บทที่3
พ.ศ.2556 บนถนนสายหลักเมืองหลวงของประเทศไทย ร่างหนาในชุดสูทราคาแพงนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเฮริค มิลลส์ตัล วัย 32 ปี นักธุรกิจหนุ่มเลือดร้อน หรือในวงการเดียวกันตั้งฉายาไว้ว่า ‘เสือร้ายนัยน์ตาสีฟ้า’ กำลังเร่งรีบเดินทางเคลียร์ปัญหาธุรกิจที่เขามีหุ้นส่วนดูแลอยู่
“เมลสัน หากนายขืนช้าไปกว่านี้ ฉันจะให้นายออกไปวิ่งแข่งกับรถเลยนะ” ความที่ไม่ได้ดั่งใจเฮริคจึงพาลลงเอากับคนสนิท
อีกฝ่ายส่งยิ้มเจื่อนๆ ผ่านกระจกหลัง “จะให้ผมทำไงล่ะครับก็รถมันติด ”
“เออน่า ทนรับไปหน่อยสิ แล้วคำว่าครับเลิกพูดได้ไหม อยู่กันสองคน จะครับทำไม”
เฮริคมองค้อนให้จนน่าขำ คนโดนบังคับให้รับและเตือนในคราเดียว ฉีกยิ้มแล้วหันกลับไปสนใจถนนเบื้องหน้าต่อ
เมื่อไม่ได้อยู่ต่อหน้าธารกำนันคนอื่นๆเฮริคต้องการให้เพื่อนรักกึ่งบอดี้การ์ดอย่างเมลสัน ปฏิบัติใช้ตัวให้เป็นเรื่องปรกติ นาย/ฉัน เท่านั้น
แม้มีบ้างบางครั้งที่เพื่อนสนิทคนอื่นๆ เอ่ยถามถึงความเป็นมาระหว่างที่คบหาเพื่อนคนละระดับ เขาเลือกให้คำตอบกลับไปว่า
‘เพื่อนจริงคือเรากำหนดไม่ได้ว่าเขาจะมีฐานะและภูมิหลังยังไงรู้แค่ว่าตอนนี้เขาซื่อสัตย์และพร้อมสู้อุปสรรคไปกับเราก็พอ’
นึกไปถึงเพื่อนบางกลุ่มที่เคยดื่มกินจนเมาหัวราน้ำไปไหนไปกัน หากแต่ยามเกิดเรื่อง กลับไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าเสี่ยงตาย หากแต่ชายหนุ่มแปลกหน้ากลับไม่คิดกลัว
เพราะความช่วยเหลือจากเมลสันเมื่อครั้งนั้น เมื่อเขาถูกรุมทำร้ายในผับ ทำให้เขาได้เพื่อนใหม่ และได้ชวนชายหนุ่มที่ช่วยเหลือตนเอง มาทำงานเป็นสมุนมือขวาช่วยตนที่เมืองไทยจนถึงทุกวันนี้...
“ติดได้ติดดี...” น้ำเสียงยังคงหงุดหงิด พร้อมมือหนาจัดการลดกระจกด้วยความอึดอัด เหมือนต้องการให้บรรยากาศภายนอกรับเอาความร้อนรุ่มของเขาออกไปบ้าง ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถราอย่างเหนื่อยใจ
“เรื่องปรกตินี่ครับ ไม่ชินอีกหรือ?” น้ำเสียงติดขำของบอดี้การ์ดที่เคยมีใบหน้าเหี้ยมเป็นนิจเอ่ยเย้า ทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าฝ่ายนั้นตั้งใจกวนเขา
“คนมันร้อน นายก็อย่าขัดสิ” เขาว่าให้ พร้อมทิ้งสายตาไปยังคนขับอย่างเสียไม่ได้
แม้ไม่ใช่ลูกครึ่งไทยอังกฤษอย่างเฮริค แต่เมลสัน แมคคอน วัย 32 ปี สมุนมือขวามาเฟียหนุ่มพูดคุยสำเนียงไทยได้ชัดเจน เพราะอยู่เมืองไทยมานานเกือบสิบปี
แผ่นหลังกว้างเอนพิงเบาะหลัง สีหน้ายังเต็มไปด้วยความกังวล สิ่งที่สะกิดใจดึงดูดให้ฝ่ามือหนาขยับล้วงหยิบจับบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทราคาแพง กล่องกำมะหยี่สีแดงสด หากเป็นสิ่งที่เขาต้องการได้มันจากใจจริงคงไม่เป็นปัญหา...
