บท
ตั้งค่า

บทที่12 เข้าสู่ตลาด

“เวยเวยเงินหนึ่งร้อยล้านที่กู้จากธนาคารเข้าแล้วนะ ในที่สุดคุณก็เอาเงินนี่ไปลงทุนได้สักที!”

“ช่วงนี้เถสัชกรรมตระกูจางของผมกำลังจะเข้าสู่ตลาด คุณจะลงทุนสักหน่อยไหม?”

ซูเทียนเวยตกตะลึง

เถสัชกรรมตระกูจางเป็นถึงองค์กรขนาดใหญ่ มีมูลค่าในตลาดมากกว่าหนึ่งพันล้าน

ถูกจัดอันดับให้เป็นองค์กรคุณภาพสูงในเมืองเจียงเป่ยติดต่อกันห้าปี จ่ายภาษีหนึ่งปีเกือบร้อยล้าน

ช่วงสองปีที่ผ่านมามีการระดมทุนเกิดขึ้นเพียงสองรอบแล้ว โอกาสนี้หายากมากๆ โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน

การเข้าตลาดครั้งนี้ คงทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าแน่ๆ!

“วางจำหน่าย? ฉันไม่เห็นบริษัทแกประกาศระดมทุนอย่างเป็นทางการเลยนะ!”

ความสงสัยแวบขึ้นมาในดวงตาของโจวหงเยญ

โดยปกติแล้วการระดมทุนจะต้องมีการจัดงานแถลง เพื่อเป็นการดึงดูดผู้คนในการลงทุน แต่ช่วงนี้ทางตระกูลจางไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย

จางเผิงยิ้มแล้วอธิบายว่า: “พวกคุณก็รู้ เถสัชกรรมตระกูจางจ่ายภาษีหนึ่งร้อยล้านติดต่อกันหกปี”

“ตอนนี้อุตสาหกรรมผลิตยากำลังมาแรง มีช่องว่างให้เติบโตได้อีกมากมาย ถ้าได้เข้าตลาดเมื่อไหร่หุ้นต้องขึ้นสูงแน่นอน จะปล่อยโอกาสนี้ให้คนอื่นได้ยังไง?” 

“เพราะฉะนั้น ครั้งนี้ให้โอกาสเฉพาะวงในเท่านั้น” 

“มีของดีก็ต้องแบ่งกันเองสิ ยังไงก็ต้องเพิ่มสวัสดิการให้พวกพนักงานหน่อย หลังจากเข้าตลาดแล้วพวกเขาจะได้เงินปันผลด้วย!”

“ถ้าไม่ได้เห็นแก่ว่าเรารู้จักกันมาสิบกว่าปี ผมไม่บอกเรื่องนี้ให้หรอกนะ เพราะยังไงแล้วมันก็เป็นการค้าขายที่ทำกำไรได้หลายเท่าอยู่แล้ว” 

สีหน้าของซูเทียนเวยดูเริ่มตื่นเต้น

ธุรกิจของตระกูลซูซบเซาลง ต้องการโปรเจ็กต์ใหม่อย่างเร่งด่วน

ในฐานะที่เธอเป็นประธานถึงได้ติดต่อหลิวต้าเชียนเพื่อของาน เธออยากจะลงทุนสักสองสามบริษัทเพื่อช่วยตระกูลซูกลับมาฟื้นตัวได้

แล้วจางเผิงเข้ามาช่วยเหลือได้ตรงเวลาพอดี เป็นผู้มีพระคุณต่อตระกูลซูจริงๆ!

จางเผิงเลิกคิ้วขึ้น เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม: “เวยเวยผมเจรจากับพ่ออยู่ตั้งนาน กว่าแกจะยอมอนุญาตให้สิทธิ์ลงทุนสองร้อยล้าน”

“คุณเองก็ไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น ถ้างั้นคุณก็ลงเท่าที่คุณมีแล้วกัน ที่เหลือเดี๋ยวผมแบ่งให้พนักงานแทน!”

