บทที่1
พ.ศ.2552
ร่างสมส่วนชายไทยพร้อมก้าวย่างเร่งรีบไปตามริมฟุตปาธใบหน้าเครียดขรึมคอยหลีกหลบผู้คนที่เดินสวนไปมา ฝ่ามือหนากำเข้าแล้วปล่อยซ้ำๆ ยามเห็นสิ่งตรงหน้า ที่สายตาเขาจับภาพได้ มันสะเทือนไปถึงหัวใจจนปวดแปลบเหมือนคนกำลังถูกจี้ด้วยมีดคมแล้วทิ่มแทงไล่หลัง
กรามหนาขบเข้าหากันตลอดเส้นทาง สายตาหรี่แคบมองแผ่นหลังชายหญิงที่เดินคลอเคลียเคียงคู่กันเหมือนคู่รัก...มันไม่แปลกสักนิดหากผู้หญิงที่เขาเดินตามเป็นคนอื่น
ผู้คนเริ่มหนาตา รถราบนท้องถนนเริ่มขวักไขว่เมื่อเป็นเวลาเลิกงาน ช่วงจังหวะเพียงนิดเขาหลบหญิงสูงวัยนางหนึ่ง หากแต่ปะทะกับร่างผอมบางอีกคนกระเด็น
“หะ/อุ้ย!” เสียงของเขาและหล่อน ดังอย่างตกใจไม่แพ้กัน แต่เมื่อฝ่ายชายหันสายตากลับมา ไม่ต้องบอกว่าร่างหนาสมส่วนที่สูงร้อยแปดสิบกว่ากับหญิงสาวร่างบอบบางเพรียวลม ใครจะเจ็บกว่ากัน เมื่ออีกฝ่ายลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนทางเท้าใบหน้าเหยเก ที่เรียกสายตาของคนสัญจรให้หันมอง แต่ไม่มีใครหยุดสนใจซักถาม
“ให้ตายสิ... ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ” เมื่อรู้ตัวว่าผิดแม้ไม่ได้ตั้งใจ มนัสไม่รีรอ เอ่ยคำขอโทษทันที และด้วยความตกใจจนลืมตัว ร่างสูงใหญ่โน้มตัวก้มลง ยื่นมือเพื่อเป็นเข้าไปช่วยประคอง หากอีกฝ่ายเอียงหลบอย่างหวงตัวและนั่นทำให้เขารู้ตัวว่ามันไม่เหมาะจึงดึงมือกลับ
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ลุกขึ้นไหวไหม?” เขาร้อนใจหนัก สายตาคมเข้มหรี่แคบพยายามเค้นหาคำตอบด้วยสายตาตนเองไปพร้อมๆ กัน
แม้ไม่มีคำตอบมาทันทีแต่มนัสรับรู้ได้ว่าหล่อนต้องเจ็บไม่หยอกเมื่อมือเรียวลูบข้อเท้าข้างขวา สีหน้าบิดเบี้ยวพร้อมเสียง ซี้ด... สูดลมเข้าปาก
“ขอโทษจริงๆผมไม่ทันระวังครับ” คนตรงหน้าก็ห่วง หากสายตาของมนัสก็ไม่อาจตัดใจจากหนุ่มสาวก่อนจะชะเง้อคอมอง เพื่อให้รู้ว่าทั้งคู่กำลังเดินไปทิศทางไหน แต่สุดท้ายสิ่งที่ตามมาก็หายไปจากวงจรสายตาจนได้!
เมื่อไม่มีสิ่งใดทำให้ใจไขว้เขวได้อีก มนัสจึงหันมาสนใจสาวสวยในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดธรรมดาที่นั่งแหมะอยู่บนพื้นอย่างจริงๆ จังๆ
รติกาลแหงนหน้ามองคนที่เอ่ยขอโทษไม่หยุดปาก “ไม่เป็นไรค่ะ” ตัดใจบอกไปทั้งที่ใจหงุดหงิดแต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า
สายตาที่มองสบทำให้มนัสรู้สึกผิด ตากลมใสไร้แววตำหนิหรือคาดโทษ หากแต่เขารับรู้ได้ถึงความกังวลและอ่อนใจ จนเขารู้สึกผิดขึ้นหลายเท่าตัว
“ไม่ไหวใช่ไหม...ผมขอโทษด้วยจริงๆ” อีกครั้งที่เขาเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและแน่วแน่ แต่ครั้งนี้คำขอโทษที่มาพร้อมกับความต้องการที่อยู่ในใจ
ร่างบางถูกช้อนอุ้มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้ตั้งตัว หากจะวี้ดว้าย ยิ่งอายผู้คน รติกาลจึงลดระดับน้ำเสียงให้แผ่วลง
“คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี่นะ” เธอพยายามบอกและดิ้น หากแต่พอขยับ ข้อเท้าก็เจ็บแปลบจนน้ำตาเล็ด
“เท้าเคล็ด อย่าฝืนเดินต่อเลยครับ” มนัสเตือนด้วยความเป็นห่วง ตากลมใสที่เต็มไปด้วยความกังวลจ้องตอบ แต่รติกาลสัมผัสได้ว่าการกระทำของเขาจริงจังและใส่ใจอาการของเธอมากกว่าคิดฉวยโอกาสกับเธอ แต่กระนั้น ความหวาดระแวงก็ไม่ได้ลดไปจากความรู้สึกของรติกาล
“ปล่อยฉันลงเดียวนี้เลยนะ” เธอพยายามสลัดตัวเองออก ครั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายต่อต้าน มนัสจึงกระชับวงแขนแน่นขึ้น
“ขอโทษนะครับเห็นทีจะไม่ได้” เขาบอกพลางก้าวฉับๆ อย่างกับตัวหล่อนไร้น้ำหนัก
รติกาลอยากดิ้นรนให้พ้นจากการโอบอุ้ม แต่เสียวแปลบตรงข้อเท้าเมื่อพยายามจะสลัดตัวเองแรงๆ
“จะพาไปไหน” น้ำเสียงของหล่อนไม่สม่ำเสมอ พร้อมใบหน้าเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดพราวด้วยความหวาดระแวง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแดงซ่านด้วยความเขินอาย เมื่อผู้คนที่เดินผ่านมามองอย่างสอดรู้สอดเห็นหากแต่ไม่มีใครสนใจถามไถ่ อดคิดไม่ได้ว่าหากผู้ชายคนนี้เป็นคนร้าย หล่อนไม่แย่หรอกหรือ
สายตากรอกไปมาของสาวสวย ทำให้มนัสยิ้มกริ่ม เขารู้ตัวเองดีว่ากำลังทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งกลัวขึ้นสมอง จึงเอ่ยบอกไปว่า
“อย่ากลัวผมเลย ผมจะทำอะไรคุณได้ คนเยอะแยะ รถผมจอดอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวจะพาไปหาหมอ”
เหตุผลที่ได้ฟังจากน้ำเสียงเป็นมิตรและเป็นกันเอง ทำให้รติกาลเริ่มลังเล เธอจะไว้ใจคนแปลกหน้าได้หรือ
“ไม่เป็นไร คุณปล่อยฉันลงก่อนเถอะ อายเขา” เสียงแผ่วเบาหากแต่หนักแน่น แต่กระนั้นอีกฝ่ายหาได้ใส่ใจ ยิ้มหน้าตายตอบกลับมา เขาจงใจทำให้คนในอ้อมแขนอ่อนใจ แต่กลับทำไมสำเร็จ เมื่อคนในอ้อมแขนเกร็งตัวจนเขารู้สึกว่าอุ้มลำบากหากหล่อนทำตัวแข็งกับท่อนไม้ และคิดว่าหล่อนคงร่วงลงจากวงแขนเขาเป็นแน่ ขืนทำตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนี้...
