บทที่13 ข่มขืนใจเกินไป
“เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินคนหัวสูงอย่างเสิ่นหรูซวง พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพขนาดนี้”
“จะว่าไป พอแต่งตัวดีๆ พูดสุภาพหน่อย ค่อยดูเป็นผู้หญิงขึ้นมาหน่อย!”
ระหว่างที่ฉินเจียงคิดอยู่นั้น ก็นอนลงบนเตียงอีกครั้ง
ด้วยนิสัยของเสิ่นหรูซวงแล้ว ถ้าเขาเปิดประตูล่ะก็ ได้หาว่าเขาเป็นขโมยแน่นอน
เพื่อไม่ให้เป็นเรื่องยุ่งยาก ฉินเจียงจึงตัดสินใจเพิกเฉยใส่
เสิ่นหรูซวงที่ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จึงเสียบนามบัตรเข้าไปในช่องประตู ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า:
“ฉันประทับใจ เทพเจ้าสงครามเจียงเป็นอย่างมาก ฉันอยากจะเป็นเพื่อนกับคุณค่ะ”
“นี่เป็นนามบัตรของฉันนะคะ ถ้าคุณว่างเมื่อไหร่ โทรหาฉันได้เลยนะคะ”
หลังจากที่พูดจบ เธอก็หันหลังแล้วจากไป ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ฉันพูดไม่หยุด แต่เจียงเทียนสุยไม่ได้ปฏิเสธ แสดงว่าเขายอมเป็นเพื่อนกับฉันอย่างเต็มใจ”
“ก็จริง ด้วยทักษะทางการแพทย์ของฉันที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้ หน้าตาก็ดีระดับหนึ่ง แม้แต่เทพเจ้าสงครามผู้ยิ่งใหญ่ ก็คงไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป”
หลังจากที่เสิ่นหรูซวงจากไป ฉินเจียงรู้สึกหงุดหงิดในใจ จึงเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดออกกำลังกาย กะจะลงดอยไปเดินเล่น
แต่เพิ่งเดินถึงตีนดอย เขาก็รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
เขาเห็นเฟอร์รารี่ของเสิ่นหรูซวงอีกแล้ว
ขณะเดียวกันนั้นเอง เสิ่นหรูซวงเพิ่งรับรถออกมาจากตีนดอยเขาวั่งเย่ว์ ก็เจอกับฉินเจียงที่กำลังเดินเล่นอยู่
เธอเลื่อนบานหน้าต่างลง แล้วมองไปทางวิลล่าเขาวั่งเย่ว์ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามว่า: “เล็งที่นี่ไว้แล้วเหรอ?”
“แล้วคุณเกี่ยวอะไร?”
ฉินเจียงแค่เห็นเธอก็รู้สึกหงุดหงิด
เสิ่นหรูซวงหัวเราะแล้วพูดว่า: “วิลล่าแถวนี้ราคาต่ำสุดสามร้อยล้าน คฤหาสน์จิงหวาบนภูเขานั้นมูลค่าสามพันล้าน!”
“ไม่ผิดที่จะมีความฝัน แต่ก็ต้องดูสารรูปตัวเองด้วย อย่าเดินเล่นแถวนี้เลย ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่านายด้อยค่า”
“ใช้ชีวิตกับซูเทียนเวยให้มั่นคง หางานดีๆ ทำเถอะนะ!”
“ฉันเป็นคนทำงานแต่งพังก่อน ให้โอกาสนายขอความช่วยเหลือจากฉันได้สองครั้ง ถ้านายอยากยืนหยัดในตระกูลซูอย่างมั่นคง ให้ฉันช่วยนายได้”
“คุณกำลังสงสารผม?” ฉินเจียงขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:
“ฟังให้ดีนะ อย่าว่าแต่ซูเทียนเวยเลย ถ้าผมต้องการจริงๆ แม้แต่คุณยังต้องทำความสะอาดตัวเองแล้วนอนรอบนเตียงอย่างเชื่อฟัง”
“แต่ผมไม่ได้สนใจคุณเลยสักนิดเดียว”
“โทษนะเก็บความมั่นหน้าที่โคตรจะตลกของคุณกลับไปซะ ชีวิตผมจะดีหรือไม่ดี ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลยสักนิดเดียว!”
