่อนโต๊ะ มานั่งข้าง ๆ ผมสิ”
ไม่มีคำตอบ จิรภาณินท์นิ่งเงียบมองคนตรงหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยสายตาขุ่นเคือง ก่อนจะยิ้มหวานให้พร้อมยกมือขึ้นลูบไปตามชุดสูท
“ไม่จำเป็นหรอค่ะ”
ณัฐภัทรยิ้มด้วยชัยชนะพลางนั่งลงขณะพูด “ก็ดี ไปทำงานได้แล้ว”
จิรภาณินท์มองคนตรงหน้าอย่างมีแผน
เธอต้องเสี่ยงสักครั้ง !
จิรภาณินท์เดินเข้าไปหาชายหนุ่มใกล้ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบไล้ตามเสื้อสูท แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ณัฐภัทรรู้สึกมีอารมณ์แต่อย่างใด
ใจแข็งไปไหนกันนะ
“ออกไป” คำสั้น ๆ ที่ทำให้หญิงสาวหยุดชะงักลง ไม่ใช่เขาพูดแทงใจเธอแต่น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นและน่ากลัว
“ทำไมคะ คุณกลัวอย่างนั้นหรอคะ”
“ออกไป”
“ไม่ค่ะ ยอมรับมาดีกว่าว่าคุณกลัวอดใจไม่ไหวใช่ไหมคะ”
ความอดทนขาดลงทันที คราวนี้จะต้องสั่งสอนซะบ้าง ณัฐภัทรหมุนเก้าอี้ออกมาด้านข้างก่อนจะลุกขึ้นเผชิญหน้าสวยที่ยิ้มให้ ดึงจิรภาณินท์เข้ามาแนบชิดพร้อมโน้มตัวลงประจบจุมพิตเล็กทันที
