บทที่2
ตลอดเส้นทางที่เขาทำหน้าที่พลขับ สายตาของมนัสไม่ได้จับจ้องอยู่บนท้องถนนแต่อย่างเดียว เขาสอดสายตามองสองข้างทางที่ขับผ่าน เมื่อรถขับแยกออกจากถนนสายหลัก บางครั้งหากถนนว่าง รถราขาดช่วง พอที่ให้เขาได้ใช้สายตาไปไกล เขาจะยืดตัวพร้อมทำคอยาว มองเหมือนคนพยายามสังเกตหรือจับผิดแล้วสิ่งที่เขาเอ่ยขึ้น ทำให้คนที่เงียบมาตลอดทางหันมองอย่างแปลกใจ
“บ้านตัวเองหรือเช่า”
ตาคมของรติกาลเหลือบมองคนถาม ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะอยากรู้ไปทำไมแต่ก็ตอบไป
“เช่า อยู่กับเพื่อน”
เขาพยักหน้ารับรู้
“เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน”
บอกไปแล้ว รติกาลก็หันกลับมาครุ่นคิดว่า ทำไมต้องบอกเล่าเขาด้วย
สายตาที่จับจ้องท้องถนนละสายตาหันมามองใบหน้าหวานเพียงนิด หล่อนไม่ต่างจากเขาไม่รู้ว่าครอบครัวที่อบอุ่นเป็นเช่นไร
“ถนนสายนี้ค่ำๆ น่ากลัว ทางที่ดีอย่ากลับค่ำ” เขาเอ่ยในสิ่งที่รติกาลคิดไม่ถึง
รติกาลยิ้มน้อย ๆ รู้สึกใจชื้นที่โลกนี้ยังมีคนหวังดีต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน ที่สำคัญเพิ่งเจอหน้ากันด้วยซ้ำ ความอุ่นใจจึงหลุดปากออกไปว่า
“ไม่น่ากลัวหรอก เพราะฉันกับเพื่อนใช้ถนนสายนี้จนชินแล้วล่ะ”
“หือ...” มนัสหันขวับส่งสายตาไม่อยากเชื่อก่อนจะเอ่ยปราม “ต่อไปห้ามเลยนะครับ ขาดเหลืออะไรซื้อไว้ช่วงกลับเข้าบ้านช่วงเย็นดีกว่า” น่าแปลกที่เขารู้สึกห่วงหล่อนทั้งที่เพิ่งเจอหน้า จนกล้าออกคำสั่ง
“....” คนถูกสั่งห้ามอึ้งไป ก่อนจะคลายสีหน้า เอ่ยว่า
“ไม่ได้หรอก กาลต้องออกไปเรียนภาคค่ำด้วยกันกับเพื่อน แค่เสาร์-อาทิตย์”
“แย่...” เขาสรุป ยังไงก็ผู้หญิงเหมือนกัน บางทีที่ฟังข่าวออกสื่อ มีผู้ชายอยู่ด้วยหากเกิดเรื่องก็ใช่จะช่วยเหลือกันได้
เขาชอบที่สาวสวยผู้นี้ใฝ่คว้าอนาคตด้วยตนเอง “เอางี้ไหม เดี๋ยวผมหาที่พักใหม่ให้ เอาที่สะดวกในการเดินทาง” เขาเสนอ หากอีกฝ่ายยิ้มรับเมื่อชายแปลกหน้ายื่นไมตรีให้
“ค่าใช้จ่ายคงแพง เงินเดือนเราไม่กี่บาท ไม่เอาดีกว่า” หล่อนเดาจากการแต่งตัวและรถที่ชายหนุ่มใช้ เชื่อว่าหากเขาจัดการอย่างที่ปากว่า คงดูมาตรฐานความต้องการเขาเป็นหลักแน่นอน
ประเด็นสำคัญของคนหาเช้ากินค่ำที่ต้องขวนขวายอนาคตให้กับตัวเอง โดยมีตัวเลือกแค่ว่า อยู่อย่างพอดีและแค่ดีพอให้ตัวเองไม่เดือดร้อนเท่านั้นก็เพียงพอสำหรับเธอและเพื่อนรัก...
