บทที่ 9 อันตรายคูณสอง
“ ขอโต๊ะที่นั่งแล้วมองเห็นทิวทัศน์นอกร้านนะคะคุณน้อง ”
เสียงพูดของเจ๊แหม่มที่ดังขึ้นปลุกคนทั้งคู่ให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวเจ้าของร้านรีบกุลีกุจอจัดหาที่โต๊ะและที่นั่งสำหรับนักโบราณคดีจากประเทศไทยตามที่ถูกร้องขอ ขณะที่ชนะชนหันขวับไปจ้องหน้าเซเรียซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะของคณะนักโบราณคดีชาวอียิปต์
“ เซเรีย เธอนี่มัน... ” เขากำหมัด กัดฟันกรอด ตรงข้ามกับเซเรียที่เชิดหน้ายิ้มเยาะ พร้อมๆ กับที่ลุกขึ้นประกาศ
“ ร้านนี้เป็นร้านของพี่สาวดิฉันเอง เพราะฉะนั้นขออนุญาตเป็นเจ้ามือนะคะ เชิญทุกท่านรับประทานอาหารกันได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ ” เธอพูดพลางกวาดตามองทุกคนในร้าน ก่อนจะจบลงที่การสบตายิ้มเยาะท้าทายชนะชนอีกครั้ง
“ เธอมันงูพิษจริงๆ ” ชาหนุ่มพึมพำ ความเจ็บปวดและเจ็บแค้นเต้นเร่าในดวงตา ถึงยังไงเขาก็ไม่มีวันยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน !
“ เอ้า ! สองหนุ่ม ไหนสั่งอาหารทีซิ โชว์ฝีมืออ่านภาษาอาหรับหน่อย อ่านภาษาอังกฤษไปก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออาหารอะไร ” ป๋าวิบูลย์ส่งเมนูอาหารให้ชนะชนและจตุรงค์ โดยมีเสียงจ๋อยๆ ของเกสรีดังต่อท้าย
“ ยังไงก็เห็นใจเกดนิดนึงนะคะ ไม่เอาอาหารแบบบนเครื่องบินวันนั้นนะ ”
“ จ้ะๆ พี่รู้ พี่ไม่แกล้งน้องเกดหรอก ” จตุรงค์หันไปยิ้มหวานให้เกสรี ถึงอย่างนั้นก็ยังคงลอบมองท่าทางแปลกๆ ของชนะชนด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
บรรยากาศในร้านดูอบอุ่นเป็นกันเอง เคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะของบรรดานักโบราณคดีจากประเทศต่างๆ ยกเว้นชนะชนที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เขาจ้องมองการตกแต่งร้านที่เลียนแบบสมัยอียิปต์โบราณมาเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผนังอิฐที่ทาด้วยสีเหลืองนวลอมน้ำตาลแบบสีพีระมิด ประตูหน้าต่างและแผ่นฝ้าที่สลักลวดลายคล้ายอักษรเฮียโรกลิฟฟิค เฟอร์นิเจอร์สีทองเลียนแบบของส่วนพระองค์ในพระราชวัง รวมทั้งของตกแต่งร้านโบราณๆ อย่างโคมไฟ เครื่องถ้วยชาม และพรมสีเหลืองทองที่ปูลาดบนทางเดิน
“ ไม่น่าเชื่อนะว่า แม่คนนั้นจะลุกขึ้นประกาศตัวเป็นเจ้ามือเลี้ยงคนตั้งเกือบครึ่งร้อย ถึงจะเป็นร้านพี่สาวก็เถอะ น้ำใจหรือเลศนัยกันแน่นะเนี่ย ” เกสรีแอบตั้งข้อสงสัยกับมินตรา
“ ไม่เอาน่าเกด ไปว่าเขาแบบนั้นอีกแล้ว อย่ามองโลกในแง่ร้ายสิ ” มินตราดุเพื่อนด้วยคำพูดแบบเดิมๆ จนสาวหมวยนึกเซ็ง
“ เธอต่างหากล่ะมินที่มองโลกสวยงามเกินเหตุ ” เกสรีย่นหน้า ส่วนมินตราก็ทำแก้มป่องแบบงอนๆ ดูน่ารัก แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาชื่นชมอดีตมเหสี ชนะชนบอกตัวเองและนั่งหน้าเครียดอยู่คนเดียว