ซูเทียนเวยลังเล: “ฉันอยากลงทุนสองร้อยล้าน แต่ธนาคารให้กู้แค่หนึ่งร้อยล้าน เงินบริษัทยังเหลืออีกหกสิบล้าน สมาคมการค้าว่านหลงติดหนี้อีกสี่สิบล้าน”

“ถึงจะขอเงินกลับมาได้ แต่ก็ต้องใช้หนึ่งร้อยล้านเพื่อเซ็นสัญญากับผู้จัดการหลิวอีก”

จางเผิงหัวเราะแล้วพูดว่า: “โปรเจ็กต์นั่นของผู้จัดการหลิวความเสี่ยงสูง ใช้เวลานานกว่าจะทำกำไรได้”

“ส่วนตระกูลจางถ้าเข้าตลาดเมื่อไหร่ก็จะสามารถทำกำไรมากกว่าสองเท่า จากสองร้อยล้านก็จะเป็นหกร้อยล้าน”

“นี่ไม่ใช่โอกาสที่จะหาได้ง่ายๆ นะ!”

“แน่นอนว่า คุณจะลงทุนเท่าไหร่ก็ได้ ผมแล้วแต่คุณ!”

จางเผิงทำท่าทางสบาย และไม่ได้พูดอะไรต่อ

“งั้นฉันไปบอกผู้จัดการหลิวก่อนว่ายังไม่เซ็นสัญญา” ซูเทียนเวยพูดพร้อมพยักหน้า:

“เดี๋ยวกลับไปแล้ว ฉันโอนให้คุณก่อนหนึ่งร้อยหกสิบล้านนะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปถามทางสมาคมการค้าว่านหลงดู”

“คุณชายจาง สี่สิบล้านนั้นคุณต้องเหลือไว้ให้ฉันด้วยนะ!”

“ฮ่าๆ!” จางเผิงหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “เวยเวยคุณเห็นผมเป็นคนยังไง ผมต้องเหลือไว้ให้คุณแน่นอนสิ”

“เดี๋ยวผมจะบอกหัวหน้าแผนกเซี่ยงไว้ให้นะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เขาคืนเงินสี่สิบล้านนั่นแน่นอน!”

“เอ๊ะ? เยณเยณทำไมเงียบล่ะ เธอจะซื้อหุ้นด้วยไหม?”

“ฉันไม่ล่ะ” โจวหงเยญส่ายหัว ก่อนจะยิ้มปฏิเสธ

ตระกูลโจวของเธอนั้นร่ำรวยเป็นอันดับสองของเมืองจินหลิง ซึ่งอยู่เหนือกว่าตระกูลซูเล็กน้อย

เมื่อปีที่แล้วทางตระกูลของเธอจับเธอคลุมถุงชน ฝ่ายตรงข้ามคือคนที่ร่ำรวยมากที่สุดในเมืองจินหลิง

แต่โจวหงเยญไม่ได้ชอบเขา จึงมาหลบอยู่ที่เมืองเจียงเป่ยเพื่อหนีการแต่งงาน และตอนนี้เธอยังไม่อยากติดต่อกับทางบ้าน

จางเผิงได้ยินเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าที่ผิดหวัง แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ

หลังจากที่ทั้งสามรับประทานอาหารเสร็จ ต่างคนต่างกลับบ้านตัวเอง

เพียงไม่นาน ฉินเจียงก็ได้รับสายที่โทรมาจากซูเจิ้งเหอ เขาบอกว่ามีเรื่องน่ายินดี ให้เขามาทานข้าวที่ตระกูลซู

ฉินเจียงไม่กล้าปฏิเสธ จึงออกจากจวนตระกูลจ้าว แล้วไปที่ตระกูลซู

“เสี่ยวฉิน! ช่วงก่อนงานที่บริษัทค่อนข้างอยู่ เลยไม่ได้เรียกนายอยู่ทานข้าวด้วย”

“ตอนนี้จัดการเสร็จหมดแล้ว บริษัทยังได้ธุรกิจที่ทำกำไรไม่มีขาดทุนมาด้วย คืนนี้เรามาดื่มกันเถอะ!”

ซูเจิ้งเหอลากฉินเจียงให้นั่งลง เขาพูดพร้อมยิ้มแย้ม

ฉินเจียงกล่าว: “คุณลุงซูครับ ธุรกิจอะไรทำให้คุณลุงมั่นใจมากขนาดนั้นครับ!”