พูดจบ ฉินเจียงก็เดินจากไป
“แกกล้าพูดแบบนี้กับคุณหนูของฉัน? ไอ้เวร หยุดแล้วขอโทษซะ!” เฉิงเยว่ถิงพูดด้วยความโกรธในทันที
“ช่างเถอะ” เสิ่นหรูซวงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง: “ให้เขาได้ปลดปล่อยอารมณ์หน่อยก็ดี ยังไงฉันก็เป็นคนที่ทำงานแต่งพังก่อน”
“ฉันบอกแล้วว่า ฉินเจียงแค่เกิดมาก็ผิดแล้ว เขาเป็นแค่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ เท่านั้น ตายไปก็ไม่มีใครรู้”
“น่าสงสารอยู่นะ อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยเถอะ......”
หลังจากที่ฉินเจียงเดินเล่นรอบหนึ่ง ก็กลับไปยังคฤหาสน์จิงหวา เพียงไม่นานเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
วันที่สอง เขาไม่ได้ไปที่ไหนทั้งนั้น เขาวาดรูปและฝึกซ้อมอยู่ในบ้าน อารมณ์ดีขึ้นอย่างมาก
จนกระทั่งตกเย็น ฉินเจียงได้รับสายจากหลี่ต้ายฉิน สีหน้าของเขาหมองลง
“ฉินเจียง เวยเวยไปขอโทษหัวหน้าแผนกเซี่ยงแทนนายที่โรงแรมรอยัลสกายแล้ว”
“ถ้านายยังมีความเป็นคนอยู่ล่ะก็รีบตามไปเดี๋ยวนี้ อย่าให้เธอรับผิดชอบในสิ่งที่นายผิดเพียงลำพัง!”
“ไม่สามารถทำเรื่องราวให้สำเร็จลุล่วงได้ยังจะทำให้บกพร่องเสียการอีก อย่าเอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองเหมือนเต่าสิ......”
ฉินเจียงกดวางสายด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น หยิบตะปูโลงศพสี่ตัวออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโรงแรมรอยัลสกาย
ฉินเจียงเพิ่งถึงโรงแรมรอยัลสกาย เฉิงเยว่ถิงก็เจอเขาพอดี เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาดว่า:
“อุ้ย! ทำไมหน้าบึ้งขนาดนี้ล่ะ! อยากมากินฟรีดื่มฟรีกับตระกูลซู แต่เขาไม่ให้ตามมาด้วยสินะ!”
“แต่ว่า นายหน้าด้านตามมาแล้วจะได้อะไร?”
“นี่เป็นงานเลี้ยงต้อนรับจ้าวอู๋ตี๋ที่ออกจากคุกของสมาคมการค้าว่านหลงต้องมีบัตรเชิญถึงจะเข้างานได้”
ฉินเจียงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดในใจว่าแค่จ้าวอู๋ตี๋ออกจากคุก ทำไมต้องจัดงานอย่างกับงานแต่ง
“ช่างเถอะ” เฉิงเยว่ถิงเห็นฉินเจียงเงียบไม่ตอบอะไร จนเธอรู้สึกน่าเบื่อ:
“เห็นนายดูน่าสงสาร เข้าไปกับฉันก็แล้วกัน”
ภายในห้องโถง โต๊ะร้อยกว่าโต๊ะเต็มไปด้วยผู้คน
พอกวาดตามอง ในห้องเต็มไปด้วยผู้คนที่มีชื่อเสียงในเมืองเจียงเป่ย ทั้งงานประดับไปด้วยเพชรพลอยที่แวววาว ราวกับเวทีเดินแบบขนาดใหญ่
ฝ่ายชายสวมชุดสูทและรองเท้าหนัง พูดคุยและหัวเราะอย่างสุขุม ฝ่ายหญิงดูสูงส่งสง่างาม ยิ้มหัวเราะอย่างกุลสตรี
พื้นที่ด้านหน้าสุดที่สะดุดตา วางโต๊ะกลมไว้สองโต๊ะ
ตระกูลที่ร่ำรวยสิบอันดับแรกในเมืองเจียงเป่ยนั่งอยู่ตรงนั้น ทุกคนดูมีอำนาจและน่าเกรงขาม ให้ความร็สึกเหมือนพวกเขากำลังดูถูกทุกๆ สิ่ง
เสิ่นหรูซวงคือหนึ่งในนั้น เธอยังนั่งอยู่ที่นั่งข้างตัวละครหลักในงานนี้อีกด้วย
เฉิงเยว่ถิงพาฉินเจียงไปยังโต๊ะในมุมหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างรังเกียจว่า:
“นี่ ที่นั่งของตระกูลซูอยู่ตรงนี้”
“ฉันเห็นซูเทียนเวยขึ้นไปชั้นบนกับผู้หญิงคนหนึ่ง นายรออยู่ที่นี่อย่าไปไหนนะ”
“ห้ามไปหาคุณหนูที่ด้านหน้าเด็ดขาด! มันน่าขายหน้า!”