“ถ้าคิดว่าผมอุ้มคุณแล้วอายชาวบ้าน ผมว่าคุณเปลี่ยนจากทำตัวเป็นท่อนไม้ แล้วทำตัวตามสบาย ผมจะได้อุ้มคุณสะดวกไปถึงรถไวๆ จะดีกว่านะครับ” เขาบอกพร้อมรอยยิ้มขำ รติกาลเหลือบตามองคนพูด หน้างอ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน เธออยากเถียง แต่ก็ไม่อาจอ้าปากเถียงออกไปได้ เขาเลยส่งยิ้มทางสายตาและคำพูดเป็นการยืนยันอีกครั้ง
“จะอายทำไม เหตุผลที่ผมอุ้มคุณ ใครไม่รู้ แต่ผมรู้ดี ที่สำคัญคุณก็รู้อยู่ว่า ตัวเองไหวหรือเปล่า” รอยยิ้มอบอุ่น ไม่ได้เสแสร้งยังอยู่เต็มใบหน้าหล่อนั้น แต่รติกาลไม่อาจยินดีตอบรับความรู้สึกที่อีกฝ่ายแสดงออกมาได้ เธอจึงกัดฝันทำหน้าบึงตึงตอบกลับ แต่จะให้สะบัดตัวออกจากอ้อมแขนคงไม่ไหว เพราะข้อเท้าของเธอแค่เขาขยับเดินเป็นจังหวะ ก็ปวดแปลบจนน้ำตาเล็ดแล้ว
สุดท้ายสาวสวยวัยใกล้ยี่สิบปี ที่ทำงานจนตัวเป็นเกลียวส่งตัวเองเรียนภาคค่ำเสาร์-อาทิตย์ จันทร์ถึงศุกร์ต้องทำงาน ก็นั่งหน้ามุ่ยอยู่หน้าห้องตรวจ โดยข้อเท้าถูกพันผ้าไว้อย่างแน่นหนา รออีกคนรับยาจากหน้าเคาน์เตอร์
“รติกาล ชื่อเพราะดี” เขาเอ่ยเหมือนจะย้ำให้ตัวเอง เจ้าของชื่อที่เขาพร่ำถามตั้งแต่นั่งมาด้วยกันในรถจนแล้วจนรอดหล่อนก็ไม่บอกเหมือนคนหวงชื่อ จนเขายอมเสียมารยาทแอบดู หันมาสบตาสีหน้าเรียบเฉย เขายิ้มรับหน้าเจื่อนๆพร้อมชูถุงยาให้เจ้าของชื่อได้เห็นถนัดขึ้น ‘เขารู้เพราะมันเขียนอยู่หน้าซองยา’
“เฮ้อ สีหน้าคุณทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลย” มนัสยังมีความวิตกหลงเหลืออยู่มาก
“เอ่อ...ก็นะ เป็นแบบนี้ เถ้าแก่คงไล่ออกจากงานแน่ ไหนเวลาที่ต้องไปเรียนอีก” น้ำเสียงเหมือนพ้อกับตัวเองลอยๆ ของรติกาล ทำให้มนัสรู้สึกใจหายกับสิ่งที่จะตามมากับความหมายที่เขาแปลได้
“คงไม่ถึงกับไล่ออกมั้งครับ สองสามวันคงไปทำงานได้ ไม่ได้เจ็บจนถึงขนาดต้องถือไม้เท้าซะหน่อย” มนัสบอกตามสภาพการณ์ รติกาลเหลือบมองคนเอ่ยที่ทำเป็นรู้ดี แล้วหันมองข้อเท้า สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหากแต่ไม่ถนัดหนัก เพราะเท้าที่พันด้วยผ้าไว้ทำให้เธอพยุงตัวได้ไม่ถนัด มนัสที่ยืนอยู่ใกล้เข้ามาพยุงอีกครั้งแล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวล
“ขอโทษนะครับ...” สองมือหนาสอดที่เอวคอด รติกาลมองหน้าสีหน้าลำบากใจ หากแต่ไม่เอ่ยว่าอะไร
“ให้ผมไปส่งนะ” เขาอาสาอีกครั้ง คำตอบที่ได้คือการพยักหน้าของเธอ