“เถสัชกรรมตระกูจาง กรุ๊ป วางแผนจะเข้าตลาด พวกเขากำลังหาหุ้นเพิ่ม แล้วให้สิทธิตระกูลซูลงทุนสองร้อยล้าน” ซูเจิ้งเหอพูดอย่างภาคภูมิใจ

“ตระกูลจาง กรุ๊ปเป็นองค์กรที่ดีเด่นในเมืองเจียงเป่ย ตอนระดมทุนเมื่อสองปีก่อน เป็นเรื่องยากมากเลยรู้ไหม คนที่ลงทุนไปตอนนั้นได้กำไรกันจนรวยเละหมดแล้ว”

“เพราะฉะนั้นครั้งนี้ให้โอกาสกับคนในเท่านั้น กะให้เป็นสวัสดิการของพนักงานในองค์กร” 

“ถ้าไม่ใช่เพราะเวยเวยสนิทกับจางเผิง โอกาสนี้บ้านเราคงไม่มีทางได้หรอกนะ!”

“สองร้อยล้าน......” มุมปากของฉินเจียงกระตุกอย่างไม่มีสาเหตุ

ตอนอยู่ที่จวนตระกูลจ้าวเขาได้ยินมาว่า พ่อลูกตระกูลจางแพ้พนันที่ที่มาเก๊าไปสามร้อยล้าน ยาตัวใหม่ก็มีปัญหาอีก

องค์กรเป็นหนี้ไปแล้วหนึ่งพันล้าน พวกเขาเลี้ยงอาหารประธานธนาคารจ้าวซิงเย่ เพื่อกู้เงินแต่ก็ถูกปฏิเสธ

ตระกูลจางกำลังประสบปัญหาทั้งในและนอกองค์กรก็ว่าได้ พวกเขาแทบจะล้มละลายแล้ว ตอนนี้ยังจะเข้าตลาดอีก?

ฉินเจียงใช้ความคิดอยู่สักพัก และพูดโน้มน้าวอย่างใจเย็น: “คุณลุงซูครับ ห้ามซื้อหุ้นเถสัชกรรมตระกูจางเด็ดขาด ยกเลิกเถอะครับ”

“เมื่อต้นปี พ่อลูกตระกูลจางแพ้พนันที่มาเก๊าสามร้อยล้าน ยาตัวใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดก็ดันมีปัญหา”

“ตอนนี้พวกเขาเป็นหนี้หนึ่งพันล้านแล้วนะครับ เข้าตลาดครั้งนี้เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ จุดประสงค์ของพวกเขาน่าจะหอบเงินแล้วหนีมากกว่านะครับ” 

“คุณลุงซูครับ เถสัชกรรมตระกูจางน่าจะใกล้ล้มละลายแล้วนะครับ อย่าไปเชื่อคำพูดไอ้จางเผิงนั้นเลยครับ!”

ฉินเจียงพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

“ว่าไงนะ?!”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ ก็เบิกตากว้าง

ซูเทียนเวยทำหน้าอารมณ์เสีย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า: “ฉินเจียง นายไม่มีปัญญาเอง แล้วยังอิจฉาคนอื่นอีก!”

“ทุกครั้งที่คุณชายจางจะช่วยเหลือพวกเรา ถ้านายไม่แย่งความดีที่คนอื่นทำ ก็พูดใส่ร้ายคนอื่น ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่าสมองนายมีปัญหาแน่ๆ!”

หลี่ต้ายฉินพูดเสริม: “คุณชายจางเห็นว่าตระกูลซูกำลังลำบาก กว่าเขาจะไปขอสิทธิ์ในการลงทุนสองร้อยล้านให้พวกเราได้”

“นายกลับใส่ร้ายว่าเขาเป็นหนี้หนึ่งพันล้าน?” 

“คนที่ใช้เงินหลายล้านซื้อภาพวาด โทรศัพท์กริ๊งเดียวก็ทำให้ประธานธนาคารจ้าวอนุมัติเงินกู้ของตระกูลซูได้ ดูเหมือนตระกูลที่จะล้มละลายเหรอ?”

“อีกอย่าง ครั้งก่อนที่นายมีเรื่องกับหัวหน้าแผนกเซี่ยงที่สโมสร ถ้าไม่ได้จางเผิงช่วยเอาไว้ นายคงพิการไปนานแล้ว ไม่แน่อาจจะสร้างปัญหาให้ตระกูลซูเพิ่มด้วย!”

“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ เขาอุตส่าห์ช่วยนายเอาไว้ นายยังจะไปใส่ร้ายเขาอีก จิตใจนายทำด้วยอะไรกัน!”