มนัสพยักหน้าเข้าใจเหตุผล แต่เขาก็ยังกังวลอยู่ดี ปัจจัยหลักของแต่ละคนแตกต่างกัน ทว่าเขาต้องการช่วยเหลือสาวนางนี้ ที่เกิดถูกชะตาจนน่าแปลกใจ
“ตอนนี้เช่าอยู่เดือนละเท่าไหร่ครับ”
“สามพันค่ะ”
“ผมช่วยออกให้อีกสองพันในแต่ละเดือน เพื่อความปลอดภัย เดี๋ยวผมจะหาให้ในราคาห้าพันบาทให้โอเคนะ” เขาสรุป หากอีกฝ่ายไม่เห็นด้วย
“เพื่ออะไร ที่คุณจะมาช่วยค่าเช่า...” เธอค้านทันที ด้วยความไม่เข้าใจ ก็เขาแค่คนแปลกหน้า
หากอีกฝ่ายหน้าเจื่อนไป รติกาลจึงเอ่ยเพื่อรักษาน้ำใจอีกฝ่ายว่า “แต่ขอบคุณในความหวังดีนะคะ หากมันเสี่ยงจริงๆ กาลยินดีให้คุณหาที่พักใหม่ให้ แต่เรื่องเงินไม่ต้อง” เธอบอกน้ำเสียงจริงจัง เมื่อถึงตอนนั้นจริงๆ เธอคงมีรายได้มากกว่านี้ และนั้นอีกไม่รู้กี่ปีกว่าเธอจะบอกเขา...
คำตอบที่ได้ มนัสยิ้มอย่างพอใจ เขาชอบผู้หญิงนิสัยแบบนี้ ไม่หน้าเงินไม่มักมาก อยากได้ใคร่ดีของผู้อื่นทั้งที่อีกฝ่ายเต็มใจให้...
แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้น ทั้งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าวันหนึ่งเขาจะรู้สึกแบบนี้ กับคนที่เพิ่งพบครั้งแรกทั้งที่ไม่ได้ศึกษาหรือสอบถามข้อมูลความเป็นอยู่กันเลยแม้แต่น้อย เขายินดี รับสาวสวยคนนี้เป็นน้องสาวหากหล่อนไม่ออกฤทธิ์ใส่เขาเสียก่อน...
“ถึงแล้วค่ะ” เธอบอก พร้อมชี้นิ้วไปยังบ้านที่มุงด้วยสังกะสีเก่าๆ ฝาบ้านเป็นปูนฉาบขึ้นมาจากพื้นดินครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งด้านบนเป็นสังกะสีที่บอกอายุได้ดีว่าผ่านแดดผ่านฝนมาหลายสิบปี
รถคันหรูจอดนิ่งสนิทเลียบข้างทางโดยไม่ดับเครื่องยนต์ มนัสเปิดประตูและวิ่งออกไปยังอีกด้านอย่างเร่งรีบ เปิดประตูรถและประคองร่างบางให้ลุกขึ้น ก่อนจะพากันเดินไปยังประตูที่เป็นกระดานไม้อัดเก่าๆ
ประตูที่ปิดมาจากด้านในถูกเคาะสองสามครั้งโดยเจ้าของบ้านที่เพิ่งกลับมา สักพักก็มีเสียงหวานแหลมถามมาจากด้านใน
“ยัยกาลใช่ไหมนั่น” เสียงมาก่อน ไม่ถึง10 วินาทีประตูก็ถูกเปิดออก ใบหน้าขาวซีดโผล่ออกมา โดยเจ้าตัวใส่แว่นหนาเกือบปิดบังใบหน้า ก่อนจะชะงักงัน มองหน้าเพื่อนรักและชายหนุ่มที่ยืนประคองกัน สลับกันไปมา
“ใคร” เธอถามในวินาทีนั้นพร้อมถอยหลังตั้งหลัก เหมือนไม่แน่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะอยู่กันมานานปี เพื่อนไม่เคยมีผู้ชายมาส่งถึงบ้านแถมกลับผิดเวลาอีก ใบหน้าซีดขาวอยู่แล้วกลับซีดหนักขึ้นอีก