เฉิงเยว่ถิงบ่นด้วยเสียงเย็นชา ก่อนจะรีบเดินไปทางด้านหน้า ราวกับว่าถ้าเธอยังมองฉินเจียงต่อจะทำให้เธออาเจียนออกมา
ฉินเจียงเหลือบตามองเฉิงเยว่ถิง ก่อนจะหันหลังแล้วเดินขึ้นไปชั้นสอง
ขณะเดียวกัน ภายในห้องทำงานบนชั้นสอง
ซูเทียนเวยและโจวหงเยญนั่งอยู่บนโซฟา ด้วยสีหน้ายับยั้งชั่งใจ
เซี่ยงคังอันหัวหน้าแผนกการเงินของสมาคมการค้าว่านหลงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขากวาดสายจามองข้ามทั้งสองไป พร้อมกับความประหลาดใจ
ซูเทียนเวยสมกับที่เป็นสาวสวยอันดับสามในเมืองเจียงเป่ย เธอสวยจริงๆเชียว!
อื้ม!
ผู้หญิงที่อยู่ข้างเธอสวยกว่า จากที่ดูแล้วน่าจะอายุแค่ยี่สิบ ยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่เลย!
พอคิดมาถึงจดนี้ สายตาของเซี่ยงคังอันก็ร้อนมากขึ้น ความกระสับกระส่ายในร่างกายของเขาเริ่มปะทุ
วันนี้ซูเทียนเวยสวมเสื้อสีขาวดำที่ตัดเย็บมาอย่างดี เสื้อทรงคอกลมเผยให้เห็นไหปลาร้าอันสวยงามของเธอ
กระโปรงสั้นสีเทาคู่กับถุงน่องนั้น เผยให้เห็นขาอันเรียวยาวพอดี
ใต้ผมที่ถูกมัดขึ้นอย่างสูง คือใบหน้าที่งดงามราวกับแกะสลัก เธอดูเย็นชาเป็นอย่างมาก
โจวหงเยญใส่ชุดนักเรียนแบบญี่ปุ่น ลายลูกไม้อย่างประณีตนั้นทำให้ขาอันเรียวยาวดูยาวมากยิ่ง เผยทรวดทรงหุ่นของเธอออกมาอย่างชัดเจน
เธอไม่ได้สวมเครื่องประดับใดๆ เส้นผมถูกปล่อยลงมาอย่างธรรมชาติ และทัดหูเอาไว้
ดวงตาที่ลุกวาว เพราะความรู้สึกตื่นเต้น ดูแล้วเหมือนเด็กสาวน่ารักที่ใสซื่อ
สาวแซ่บหนึ่งคน น่ารักแบ๊วๆ หนึ่งคน
มุมปากของเซี่ยงคังอันยกขึ้น
“หัวหน้าแผนกเซี่ยง ขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นในสโมสรมวยด้วยนะคะ”
“ได้โปรดให้อภัยพวกเราด้วยเถอะค่ะ คืนหนี้สี่ร้อยล้านนั่นมาเถอะค่ะ”
ซูเทียนเวยกล่าวขอโทษ
โจวหงเยญก็ฝืนยิ้มให้กับเขา
เซี่ยงคังอันเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะหัวเราะแล้วพูดว่า: “คุณหนูซูมาพร้อมกับความตั้งใจแบบนี้ ผมก็ต้องให้โอกาสสิครับ”
“แต่ว่า ขอโทษด้วยปากเปล่าเฉยๆ คงไม่พอ”
ซูเทียนเวยดีใจเป็นอย่างมาก เธอ รีบพูดต่อว่า: “ขอแค่ฉันสามารถทำได้ คุณเสนอมาได้เลยค่ะ!”
เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอนตัวชิดเบาะเก้าอี้ แล้วชี้ไปที่เอวพร้อมกับพูดว่า: “คุณปลดสายเข็มขัดให้ผมสิ”
จากนั้นก็พูดกับโจวหงเยญว่า: “ส่วนเธอมายืนข้างฉัน แล้วดึงกระโปรงขึ้น”
“ว่าไงนะ!” หลังจากที่ซูเทียนเวยได้ยิน สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า:
“คุณเซี่ยง......แบบนี้......แบบนี้ไม่ได้นะคะ......”
โจวหงเยญก็เดินถอยหลังไปพร้อมกัน ก่อนจะพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า:
“คุณเซี่ยงคะ เรื่องอื่นได้ไหมคะ เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ......”
“ไม่ได้?” เซี่ยงคังอันขมวดคิ้ว พูดด้วยเสียงทุ้ม
“หมายความว่าคุณซู ไม่อยากได้โอกาสนี้?”
ซูเทียนเวยขาสั่น เสียงของเธอเบามาก:
“ฉันอยากได้โอกาสค่ะ แต่สิ่งที่คุณต้องการ มัน......มันข่มขืนใจเกินไป”
“ข่มขืนใจเกินไปงั้นเหรอ? เธอบอกเองไม่ใช่หรือไง ว่าเธอยอมหมดถ้าเธอสามารถทำได้ เรื่องแค่นี้นี้ยากเหรอ?”
“เธอทั้งสองคนแค่เชื่อฟังแล้วสนุกไปกับมันก็พอ” เซี่ยงคังอันลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย แล้วค่อยเดินไปหาซูเทียนเวยช้าๆ พร้อมกับจ้องไปที่ขาเรียวยาวของเธอแล้วพูดว่า:
“รับรองว่าเธอสองคนต้องพอใจแน่......”
นอกจากจะได้สาวสวยทั้งสองคนแล้ว ยังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีฉินเจียงได้อีกด้วย แค่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้ว!
ระหว่างที่คิดอยู่นั้น เขาก็ใช้มือจับมุมหนึ่งของกระโปรงสั้นที่ซูเทียนเวยสวมอยู่ ก่อนจะค่อยๆ ดึงมันขึ้น
เซี่ยงคังอันยิ้มอย่างชั่วร้าย แต่เขายังไม่ทันที่จะได้สัมผัสผิวหนังที่เย็นเฉียบนั้น ซูเทียนเวยก็ง้างมือตบหน้าเขาอย่างไม่รู้ตัว
เพียะ!
หลังจากที่ตบลงไปแล้ว ทั้งสามคนในห้องก็ถึงกับชะงัก
เซี่ยงคังอันลูบใบหน้าที่ร้อนผ่าว ดวงตาของเขาเริ่มเย็นชา เขาง้างมือขึ้นก่อนจะตบกลับไปอย่างจัง
“ไอ้พวกผู้หญิงบ้า! อุตส่าห์ให้โอกาสก็ไม่เอา ยังกล้ามาตีฉันอีก!” ซูเทียนเวยถูกตบหน้าจนล้มลงบนโซฟา
เซี่ยงคังอันเห็นเช่นนั้นก็ตื่นเต้นมากกว่าเดิม เขากะจะใช้จังหวะนี้ขึ้นคร่อมเธอ
เขาสั่งลูกน้องไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ไม่ต้องขึ้นมาบนชั้นสอง
เขาอยากจะจัดการให้เสร็จเร็วที่สุด ข่มขืนสองพี่น้องให้เสร็จก่อนที่จ้าวอู๋ตี๋จะมา!
“อย่านะ! พี่คะ รีบวิ่ง!” โจวหงเยญจับตัวเซี่ยงคังอันเอาไว้ แล้วตะโกนเสียงดัง
“อ้อ? ยังมีสาวอีกคนนี่นา ดี จัดการเธอก่อนก็ได้” เซี่ยงคังอันยิ้มอย่างโรคจิตแล้วพุ่งตัวไปทางโจวหงเยญ
ทันทีที่เขาพูดจบ ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรง เงาของใครบางคนปรากฏขึ้น เขาโอบเอวของโจวหงเยญเอาไว้ ก่อนจะให้เธอหลบอยู่ด้านหลังของเขา
จากนั้นก็เดินก้าวเข้าไป แล้วถีบเข้าหน้าท้องของเซี่ยงคังอันอย่างแรง
ร่างของเซี่ยงคังอันลอยอยู่บนอากาศ เหมือนกุ้งที่กระเด็นออกไปเกือบห้าเมตร
จากนั้นก็มีเสียงปังดังขึ้น ก่อนที่เขาจะนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น หัวเข่าของเขาไถลไปกับพื้นหลายเมตรก่อนจะหยุดลง
“มือข้างไหน?”
ฉินเจียงที่เห็นคู่พี่น้องซูเทียนเวยน้ำตาอาบแก้ม ความโกรธแค้นของเขาก็เพิ่มมากขึ้น เขารีบเดินไปหาเซี่ยงคังอัน แล้วถามว่า
“ไอ้เวร......”
เซี่ยงคังอันถูกเตะอย่างแรง เขารู้สึกเหมือนลำไส้ของเขาจะขาดแล้ว แต่ก็ยังพยายามกัดฟันด่าอีกฝ่าย
“ฉันถามว่าใช้มือข้างไหนแตะต้องพวกเธอ!”
ฉินเจียงไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายได้ด่า เขากระชากผมอีกฝ่ายแล้วลากไปข้างโต๊ะทำงาน ก่อนจะหยิบตะปูโลงศพออกมาหนึ่งอันแล้วตอกลงไปที่มือข้างขวาของเขา!
ปัง!
ตะปูโลงศพทะลุผ่านโต๊ะทำงานไป มือข้างขวาของเซี่ยงคังอันถูกตอกเข้ากับโต๊ะทำงาน เลือดกระจาย ผิวหนังฉีกขาด
“โอ้ย! มือของฉัน! ไอ้สวะ มึงตายแน่ ทั้งบ้านมึงต้องตายแน่!” เซี่ยงคังอันร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างกายของเขาชักกระตุก
ซูเทียนเวยตกใจจนหน้าซีดในทันที เธอตะโกนใส่ฉินเจียง:
“นายเจอปัญหาใหญ่แล้ว ฉันไม่ได้โกหกนะ นายรีบหนีไป หนีออกจากเมืองเจียงเป่ย รีบหนีสิ!”
“หุบปาก!” ฉินเจียงตะโกนด้วยความโมโห ซูเทียนเวยรีบนิ่งในทันที แต่สีหน้าของเธอหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
หลายปีที่อยู่เกาะปีศาจนั่น คนที่เขาเจอมีใครบ้างที่ไม่ใช่ตัวตึง?
ฉินเจียงยังไม่ทันได้ขมวดคิ้วเลยด้วยซ้ำ เพราะสำหรับเขาแล้ว เรื่องนี้ก็เหมือนแค่แมลงวันที่บินรกหูรกตา แค่ยกมือตบมันก็ตายแล้ว
ณ ตอนนี้โจวหงเยญยังไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ ในใจเธอยังรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
โดยเฉพาะเมื่อสักครู่ที่ฉินเจียงโอบเอวเธอเอาไว้ ราวกับพระผู้ช่วยให้รอด ทำให้หัวใจของโจวหงเยญสั่นไหว
“ขอโทษ?” เซี่ยงคังอันหัวเราะอย่างเยือกเย็น ก่อนจะอ้วกเป็นเลือดออกมา:
“มันทำร้ายฉันที่สมาคมการค้าว่านหลง นอกจากจะหักหน้าฉันแล้ว แต่มันยังหักหน้าคนทั้งสมาคมการค้าว่านหลงด้วย!”
“วันนี้พระเยซูมาก็ช่วยมันไม่ได้!”
“ไอ้เวร แน่ใจแกก็พาฉันไปห้องโถงสิ มาดูกันว่าฉันจะถลกหนังแกยังไง!”
เขาพยายามลุกขึ้นยืน มองไปทางฉินเจียงเหมือนกับคนตาย สายตาของเขาดุร้ายอย่างมาก
เพียะ!
“อ้อ?” ฉินเจียงไม่มีความรู้สึกใดๆ ง้างฝ่ามือขึ้น ก่อนจะตบเซี่ยงคังอันจนฟันหลุดสามซี่
“ได้สิ! ฉันอยากเห็นจริงๆ ว่าหักหน้าสมาคมการค้าว่านหลงได้แล้วจะยังไงต่อ!”