...เขาเห็นด้วยกับเกสรี เพราะรู้จักนิสัยของเซเรียดีว่าไม่เคยทำอะไรโดยไร้เหตุผล และเหตุผลของเธอก็ไม่เคยเป็นเรื่องดีเสียด้วย ยิ่งถ้าพี่สาวของเธอเกิดระลึกชาติขึ้นมาได้อีกคนล่ะก็ เขาไม่อยากคิดเลยว่ามินตราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวซึ่งดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวกับอดีตชาติของตัวเองด้วยความกังวล
“ หัวหน้ากับรองหัวหน้านั่งทานอาหารอียิปต์แล้ว ยิ่งดูเหมือนคนอียิปต์เลยนะคะ ” มินตรายิ้มขำสองหนุ่มซึ่งนักตักกับข้าวบนโต๊ะกินกัน ‘ เอช ’ แผ่นโรตีที่ชาวอียิปต์ใช้กินแทนข้าวและขนมปัง ชำนิชำนาญราวกับเป็นชาวอียิปต์จริงๆ
“ คงเพราะเคยมาอียิปต์แล้วด้วยล่ะมั้ง ก็เลยทำอะไรคล่อง ” ชนะชนตอบยิ้มๆ ทั้งที่ในใจกำลังวิตกกับอาหารบนโต๊ะซึ่งไม่รู้ว่าเจือยาพิษลงไปบ้างหรือไม่ จนต้องทำทีเป็นบริการตักกับข้าวให้คนทั้งโต๊ะ ระหว่างที่ใช้แหวนเงินที่สวมอยู่ตรวจสอบพิษไปด้วย
“ เคยมาหลายครั้งแล้วหรือคะ มาดูงานโบราณคดีน่ะหรือคะ ? ” เกสรีถามขึ้นอย่างสนใจ
“ เปล่าจ้ะ มาเที่ยวน่ะ คุณพ่อคุณแม่ของหัวหน้าชนะชนท่านพามา พี่เองก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ” จตุรงค์ตอบแทนชนะชน ซึ่งดูจะไม่ค่อยอยากพูดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างตัวเองกับประเทศอียิปต์นัก เพราะหากมินตราเกิดระลึกชาติได้อีกคน เขาคงทนไม่ได้ที่จะต้องถูกนางอันเป็นที่รักหมางเมินใส่
“ แสดงว่ามาตอนที่ยังเรียนอยู่สินะคะ ” เกสรีซักถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ ดีจังเลยค่ะ เกดกับมินพึ่งจะเคยมาต่างประเทศเป็นครั้งแรก เลยทำตัวไม่ค่อยถูก ”
“ มาตอนเรียนปี 3 น่ะจ้ะ หลังจากกลับไป หัวหน้าชนะชนก็รีบไปลงเรียนภาษาอียิปต์ กับพวกวัฒนธรรมอียิปต์โบราณเพิ่ม สงสัยจะประทับใจมาก ”
“ รองหัวหน้าจตุรงค์ครับ... ” ชนะชนเรียกเพื่อนเสียงขรึม และกระแอมเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าอีกฝ่ายเริ่มจะพูดมากเกินไปแล้ว อาจจะทำให้เป็นอันตรายต่อชีวิตของคนพูดได้
“ ขอโทษด้วยคร้าบ จะไม่พูดแล้วคร้าบ จะไม่เรียกหัวหน้านอกเวลางานแล้วคร้าบ จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วคร้าบ ” จอมกะล่อนรีบละล่ำละลัก จนทุกคนในโต๊ะพากับหัวเราะขบขัน
“ เซรี ! ”
เสียงเรียกชื่อพี่สาวของเซเรียดังขึ้น ระหว่างที่โต๊ะของนักโบราณคดีจากประเทศไทยกำลังครื้นเครงแข่งกับโต๊ะอื่น
“ ขอเมนูพิเศษให้โต๊ะนั้นทีนะ ” เซเรียบอกเซรี พลางพยักเพยิดหน้าไปทางโต๊ะของชนะชน
“ อ๋อ ได้สิ ” เซรียิ้มรับ ท่าทางดีใจที่จะได้เดินโฉบไปที่โต๊ะของชายหนุ่มอันเป็นรักแรกพบอีกครั้ง ขณะที่เซเรียนั่งยิ้มกริ่มอย่างพอใจในแผนการของตัวเอง
“ ขออนุญาตเสิร์ฟเมนูพิเศษของทางร้านนะคะ ”
ไม่นานนัก เซรีก็ยกเนื้ออบควันฉุยในถาดสีทองใบใหญ่มาที่โต๊ะของพวกชนะชน ทำเอาทุกคนตื่นเต้น ยกเว้นชนะชนที่ลอบมองเธออย่างจับพิรุธ เพราะไม่รู้ว่าหญิงสาวจะมาไม้ไหน ในเมื่อมีเพียงโต๊ะของเขาเท่านั้นที่ได้รับการเสิร์ฟอาหารจานนี้
“ เนื้ออบหรือคะ กลิ่นหอมดีนะคะ ” เจ๊แหม่มยิ้มให้เซรี
“ เป็นเมนูพิเศษของทางร้านน่ะค่ะ รับประกันความอร่อยค่ะ ”
“ แล้วทำไมเลือกที่จะเสิร์ฟให้โต๊ะนี้โต๊ะเดียวล่ะครับ เดี๋ยวโต๊ะอื่นเขาจะมองว่าลำเอียงเอาได้นะครับ ” ชนะชนถามขึ้นเสียงขรึม สีหน้าเรียบเฉย จนดูไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน
“ คือ... เจ้ามือมื้อนี้เธอสั่งมาน่ะค่ะ เซเรียน้องสาวดิฉันไงคะ ” เซรียิ้มแย้มตอบ แต่นั่นเองที่ทำให้ชนะชนถึงกับชะงัก ความหวาดระแวงพุ่งพรวดขึ้นสมองอีกระลอก ซ้ำยังดูจะมากกว่าเดิมหลายเท่าด้วย
“ อ้อ ! ฝากขอบคุณเธอด้วยนะครับ มือนี้เธอคงต้องจ่ายหนักทีเดียว ” ป๋าวิบูลย์หันไปพูดกับเซรีบ้าง
“ แหม ! ดิฉันคงไม่กล้ารีดไถน้องสาวตัวเองหรอกค่ะ อย่างมากก็คิดราคาทุนกับเซเรียน่ะค่ะ ” เซรียิ้มให้ทุกคนในโต๊ะ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป ถึงอย่างนั้นก็ยังมิวายลอบมองชนะชนอย่างหลงใหล
“ พิลึกนะคะ หรือจะเกิดสำนึกผิดขึ้นมา ” เกสรีพูดขึ้น หลังจากที่เซรีคล้อยหลังไปแล้ว
“ จุ๊ๆ หนูเกด พี่สาวเธอรู้ภาษาไทยนะจ๊ะ ” เจ๊แหม่มปราม ทำเอาสาวหมวยจ๋อยสนิท รีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเสียงอ่อย “ จะว่าไปเนื้ออบนี่คือเนื้อวัวใช่ไหมคะ ? ”
“ ไม่น่าจะใช่นะ น่าจะเป็นเนื้อแพะมากกว่า ถ้าเป็นเนื้อวัวน่าจะสีคล้ำกว่านี้ ”
คำตอบของชนะชนพาให้ทุกคนนั่งตัวแข็งค้าง เนื่องจากแต่ละท่านล้วนไม่มีประสบการณ์ในการบริโภคเนื้อแพะมาก่อน แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการ เพราะในเมื่อมันคือเมนูพิเศษที่เซเรียสั่งมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ จึงน่าจะเกี่ยวข้องกับแผนการอะไรบางอย่างของเธอด้วย
“ นั่นสินะ เอ่อ... คนอียิปต์เขากินเนื้อแพะกันด้วยนี่ ที่จริงบ้านเราก็มีบางคนที่กินนะ ไม่แปลกหรอกเนอะ ไหนๆ เขาก็ปรุงมาเพื่อพวกเราแล้ว ก็ต้อง... เอ่อ ช่วยกันทานให้หมดนะคะ เดี๋ยวเขาจะเสียใจ ” เจ๊แหม่มยิ้มปลอบทุกคน ถึงอย่างนั้นก็เป็นรอยยิ้มที่ฝืดฝืนเต็มทีนับตั้งแต่เจ๊เคยยิ้มมา
“ ข้างในคงจะใส่เครื่องเทศไว้ด้วย เดี๋ยวผมจะเป็นคนตัดแบ่งให้ทุกๆ คนแล้วกันนะครับ ” ชนะชนขันอาสา เพราะมันคือจุดประสงค์ของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
...แม้จะเคยเป็นฟาโรห์ มีบริวารคอยรับใช้ทุกอย่าง แทบไม่ต้องทำอะไรเอง แม้แต่จะย่างเดิน แต่เขาก็ไม่คิดถือสากับเรื่องแค่นี้ ขอเพียงมิราและทุกคนปลอดภัยจากคนอย่างเซเรีย ผู้หญิงที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการของตัว ต่อให้ต้องฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องสักกี่คนก็ตาม แน่นอนว่าแม้พวกเขาจะกลับประเทศไทยแล้ว เธอก็ยังหาเรื่องตามไปรังควานได้หากหัวใจของเธอต้องการ