“เป็นอะไร ยัยอนงค์ ฉันเจ็บขาไม่เห็นหรือ จะประคองเพื่อนเข้าบ้านกลับถอยหลังซะงั้น มันน่าน้อยใจนักเชียว” คนผิดเวลาทำสีหน้าเง้างอด
อรอนงค์ก้มลงมองยังตำแหน่งที่เพื่อน บอกก่อนจะอุทานออกมา “จริงด้วย ไปโดนอะไรมา”
“ประคองฉันเข้าไปก่อน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง” ว่าแล้วคนที่ทำสีหน้าตกใจ ก็เดินเข้ามาแนบอีกข้างและประคองกันเข้าไป โดยเจ้าของบ้านไม่ลืมชวนผู้ชายที่ทำให้เธอมีสภาพขาเดี้ยง เข้าบ้านมาด้วยกัน
“เข้ามานั่งก่อนสิคะ” มนัสนั่งลงตามคำเชิญของรติกาล แต่เมื่อสองสาวหันหน้าพูดคุย ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น มนัสที่ได้จังหวะจึงมองสำรวจสภาพภายในตัวบ้าน
ไม่รู้ว่าเขาเก็บรายละเอียดอยู่นานเท่าไหร่ แต่เมื่อหันกลับมาที่สองสาว ก็เห็นว่าสายตาทั้งคู่มองมายังเขาอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงฉีกยิ้มเจื่อนๆส่งให้
จะมองอะไรนักหนา...ความคิดของสองสาวตรงกัน หากแต่เมื่อเขาหันกลับมา ก็พบว่าสายตานั่น ไม่ได้มองอย่างดูถูก หากเต็มไปด้วยความครุ่นคิดผสมความกังวล จากสีหน้าที่ย่นตรงหน้าผากอย่างเห็นได้ชัดและ ไม่กี่นาทีถัดมา สองสาวต้องหันสบตากันอีกครั้ง
“ผมว่า คุณลองเอาข้อเสนอของผมไปคิดอีกทีดีกว่ามั้ยครับ” เมื่อได้ข้อสรุปทางสายตากับสิ่งแวดล้อม มนัสจึงเอ่ยตามความตั้งใจอีกครั้ง
“ไม่ดีกว่า รบกวนคุณเปล่าๆ” รติกาลปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด โดยมีสายตาของเพื่อนสาวมองอย่างงงๆ หากแต่เก็บต่อมความอยากรู้และก็ตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ
“หากคิดว่าข้อเสนอของผม เป็นการรบกวนของพวกเธอ ค่อยคืนเงินให้ผมก็ได้” มนัสไม่ละความพยาม “นี่นามบัตรผม มนัส จักรพล โทรหาได้ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับ ‘น้องสาว’ ของ ‘พี่ชาย’” เขาบอกน้ำเสียงจริงจังและเน้นหนัก โดยมีสายตาและปากที่อ้าค้างของสองสาวที่หันหน้าเข้าหากันและทำตาปริบๆ
“....” คิ้วโก่งเป็นปื้นผูกปมนูนสูงจนน่าขัน ชายหนุ่มยักไหล่เสมือนบอกให้รู้ว่าไม่แปลก และไม่ผิดในคำพูดที่ได้เอ่ยออกไป ตามนั้น
ไม่มีสายตาจาบจ้วง ไม่มีสายตาหื่นกระหาย ไม่มีสายตาประเมินค่าหรือดูถูก หากแต่เต็มไปด้วยความจริงใจที่มาพร้อมมิตรภาพ...
...รติกาลได้แต่ยิ้มเจื่อนๆตอบกลับ แต่ก็ยื่นมือไปรับแผ่นกระดาษตรงหน้ามาถือไว้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม โลกนี้อะไรมันจะแปลกกว่านี้อีกไหม