มือเรียวหนาที่ไม่เคยหยิบจับงานหนัก กดลงบนกล่องกำมะหยี่บรรจงเปิดออกช้าๆ ความหนักใจตีแผ่บนใบหน้าหล่อเหลาดังเทพบุตรตามมา
แสงวาววับของประกายเพชรวูบวาบจับตายามกระทบแสง ทำให้เมลสันอดใจไม่ไหว มองผ่านกระจกด้านหลัง ด้วยความชื่นชมไปด้วยอีกคน
“สงสัย มาดามต้องการได้ลูกสะใภ้เต็มแก่” เขาแกล้งเย้า เท่าที่รู้มา ว่ามาดามหรือแม่ของเจ้านายได้ส่งแหวนพร้อมกับคำสั่ง... หาเจ้าสาวไว้รอท่านลงมาดู
“ใครบอก!” เสียงทุ้มเอ่ยขัดทันควัน ทำเอาคนที่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ขมวดคิ้วหนาเป็นปม “บังคับให้หาให้ได้ แถมจะบินลงมาดูอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า... แล้วใครจะหาทันละ” ประโยคหลังเสียงแผ่วลง เหมือนเป็นการเปรยกับตัวเอง แต่คนที่อยู่ในรถคันเดียวกันได้ยินชัดเจน
นั้นคือปัญหาที่แม่ทิ้งไว้ให้เมื่อหลายวันก่อน....
น้ำเสียงจริงจังทำเอาเมลสันนิ่งอึ้ง หากแต่อีกฝ่ายเงียบไปเหมือนคนกำลังใช้ความคิด จึงเอ่ยตอบไป เหมือนสิ่งที่ได้ยินมานั้นสามารถแก้ไขได้ หากคิดจะทำ...
“ไม่เห็นจะยาก” เมลสันบอกสั้นๆ เรียกสายตาคมเข้มที่กำลังเหม่อมองสองข้างทางให้เปลี่ยนหันเข้ามาด้านในทันที
“อะไร ของนายเมลสัน อะไรยากอะไรง่าย?” เฮริคถามเพื่อนรักกึ่งบอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่อยู่ประจำกับตัวเองมาหลายปีอย่างไม่เข้าใจ
สีหน้าเรียบแฝงไปด้วยความจริงจังเป็นครั้งแรกที่ไม่ใช่เกี่ยวกับธุรกิจ เรียกรอยยิ้มจากเพื่อนสนิทอย่างเมลสันได้เป็นอย่างดี “เมียไง นายมีผู้หญิงในสต็อกตั้งมากมาย เลือกเอาสักคนสิ คนปัจจุบันที่นายกำลังไปเจอไง ยอมสละเวลาไปหาทั้งที่มีเรื่องอื่นต้องเคลียร์รออยู่อีกเยอะ มันต้องมีดีอยู่บ้างสิน่า” เพื่อนกึ่งบอดี้การ์ดเอ่ยแนะอย่างรู้ดี เพราะคู่ขาที่เจ้านายหรือเพื่อนรักของตน เคยควงบ่อยๆ มีทั้งนางแบบ ลูกสาวนักการเมือง และไฮโซโนเนมทั้งหลายแหล่รอคิวให้เรียกใช้ 24 ชั่วโมง
“เฮ้ย!! จะบ้าหรือไง”
แม้ประโยคที่เมลสันได้แนะนำออกมา จะทำให้เฮริคตกใจอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็เรียกรอยยิ้มและนัยน์ตากรุ้มกริ่มของเขาไปได้ชั่วครู่ เพราะสาวสวยที่เขาเลือกควง เป็นสิ่งเรียกความกระชุ่มกระชวยยิ่งกว่าบรั่นดีที่หมักไว้แรมปีเสียอีก
แต่ผู้หญิงคนปัจจุบันที่เพื่อนเอ่ยถึง เขาไม่คิดจะยกตำแหน่งนี้ให้หล่อนเลย แม้แต่ความต้องการทางร่างกายอย่างชายหญิงเขาก็ไม่มีให้เธอ...