โจวหงเยญไม่ได้กล่าวหาฉินเจียงตามปกติที่เธอชอบทำ

เธอนั่งเงียบ คนที่เธอเห็นเมื่อคืนคือฉินเจียงจริงๆ ใช่ไหม?

“เสี่ยวฉิน ฉันรู้ว่านายไม่พอใจจางเผิง แต่เวยเวยเห็นเขาเป็นแค่เพื่อน”

“เรื่องนี้มีผลต่ออนาคตของตระกูลซู อย่าใช้แต่อารมณ์ อย่าพูดใส่ร้ายไปทั่วทำให้ผิดใจกับตระกูลจางสิ!” ซูเจิ้งเหอพูดโน้มน้าวอย่างจริงจัง

ฉินเจียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มหน้าแห้ง และพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า: “คุณลุงซูครับ ผมไม่ได้ใส่ร้ายนะครับ ผมได้ยินจากปากตระกูลจ้าว ตอนทานข้าวที่จวนตระกูลจ้าวเมื่อวานนี้ครับ”

“จวนตระกูลจ้าว?” หลี่ต้ายฉินหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะหันไปหัวเราะเยาะเย้ยกับซูเจิ้งเหอ:

“นายซู ลูกเขยที่นายหามาเนี่ยเก่งจริงๆ เก่งจนโกหกไปถึงตระกูลจ้าวแล้ว!”

“ฉันว่าอีกไม่นาน นายนี่ก็คงกล้าพูดว่ารู้จักนายกจังหวัดแล้วแหละ!”

“เหอะ! ไม่ดูสารรูปของตัวเองเสียก่อน!”

“เป็นแค่นักโทษปฏิรูปแรงงานยังจะกล้าเข้าจวนตระกูลจ้าว ยังไม่ทันได้แตะรั้วบ้านเขา ก็คงถูกตีจนขาเดี้ยงแล้วทิ้งไว้กลางถนนแล้วมั้ง!”

ซูเทียนเวยทำสีหน้ารังเกียจ: “ฉินเจียง ยอมรับว่าคนอื่นเก่งยากมากเลยหรือไง?”

“ไม่ได้ขอให้นายมาช่วย ก็ช่วยหยุดสร้างปัญหาได้ไหม?” 

“จำสถานะของนายเอาไว้ ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับตระกูลซู กรุ๊ป เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นคือห้ามพูดใส่ร้ายคุณชายจาง!”

โจวหงเยญอยากจะช่วยฉินเจียงพูดแก้ตัว แต่กำลังจะอ้าปากพูดนั้นก็ถูกซูเจิ้งเหอพูดแทรกเสียก่อน:

“เสี่ยวฉิน นายอย่าคิดมากนะ ตระกูลซูทำงานร่วมกับตระกูลจางทางธุรกิจเท่านั้น ไม่เรื่องส่วนตัวเกี่ยวข้องทั้งนั้น”

“นายจะยังเป็นสามีของเวยเวยถึงจางเผิงจะดีกว่าขนาดไหน ก็สามารถแทนที่นายในใจของฉันได้อยู่ดี”

“ดังนั้น นายไม่ต้องอิจฉาจางเผิงหรอก แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้กันอีกแล้ว”

ฉินเจียงหยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ไม่อยากจะเปลืองน้ำลายต่อ จึงหาข้ออ้างออกจากตระกูลซู

“เห้อ! เด็กนี่มีความคิดแบบนี้ได้ยังไงนะ สงสัยตอนเด็กไม่ค่อยได้เปิดหูเปิดตา”

“เดี๋ยวอยู่เมืองเจียงเป่ยไปสักพัก ได้สัมผัสแวดวงคนชั้นสูงกับเวยเวยก็คงดีขึ้น”

ซูเจิ้งเหอมองแผ่นหลังของฉินเจียงที่เดินจากไป ก่อนจะส่ายหัว ในหัวเขาคิดว่าจะไปห้องอ่านหนังสือ

“พี่คะ หนูคิดว่าฉินเจียงไม่ได้โกหก เราอย่าเข้าไปยุ่งกับการเข้าสู่ตลาดของเถสัชกรรมตระกูจางเลยดีกว่า” โจวหงเยญพูดโน้มน้าวหลังจากที่คิดอย่างรอบคอบ:

“อีกอย่าง หนูรู้สึกว่าเรื่องที่จ้าวซิงเย่อนุมัติเงินกู้ ก็เพราะความช่วยเหลือของฉินเจียง”