ชนะชนแอบนิ่วหน้าเครียดอยู่คนเดียวระหว่างที่ลุกขึ้นตัดแบ่งเนื้ออบในถาด โดยไม่รู้ว่าเซเรียกำลังนั่งมองเขาพลางนึกขบขันที่ชายหนุ่มหลงติดกับแผนการปั่นหัวของเธอเข้าอย่างจัง ใช่! แค่ปั่นหัวเท่านั้นสำหรับวันนี้ หญิงสาวส่งกระแสจิตบอกเขา ขณะที่นั่งยิ้มให้กับแผนการต่อไปที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า
“ เฮ้อ ! อยากมีคนคอยดูแล เทคแคร์แบบนี้บ้างจังเลย ” จตุรงค์พูดขึ้นเสียงดัง ระหว่างนั่งมองมินตราล้างแผลให้ชนะชนอยู่ที่โซฟาภายในห้องโถงของบ้านพักเอกอัครราชทูตไทย หลังกลับจากการเยี่ยมชมและศึกษาดูงานพีระมิดแห่งใหม่บริเวณทะเลทรายขาวแล้ว
“ อยากเป็นแบบนี้บ้างงั้นเหรอ เดี๋ยวฉันช่วยก็ได้ ขั้นแรกต้องทำให้เป็นแผลเสียก่อนนะ เอาแผลฉกรรจ์เลยดีไหม หรือเอาแบบแผลเล็กแผลน้อยทั่วตัวดี ? ” ชนะชนถามเพื่อน หน้ายิ้มแต่แกล้งแฝงแววอำมหิตไว้ บ่งบอกว่าหากอีกฝ่ายตอบรับก็พร้อมจะช่วยเหลือเต็มกำลังแบบไม่มีการยั้งมือ
“ เอ่อ... ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ แบบว่าแค่อยากมีคนดูแลเฉยๆ ไม่ได้อยากเป็นแผลนะครับ ” จอมกะล่อนรีบปฏิเสธ สีหน้าไม่สู้ดี เพราะรู้ว่าเพื่อนเป็นคนพูดจริงทำจริง และหากเขาตอบตกลงไปล่ะก็ อาจถึงขั้นนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลได้
“ อย่างนั้นหรือครับ ยังไงก็ไม่ต้องเกรงใจนะครับ ถ้าอยากเป็นแผลเมื่อไหร่ก็บอกได้ ” ชนะชนย้ำคำเดิมให้จตุรงค์เสียวสันหลังเล่น แต่ดูเหมือนจะเป็นการทำให้มินตราขบขันมากกว่า
“ หัวหน้ากับรองหน้าเป็นเพื่อนที่สนิทกันดีนะคะ ” หญิงสาวพูดพลางหัวเราะพลาง แน่นอนว่ารอยยิ้มของเธอทำเอาชนะชนชะงักไปเหมือนทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้อาจแตกต่างไปบ้างตรงที่มันทำให้เขานึกถึงเรื่องราวในอดีตชาติ เมื่อครั้งได้พบกับเธอ
...เป็นช่วงเวลาก่อนที่เขาจะได้ครองบัลลังก์ฟาโรห์เสียอีก
“ เจ้าชาย ! ทรงรอกระหม่อมด้วย ดำเนินเร็วเยี่ยงนี้ กระหม่อมจักตามพระองค์ทันได้เยี่ยงไร ” จตุรงค์เมื่อครั้งยังเป็น ‘ ติติ ‘ ผู้ติดตามและพระสหายคนสนิทของเจ้าชายซาร์ วิ่งกระหืดกระหอบตามคนเป็นเจ้าชาย ซึ่งทรงดำเนินห่างออกไปทุกที
“ เจ้าก็ฝึกก้าวเท้าให้ยาวสิติติ นอกจากเจ้าจักไม่ต้องวิ่งแล้ว ยังจักตามข้าทันด้วย ” ชนะชนเมื่อครั้งยังเป็น ‘ เจ้าชายซาร์ ' หันไปตรัสตอบคำพูดของติติ พร้อมกับทรงพระสรวล ขบขันในท่าทางหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม กับท่าวิ่งตุปัดตุเป๋ของอีกฝ่าย และทรงดำเนินไปรอพระสหายของพระองค์อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่แล้ว...
ฟุ่บบบ!
