บทที่11 เขาคือแขกกิตติมศักดิ์ของจวนตระกูลจ้าว!
“ตระกูลจางสามารถสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลจ้าวได้งั้นเหรอ เก่งเหลือเกิน!” ซูเทียนเวยที่ได้ยินจางเผิงพูดเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา
นายท่านจ้าวเป็นนายพลเกษียณ
ลูกคนโตคือหัวหน้าของหน่วยรบพิเศษเสี่ยวหลงแห่งเขตทหาเมืองหลงเจียง
ลูกคนที่สองเป็นประธานธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเจียงเป่ย
การที่จางเผิงสามารถผูกมิตรกับตระกูลใหญ่นี้ได้ ทำให้ซูเทียนเหอตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย สองสามวันก่อนพ่อผมยังดื่มกับประธานธนาคารจ้าวอนู่เลย ทั้งสองตระกูลสนิทกันจะตาย!” จางเผิงส่ายมือเบาๆ ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่
“ พี่ ดูเส้นสายของคุณชายจางสิ มีอำนาจใหญ่โตทุกด้านเลย!”
“เมื่อเทียบกับคุณชายจางแล้ว ฉินเจียงก็ราวกับมังกรและไส้เดือน!” โจวหงเยญอดไม่ได้ที่จะชื่นชมจางเผิงขึ้นมา
ซูเทียนเวยถอนหายใจหลังจากได้ยินสิ่งนี้
เธอกับฉินเจียงมันคนละชั้น
ซูเทียนเหอพยายามจับคู่พวกเขาสองคน และการจับคลุมถุงชนแบบนี้คงพังทลายลงไม่ช้าก็เร็ว
ขณะที่พูด ประตูก็เปิดออก
ชายวัยกลางคนที่สวมแว่นตา รูปลักษณ์ที่ค่อนข้างสูงส่งเปิดประตูออก
เมื่อเขาเห็นจางเผิง ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“สวัสดีครับประธานธนาคารจ้าว! พวกเราอยากจะมาขอบคุณ ที่คุณอนุมัติเงินกู้ของตระกูลซูหน่ะครับ” จางเผิงโค้งคำนับพร้อมรอยยิ้ม
“อ้อ เรื่องเงินกู้เหรอ! เรื่องเล็กน้อย! คุณหนูซูเกรงใจเกินไปแล้ว” จ้าวซิงเย่มองไปทางซูเทียนเวย ก่อนจะยิ้มพร้อมกับพูดว่า:
“ในอนาคตไม่ว่าตระกูลซูเจอปัญหาอะไรก็ตาม บอกผมมาได้เลย ถ้าผมช่วยได้ผมจะช่วยแน่นอน!”
“แต่ว่า นายท่านออกคำสั่งไว้ วันนี้จวนตระกูลจ้าวจะรับแค่แขกกิตติมศักดิ์ที่รักษานายท่าน พวกคุณกลับไปเถอะ!”
จ้าวซิงเย่ปิดประตูใหญ่
“ถุย! ไอ้สวะจางเผิงมาด้วยได้ยังไงเนี่ย! อัปมงคลจริงๆ!”
จ้าวซิงเย่ถ่มน้ำลายลงพื้น ก่อนจะเดินไปทางหอทิงเฉาพร้อมกับก่นด่าไม่หยุด
นอกประตู
“พระเจ้า! ประธานธนาคารจ้าวไม่เพียงแต่ให้กู้เงินเท่านั้น แต่เขายังสัญญาว่าจะช่วยเหลือตระกูลซูต่อไปด้วย!”
“คุณชายจาง ประธานธนาคารจ้าวคงเห็นแก่ตระกูลจาง ถึงได้ดูแลตระกูลซูดีขนาดนี้ คุณเก่งจริงๆ เลย!”