ก่อนหน้านี้ฉินเจียงเคยบอกว่า เรื่องเงินกู้แค่คำพูดเดียวก็สามารถทำให้เขาอนุมัติได้แล้ว

วันนี้ยังเจอเขาปรากฏตัวที่จวนตระกูลจ้าวอีก ยิ่งทำให้โจวหงเยญคิดว่าเรื่องเงินกู้นั้นก็เป็นความทุ่มเทของฉินเจียง

หลังจากที่ซูเทียนเวยได้ยิน ก็มองโจวหงเยญอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะพูดอย่างตกใจว่า:

“เยณเยณ แกได้อะไรจากฉินเจียง ถึงได้แก้ตัวให้มัน?”

“มันเป็นแค่โคลนเน่าเหม็น แกห้ามหลงกลเด็ดขาดนะ นักโทษปฏิรูปแรงงานคนหนึ่ง จะไปเป็นแขกจวนตระกูลจ้าวได้ยังไง?”

ซูเทียนเวยรู้สึกเหลือเชื่อ เยณเยณแก้ตัวแทนฉินเจียงเนี่ยนะ!

โจวหงเยญรีบส่ายหัว แล้วพูดว่า: “เปล่า เปล่า! หนูแค่รู้สึกว่าควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้”

“ความจริงแล้ว หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกันมา หนูรู้สึกว่าฉินเจียงเป็นคนดีนะ หลังจากนี้พี่เองก็ทำดีกว่าเขาหน่อยก็แล้วกัน!”

หลังจากที่ซูเทียนเวยก็รู้สึกเหลือเชื่อมากกว่าเดิม ก่อนจะหัวเราะเยาะเย้ย:

“แกคงไม่ได้ตกหลุมรักฉินเจียงเข้าแล้วใช่ไหม! ให้ฉันยกเขาให้แกไหม?”

“หนู......” โจวหงเยญหน้าแดง ก่อนจะหันตัวแล้ววิ่งกลับห้องนอนตัวเอง

“ยัยนี่เป็นอะไรไป คงไม่ได้คิดไม่ซื่อกับฉินเจียงจริงๆ ใช่ไหม!” ซูเทียนเวยขมวดคิ้ว จากนั้นก็ฉีกยิ้มออกมา:

“จะว่าไป ให้เยณเยณแต่งงานแทน ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน!”

“เยณเยณไม่ได้มีความคาดหวังอะไรมากมาย แต่งงานกับฉินเจียงคงไม่มีผลกระทบอะไร”

“ส่วนฉันถูกกำหนดให้เป็นดวงดาวบนท้องฟ้า คนอย่างฉินเจียงไม่คู่ควรกับฉัน......”

ฉินเจียงกลับมาถึงคฤหาสน์จิงหวา นั่งลงได้ไม่นาน เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น

เขามองคนที่อยู่ด้านนอก ผ่านกล้องวงจรปิด เป็นเสิ่นหรูซวงนั่นเอง

เสิ่นหรูซวงในตอนนี้สวมชุดเดรสยาวสีม่วงที่แนบหุ่นของเธอ

เธอสวมเสื้อยืดสีชมพูรัดรูปข้างใต้ ทำให้เห็นรูปร่างทรวดทรงอันสง่างามของเธอได้อย่างชัดเจน

“ตามหลอกหลอนไปทุกที่จริงๆ เลย ไปถึงไหนก็เจอ สะบัดยังไงก็ไม่ออก!” ฉินเจียงลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะเปิดประตู

ขณะเดียวกันเสิ่นหรูซวงก็พูดขึ้นว่า: “เทพเจ้าสงครามเจียงเทียนสุยคุณถูกรางวัลค่ะ ฉันคือเสิ่นหรูซวงค่ะ”

“ฉันเจอจุดประสงค์ของจตุรเทพแห่งสำนักวิหารแห่งคืนมืดที่มาเมืองเจียงเป่ยในครั้งนี้แล้วค่ะ พวกเขามาที่นี่เพราะฉันค่ะ”

“ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะคะ ฉันอยากเลี้ยงข้าวท่านเพื่อเป็นการขอบคุณค่ะ” 

ฉินเจียงชะงักอย่างไม่รู้ตัว

ผู้หญิงคนนี้มาหาเจียงเทียนสุย?

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel