ตอนที่5 [ยาสั่งอาจารย์เกียง]
มหาภัยไสยศาสตร์
ตอนที่ 5
[ยาสั่งอาจารย์เกียง]
"เออ ๆ เอ็งไม่ต้องกลัว ข้าก็มีเอ็งเป็นลูกศิษย์แค่คนเดียว ข้าจะให้วิชากับเอ็ง
ทั้งหมด"
"ขอบคุณมากอาจารย์ ต่อไปผมต้องเก่งอย่างอาจารย์แน่นอน" ไอ้เดชเอ่ยกับอาจารย์เกียงแล้วยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ ที่จะได้เรียนวิชากับอาจารย์เกียงและจะได้เก่งเหมือนอาจารย์ของมัน แต่มันไม่รู้เลยว่าวิชาที่มันจะเรียนนั้น มันคือ
อวิชาหรือที่เรียกว่าไสยศาสตร์ดำ เป็นเดรัจฉานวิชาที่สร้างแต่ความเดือดร้อนเจ็บปวดล้มตายให้กับคนอื่น ซึ่งต่างจากอาจารย์บุญที่เรียนวิชาด้านไสยศาสตร์ขาว ที่คอยช่วยเหลือขจัดปัดเป่า ให้คนหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย และแก้คุณไสยต่าง ๆ
"เอ็งรอข้าตรงนี้นี้นะ เดี๋ยวข้าไปเอายาสั่งมาให้" อาจารย์เกียงเอ่ยกับไอ้เดช ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบขวดแก้วใบเล็ก ๆ ที่อยู่ในกล่องไม้เก่า ๆ ออกมา
"อะนี่! เอายาสั่งนี่ไป เอ็งเทยาลงไปให้หมดเลยนะ แล้วอย่าเอาไปใส่คนอื่นต่อละ เพราะสั่งคนไหนก็คนนั้น มันใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น จะเอาไปใช้กับคนอื่นอีกไม่ได้" อาจารย์เกียงส่งขวดยาสั่งให้ไอ้เดชพร้อมกำชับให้ทำตามที่บอก
"ครับอาจารย์ ไม่ต้องห่วง ผมจะทำตามที่อาจารย์บอก" ไอ้เดชเอ่ยกับอาจารย์เกียงแล้วรับขวดยาสั่งมาใส่กระเป๋าเสื้อ
"ผมกลับก่อนนะอาจารย์ อยู่นานไม่ได้เดี๋ยวคนมาเห็น จะสงสัยว่าผมมาหาอาจารย์ทำไม"
"เออ ๆ เอ็งรีบไปเถอะ ก่อนที่คนจะมาเห็น เดี๋ยวจะซวยกันทั้งหมด" อาจารย์เกียงบอกไอ้เดชให้รีบไป ไอ้เดชรีบเดินออกจากห้องลงจากบ้านแล้วรีบขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไปทันที
ที่บ้านอาจารย์บุญ
วันนี้อาจารย์บุญตื่นแต่เช้าแล้วเอาฟางให้วัวให้ควายกินตามปกติ เสร็จแล้วก็หาข้าวหาปลาให้ยายพรกิน อาการของยายพรเริ่มดีขึ้นหน้าตาดูสดใสดีขึ้นกว่าเมื่อวาน อาจารย์บุญกินข้าวอิ่มแล้วก็หันไปเอ่ยกับยายพร
"ยายพรวันนี้ข้าจะออกไปสืบข่าวเรื่องที่แกถูกเสกตะปูเข้าท้อง ว่ามันใช่พวกไอ้เดชกับอาจารย์ของมันหรือเปล่า แกนอนพักผ่อนอยู่นี่นะ ไม่ต้องห่วงข้า นอนหลับพักผ่อนให้สบายอาการเจ็บปวดจะได้หายไว ๆ"
"เออ…แกไปก็ระวังตัวหน่อย อย่าใจร้อนไปทำอะไรเขาละ ถ้ารู้เรื่องแล้วก็รีบกลับมา จะได้หาข้าวหาปลาให้ข้ากิน" ยายพรเอ่ยกับผู้เป็นผัวด้วยความเป็นห่วง
"ข้าไปแล้วนะ ข้าไปไม่ถึงเที่ยงหรอก เดี๋ยวจะกลับมาหาข้าวหาปลาให้แกกิน"
อาจารย์บุญเอ่ยกับยายพรก่อนจะเดินเข้าไปหยิบย่ามในห้องพระแล้วเดินลงจากบ้านไปอย่างเร่งรีบ
ไอ้เดชขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดแอบทิ้งไว้ในป่าข้างทางห่างจากบ้านอาจารย์บุญ เพราะมันกลัวคนเห็น แล้วรีบเดินไปแอบซุ่มคอยสังเกตการณ์อยู่ในสวนกล้วยหลังบ้าน พอเห็นอาจารย์บุญออกจากบ้านไป มันก็นั่งรอดูลาดเลาอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าไม่มีคนเห็น จึงรีบย่องขึ้นไปบนบ้าน เมื่อขึ้นไปบนบ้านก็เห็นว่ายายพรนอนหลับไปแล้ว คงเพราะอ่อนเพลียจากอาการเจ็บป่วยนั่นเอง ไอ้เดชรีบหยิบขวดยาสั่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเทลงในขันน้ำที่วางอยู่ข้าง ๆ ยายพร เสร็จแล้วก็รีบลงจากบ้านไปอย่างเร่งรีบเพราะกลัวคนมาเห็น ไอ้เดชรีบวิ่งไปขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนอาจารย์บุญก็เดินไปที่บ้านไอ้เดช ถามคนแถวนั้นก็บอกว่าไอ้เดชขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปไหนไม่รู้อาจารย์
บุญเดินไปเรื่อย ๆ และถามชาวบ้านถึงเรื่องอาจารย์เกียงกับไอ้เดชก็ไม่มีใครกล้าปริปากบอกอะไร เพราะพวกเขารู้ว่าขืนพูดอะไรมากไป ถ้ารู้ถึงหูอาจารย์เกียง จะพากันเดือดร้อน เพราะอาจถูกอาจารย์เกียงทำของใส่ก็ได้ จึงได้แต่พากันปิดปากเงียบ ในที่สุดอาจารย์บุญก็ไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนเสกตะปูเข้าท้องยายพร เพราะอาจารย์สายมนต์ดำทำคุณไสยใส่คนก็มีมากมายหลายคน เมื่ออาจารย์บุญรู้ว่าไม่มีใครกล้าบอก แกจึงรีบเดินกลับบ้านเพราะตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ต้องกลับไปหาข้าวหาปลาให้ยายพรกิน อาจารย์บุญเดินมาเรื่อย ๆ ก็เห็นมีคนขี่รถมอเตอร์ไซค์มา พอรถเข้ามาใกล้ ๆ จึงรู้ว่าคนที่ขี่รถมาก็คือไอ้เดชนั่นเอง ไอ้เดชมองเห็นอาจารย์บุญก็มีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะเพิ่งเอายาสั่งไปใส่ยายพร มันจึงรีบขี่มอเตอร์ไซค์หนีไปอย่างรวดเร็วอาจารย์บุญมองตามไปด้วยความสงสัยว่ามันไปไหนมา แล้วทำไมต้องมีอาการตื่นตกใจอย่างนั้น ดูมันมีพิรุธยังไงชอบกล เมื่ออาจารย์บุญนึกได้อย่างนั้นก็รู้สึกเป็นห่วงยายพรขึ้นมาทันที แกจึงรีบเดินกลับบ้านอย่างเร่งรีบ อาจารย์บุญเดินไปถึงก็รีบขึ้นไปบนบ้านก็เห็นยายพรนั่งอยู่ ก็รู้สึกโล่งใจที่เห็นยายพรไม่เป็นอะไร เพราะแกเกรงว่าไอ้เดชจะมาทำอะไรยายพรอีก
"ตื่นแล้วเหรอยายพร เมื่อกี้นี้ตอนข้าเดินกลับมาเห็นไอ้เดชมันขี่มอเตอร์ไซค์มาจากไหนไม่รู้ แกเห็นมันมาแถวบ้านเราบ้างหรือเปล่า" อาจารย์บุญเอ่ยถามยายพรด้วยความอยากรู้เพราะเป็นห่วงเมีย
"ข้าไม่เห็นมันมานะ หรือว่ามันจะมาตอนข้านอนหลับ เลยไม่เห็นมัน" ยายพรเอ่ยกับอาจารย์บุญ
"เออ ๆ มันไม่มาก็แล้วไป มันคงไม่ได้มาแถวนี้หรอก ไอ้นี่วัน ๆ มันขี่รถไปทั่ว สร้างแต่ความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน" อาจารย์บุญเอ่ยกับยายพร แล้วบ่นงึมงำก่อนจะลุกเดินไปเอาจานมาตักข้าวตักกับมาให้ยายพรกิน
"อ้าว! ยายพรกินข้าวกินปลากันดีกว่า อย่าไปสนใจมันเลย นี่มันเที่ยงแล้ว ข้าก็หิวข้าวเหมือนกัน ข้าเดินไปเดินมาจนเหนื่อยไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย ถามใครก็ไม่มีใครบอก พวกชาวบ้านคงจะกลัวไอ้อาจารย์เกียง เลยไม่กล้าบอก" อาจารย์บุญเอ่ยกับยายพรแล้วตักข้าวมานั่งกิน
"อืม…พวกชาวบ้านมันจะกล้าบอกอะไรแก พวกมันกลัวรู้ไปถึงหูอาจารย์เกียงเดี๋ยวก็เดือดร้อนอีก ตอนนี้ชาวบ้านพากันกลัวมันไปหมดแล้ว" ยายพรเอ่ยกับอาจารย์บุญก่อนจะหยิบข้าวเข้าปาก
"นี่แหละที่มันทำให้เราทำอะไรมันไม่ได้ ก็เพราะไม่มีใครกล้าให้ความร่วมมือ"
อาจารย์บุญเอ่ยกับยายพร
"ก็น่าจะใช่อย่างที่แกพูดนั่นแหละ ชาวบ้านมันกลัวไอ้เกียงมากตอนนี้"
"ส่งขันน้ำให้ข้าหน่อย ข้าอิ่มแล้ว" ยายพรกินข้าวอิ่มแล้วก็บอกให้ผู้เป็นผัวส่งขันน้ำให้
"อ้าว! อิ่มแล้วเหรอ" อาจารย์บุญถามยายพรแล้วหยิบขันน้ำส่งให้ ยายพรยกขันน้ำขึ้นมาดื่ม แล้วเทน้ำล้างมือ อาจารย์บุญกินข้าวอิ่ม หันไปจะยกน้ำขึ้นมาดื่ม แต่น้ำในขันหมดแล้ว แกจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปตักน้ำในโอ่งกิน หลังจากกินข้าวกินปลากันเสร็จเรียบร้อย ก็นั่งคุยกันตามประสาผัวเมีย
"ยายแกยังไม่หายดีนอนพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปเอาน้ำให้วัวให้ควายมันกินก่อนนี่ก็เย็นแล้ว" อาจารย์บุญเอ่ยกับยายพรก่อนจะเดินลงจากบ้านไป เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงเวลากลางคืนอาจารย์บุญนั่งดูอาการยายพรด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ไม่มีอะไร จึงล้มตัวลงนอนอยู่ข้าง ๆ ยายพรจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่
พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า พวกชาวบ้านพากันจูงวัวจูงควายเดินไปทุ่งนา เพราะช่วงนี้เป็นฤดูเกี่ยวข้าว ชาวบ้านต้องรีบไปเกี่ยวข้าวกันแต่เช้า
อาจารย์บุญตื่นแต่เช้าหุงข้าวทำกับข้าวเสร็จ จัดข้าวปลาอาหารให้ยายพรกินเสร็จเรียบร้อยก็ออกไปเกี่ยวข้าว โดยให้ยายพรนอนพักผ่อนอยู่บ้านเพราะเห็นว่าอาการเจ็บป่วยยังไม่หายดี
อาจารย์บุญจัดยาสมุนไพรให้ยายพรกินทุกวัน ยายพรนอนพักอยู่ที่บ้านจนเวลาล่วงเลยผ่านไป 3 วัน ยายพรก็เริ่มมีอาการดีขึ้น แผลรอยตะปูก็แห้งสนิทดีเพราะอาจารย์บุญตำยาสมุนไพรทาให้ทุกวัน อาจารย์บุญนั้นไม่เพียงเป็นอาจารย์ทางด้านวิชาไสยศาสตร์เท่านั้นแต่เป็นหมอยาสมุนไพรโบราณอีกด้วย เมื่อชาวบ้านเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะมาขอยาสมุนไพรจากอาจารย์บุญไปรักษากันเป็นประจำ ตอนนี้ยายพรกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมอีกครั้ง อาจารย์บุญและญาติพี่น้องต่างก็พากันดีใจที่เห็นยายพรหายเป็นปกติ ส่วนทางด้านอาจารย์เกียงกับไอ้เดชก็ได้แต่เฝ้ารอดูว่าเมื่อไหร่อาจารย์บุญกับยายพรจะถูกยาสั่งตาย แต่จนเวลาล่วงเลยผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับยายพรและอาจารย์บุญ อาจารย์เกียงจึงคิดว่ายายพรกับอาจารย์บุญคงยังไม่ถูกยาสั่งจึงยังไม่ตาย จึงได้แต่รอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน
ณ หมู่บ้านบึงขุ่น
หมู่บ้านบึงขุ่นเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญและอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับจังหวัดศรีสะเกษ ทิวชายหนุ่มที่หน้าตาดี ผิวสองสี ร่างล่ำ สูงใหญ่ เขาเป็นคนขยันขันแข็ง มีมานะอดทนช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา ไม่ชอบเที่ยวเตร่กินเหล้าเมายา ดังนั้นทิวจึงเป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่ญาติพี่น้องและคนในหมู่บ้านบึงขุ่นเป็นอย่างดี ทิวเป็นลูกชายคนเดียวของตาทวนกับยายน้อย เมื่ออายุครบบวชตาทวนกับยายน้อยก็จัดงานบวชให้ ทิวบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดบึงขุ่นกับหลวงปู่ทองผู้เป็นปู่แท้ ๆ มาเป็นเวลาหลายพรรษาแล้ว ตลอดระยะเวลาที่บวชอยู่ที่วัดบึงขุ่นหลวงพี่ทิวก็ขยันหมั่นเพียรสวดมนต์ภาวนาและคอยปรนนิบัติหลวงปู่ทองเป็นอย่างดี อีกทั้งยังตั้งใจปฏิบัติธรรม ถือศีลภาวนาวิปัสสนากรรมฐานอย่างเคร่งครัด จนเป็นที่ชื่นชอบของหลวงปู่ทองและพระลูกวัดเป็นอย่างมาก ดังนั้นหลวงปู่ทองจึงได้รับหลวงพี่ทิวเป็นลูกศิษย์และถ่ายทอดวิชาอาคมต่าง ๆ ให้จนหมดสิ้น แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ตาทวนที่เป็นโยมพ่อของหลวงพี่ทิวก็มาเจ็บป่วยและตายด้วยโรคชรา ทำให้ยายน้อยโยมแม่ของหลวงพี่ทิวที่แก่ชรามากแล้วต้องอยู่บ้านเพียงลำพังคนเดียว อยู่มาไม่นานยายน้อยก็ล้มป่วยจนเดินเหินไปไหนไม่ได้ ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อหลวงพี่ทิวรู้ข่าวก็เป็นห่วงผู้เป็นแม่ จึงอยากสึกไปดูแลโยมแม่เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณ ถึงแม้ว่าจะไม่อยากสึกก็ตาม แต่ด้วยความกตัญญูในที่สุดหลวงพี่ทิวก็ตัดสินใจบอกเรื่องที่จะสึกกับหลวงปู่ทอง เมื่อหลวงปู่ทองรู้เรื่องถึงความประสงค์ที่หลวงพี่ทิวจะสึก หลวงปู่ทองก็มิได้ขัดข้องแต่อย่างใด เมื่อหลวงพี่ทิวสึกไปแล้วก็ไปอยู่ดูแลปรนนิบัติผู้เป็นแม่จนท่านเสียชีวิต หลังจากยายน้อยผู้เป็นแม่เสียชีวิตไปแล้ว ทิดทิวชายหนุ่มในวัย 25 ปี ก็ทำไร่ไถนาอยู่ตามประสาเพียงลำพังคนเดียว ทิดทิวอยู่บ้านได้ปีเดียวก็รู้สึกเบื่อหน่ายเพราะจิตใจยังฝักไผ่ในพระธรรมอยู่ จึงตัดสินใจกลับไปอยู่ที่วัดกับหลวงปู่เหมือนเดิม และบอกหลวงปู่ทองว่าอยากจะบวชอีกครั้ง หลวงปู่ทองจึงดูฤกษ์ยามและวันเวลาที่จะบวชให้
"อืม…ตอนนี้ยังบวชไม่ได้นะ เพราะฤกษ์ยามที่จะบวชไม่มี ถ้าบวชไปอาจจะไม่เป็นผลดีกับตัวเอง อีกอย่างหลวงปู่ก็จะออกธุดงค์แล้ว ถ้าจะบวชคงต้องรอดูฤกษ์ยามกันอีกที" หลวงปู่ทองเอ่ยกับทิดทิว
"เหรอครับหลวงปู่ ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร ถ้าหลวงปู่ออกธุดงค์ ผมขอติดตามไปปรนนิบัติหลวงด้วยนะครับ" ทิดทิวเอ่ยกับหลวงปู่ทองผู้เป็นปู่
"ถ้าอยากไปด้วยก็ได้ พรุ่งนี้หลวงปู่ก็จะออกธุดงค์แล้ว เดี๋ยวไปเตรียมข้าวขอเครื่องใช้ที่จะนำไปใช้ด้วยนะ" หลวงปู่ทองเอ่ยกับทิดทิว
"ได้ครับหลวงปู่" ทิดทิวรับปากหลวงปู่แล้วลุกขึ้นเดินไปจัดเตรียวข้างของเครื่องใช้ที่จำเป็นต้องใช้ตอนออกไปธุดงค์
รุ่งเช้าของวันใหม่หลวงปู่ทองก็ออกธุดงค์ตั้งแต่เช้ามืดโดยมีทิดทิวลูกศิษย์ที่เป็นหลานชายติดตามไปด้วย หลวงปู่ทองออกเดินธุดงค์และหยุดพักปักกลดไปเรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายวันหลายคืนแล้ว