จางเผิงได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับชะงัก ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า: “เรื่องเล็กน้อย เกรียติยศของตระกูลจาง ตระกูลจ้าวยังต้องให้บ้าง”
“ได้ข่าวมาว่านายท่านจ้าวเป็นโรคเรื้อรัง เปลี่ยนหมอไปหลายคนแต่ก็รักษาไม่หายสักที”
“แต่ช่วงนี้เสิ่นหรูซวงเป็นคนรักษา แขกกิตติมศักดิ์ที่ประธานธนาคารจ้าวพูดถึง คงจะเป็นเธอ!”
โจวหงเยญพยักหน้า: “เสิ่นหรูซวงไม่เพียงแต่เป็นลูกสาวของตระกูลเสิ่นในเมืองเทย์มนจร์ แต่ยังรักษาโรคจ้าวฟู่ได้อีก”
“จากฐานะทางบ้านของคุณหนูเสิ่น ก็สมควรแล้วที่จวนตระกูลจ้าวจะงานเลี้ยงแบบปิดเพื่อเลี้ยงขอบคุณเธอ!”
ทั้งสามรู้สึกเห็นด้วยกับเหตุผลดังกล่าว
จางเผิงอารมณ์ค่อนข้างดี เขาชี้ไปที่ภัตตาคารจุนหลิงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม:
“ร้านอาหารตรงข้ามจวนตระกูลจ้าวอร่อยนะ เราไปกินกันหน่อยไหม?”
“ได้สิ! ดีเลย! ฉันได้ยินมาว่าที่ชั้นบนสุดของภัตตาคารจุนหลิงมองเห็นวิวครึ่งหนึ่งของเมืองเจียงเป่ยเลยนะ”
“แล้วยังมองเห็นหอทิงเฉาที่จวนตระกูลจ้าวเชิญพวกแขกสูงส่งมาอีกด้วย!”
โจวหงเยญลากซูเทียนเวยเข้าไปในภัตตาคารจุนหลิง
จวนตระกูลจ้าว
หอทิงเฉา
“นายท่านครับ อาหารธรรมดาง่ายๆ ก็ได้แล้วครับ ไม่เห็นจำเป็นต้องฟุ่มเฟือยเลยครับ”
ฉินเจียงกล่าวอย่างใจเย็น
“ท่านอาจารย์ฉินพูดอะไรเนี่ย! แค่คุณยอมมาก็ถือว่าเป็นเกรียติกับไอ้แก่หงอกขาวอย่างสูงแล้ว”
“ถ้าจัดเตรียมอาหารง่ายๆ ไม่กี่อย่าง มันจะดูเสียมารยาทไปหน่อยหรือเปล่า?”
ฉินเจียงที่เห็นจ้าวฟู่ยังคงยืนกราน จึงยิ้มแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
ขณะเดียวกัน จ้าวซิงเย่ก็ได้มาถึงหอทิงเฉา
“ใครมาเคาะประตูกัน?” จ้าวฟู่ถามขึ้นพลางๆ
“อ้อจางเผิง ลูกชายของเถสัชกรรมตระกูจางครับ”
จ้าวฟู่ขมวดคิ้ว: “ได้ยินมาว่า พ่อลูกตระกูลจางแพ้พนันที่ที่มาเก๊าไปสามร้อยล้านเมื่อต้นปี หมุนเงินไม่ทันสินะ”
“ตระกูลจาง รีบเร่งเปิดขายยาตัวใหม่โดยที่ไม่ได้ทำการทดลองทางคลินิกครั้งที่สาม เพื่อรวบรวมเงินทุน”
“ล่าสุดมีผู้ป่วยผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงร้ายแรงหลังจากรับประทานยานั้น ตระกูลจาง กรุ๊ปเลยต้องใช้เงินปิดข่าว”
“จริงด้วยครับ ก่อนหน้านี้ผู้น้ำตระกูลจางเลี้ยงข้าวผม เพราะอยากจะกู้เงินหนึ่งพันล้าน แต่ผมปฏิเสธไป” จ้าวซิงเย่พูดเสริม เขาเลิกคิ้วขึ้นแป็นเชิงรังเกียจ
“ยาล็อตนั้นออกสู่ตลาดไปหนึ่งเดือนแล้ว อีกไม่นานเถสัชกรรมตระกูจางคงจบเห่”
“เจ้าหน้าที่ที่ปล่อยให้ยานี้ออกสู่ตลาด ก็คงต้องรับโทษด้วย!”
เป็นหนี้หนึ่งพันล้าน?
สีหน้าฉินเจียงเรียบนิ่งหลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้
ดูเหมือนตระกูลจางจะพยุงเอาไว้ได้อีกไม่นาน
น่าตลกที่หลี่ต้ายฉินยังคงประคบประหงมจางเผิง ไม่รู้จักคนดีพอจริงๆ
ประเด็นตระกูลจางจบลงเพียงเท่านั้น ทุกคนผลัดกันชนแก้วกับฉินเจียง
ฉินเจียงจิบไปเพียงเล็กน้อย คนตระกูลจ้าวก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาเสียมารยาท
แม้แต่โรคที่เสิ่นหรูซวงยังรักษาไม่ได้ ฉินเจียงใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีก็สามารถรักษาได้แล้ว ฉะนั้นเขาจึงมีสิทธิ์หยิ่งยโสเป็นธรรมดา
ระหว่างงานเลี้ยงนั้น พ่อบ้านเดินเข้ามากระซิบกับจ้าวถงฝู่ว่า:
“คุณสวีได้ข่าวว่านายท่านหายดีแล้ว จึงนำของมาเยี่ยมครับ”
“ยังต้องมารายงานอีกเหรอ?” จ้าวถงฝู่ทำหน้าเข้ม และพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า:
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่านอกจากท่านอาจารย์ฉิน วันนี้ฉันไม่รับแขกหน้าไหนทั้งนั้น?”
พ่อบ้านรีบอธิบายต่อว่า: “คุณสวีเป็นลูกบุญธรรมของนายท่าน ผมเลยคิดว่าไม่มีปัญหา เลยลองเข้ามาถามดูหน่ะครับ”
“ไม่มีปัญหา?” ทันใดนั้นเสียงของ จ้าวถงฝู่ก็ดังขึ้น และเขาก็ตะโกน:
“แม้แต่สมาชิกผู้หญิงของตระกูลจ้าวยังไม่มีสิทธิ์ร่วมโต๊ะ แล้วลูกบุญธรรมอย่างสวีอ๋าวมีสิทธิ์อะไร! บอกให้มันกลับไปพร้อมกับของของมันซะ!”
พ่อบ้านกลัวจนตัวสั่น เขารีบวิ่งลงจากหอทิงเฉา
“ถงฝู่ ท่านอาจารย์ฉินยังอยู่นี่ ระมัดระวังน้ำเสียงของแกด้วย!” จ้าวฟู่เบิกตากว้างใส่เขา ก่อนที่จะส่งยิ้มเป็นการขอโทษให้กับฉินเจียงแล้วพูดว่า:
“สวีอ๋าวเป็นลูกชายของสหายร่วมรบฉัน มันสั่งเสียกับฉันไว้ก่อนจะสละชีวิตตัวเอง”
“ไอ้เด็กนี่ไม่เอาไหนแต่เด็ก ใช้ชื่อเสียงตระกูลจ้าวหลอกลวงคนอื่น ขายหน้าตระกูลจ้าวไปทั่วเมืองเจียงเป่ย ทำให้มันกลายเป็นคนเละเทะ”
“เวลาพูดถึงลูกบุญธรรมทีไรพี่ใหญ่เลยค่อนข้างหัวร้อยหน่ะ ท่านอาจารย์ฉินอย่านำไปใส่ใจเลยนะครับ!”
ฉินเจียงไม่ได้นำมาใส่ใจเลยสักนิด เขาพูดด้วยรอยยิ้ม: "พันเอกจ้าวคงไม่ได้หัวร้อนเพราะเรื่องแค่นี้ใช่ไหมครับ?"
ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในจวนตระกูลจ้าวจนถึงตอนนี้ จ้าวถงฝู่แทบไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย เวลาจะชนแก้วกับฉินเจียงก็ดูลังเลที่จะพูด รอยยิ้มนั้นผะอืดผะอมอย่างมาก
รอยยิ้มของเขาดูไม่เป็นธรรมชาติอาการหัวร้อนอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อสักครู่ น่าจะเป็นเพราะมีเรื่องรบกวนจิตใจ
จ้าวถงฝู่ที่เห็นฉินเจียงเอ่ยปากถามขึ้นก่อน ความกดดันในใจของเขาได้ลดลง แล้วพูดอย่างเคอะเขินว่า:
“ลูกสาวของผมมีโรคประหลาดน่ะ แม้แต่หมอเทพเสิ่นก็ไม่สามารถรักษาได้ ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ฉินพอจะช่วยได้หรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรครับ! ถ้าท่านอาจารย์ฉินไม่สะดวก คิดซะว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกันครับ”
“ลองว่ามาสิครับ” ฉินเจียงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ใบหน้าของจ้าวถงฝู่แดงขึ้น ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดว่า:
“ถ้าอาการไม่ได้กำเริบลูกสาวผมก็เหมือนกับคนปกติทั่วไป”
เมื่ออาการกำเริบ ความต้องการทางเพศรุนแรงอย่างมาก กล้าทำทุกอย่าง การกระทำ…บ้า…บิ่น“สาหัสหน่อยก็ถึงขั้นฉีกเสื้อทิ้ง.......”
“ครับ นี่เป็นอาการอินพร่องไฟลุกโชน พรุ่งนี้ผมเข้าไปดูนะครับ”
ฉินเจียงไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นโรคร้ายแรงที่รักษายาก และใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็สามารถรักษาได้แล้ว
เขาพอใจกับการต้อนรับของทุกๆ คนในตระกูลจ้าวเป็นอย่างมาก
ดังคำสุภาษิตที่ว่าอีกฝ่ายสำนึกผิดแล้ว ใจดำด้วยไม่ลง หลังจากที่ใช้ความคิดเขาก็ตกลง ก่อนจะให้ข้อมูลติดต่อกับจ้าวถงฝู่
ทุกคนในตระกูลจ้าวอยากจะดื่มเฉลิมฉลองกับฉินเจียง แต่เขากินอิ่มแล้ว จึงปฏิเสธแล้วเดินไปชมวิวตรงระเบียง
“วิวดีจริงๆ ชีวิตคนรวยเป็นแบบนี้นี่เอง”
เมื่อมองดูแม่น้ำมังกรอันกว้างใหญ่ ฉินเจียงก็เริ่มรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
“พระเจ้า นั่นมันฉินเจียงไม่ใช่เหรอ!”
บนตึกภัตตาคารจุนหลิง โจวหงเยญเห็นฉินเจียงที่ยืนอยู่ระเบียงชมวิวของหอทิงเฉาเข้าพอดี เธอตกใจจนตะเกียบหลุดออกจากมือ!
“แขกกิตติมศักดิ์ของจวนตระกูลจ้าววันนี้คือฉินเจียงงั้นเหรอ!”
ในหอทิงเฉาของตระกูลจ้าว
ฉินเจียงยืนมือไขว้หลังอยู่ตรงระเบียงชมวิว เขากำลังดื่มด่ำบรรยากาศที่สวยงามของแม่น้ำมังกร ท่าทางของเขาเหมือนคนที่อยู่เหนือกว่า
นั่นคือหอทิงเฉาในจวนตระกูลจ้าว!
มีเพียงแขกกิตติมศักดิ์ของจวนตระกูลจ้าวเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้
ฉินเจียงกลับปรากฏตัวอยู่ที่นั่น!
โจวหงเยญกลับหลังหันพร้อมกับความสงสัย ในขณะที่กำลังจะบอกเรื่องนี้กับซูเทียนเวยนั้น จางเผิงกลับพูดแทรกขึ้นก่อน
