บท
ตั้งค่า

บทที่ 10 เรื่องราวในอดีตชาติ

เชือกบ่วงที่เจ้าชายซาร์บังเอิญเหยียบเข้า กระตุกรัดข้อพระบาท พร้อมกับดึงร่างของพระองค์ขึ้นไปห้อยอยู่บนกิ่งไม้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของเจ้าของเชือกบ่วง ซึ่งเป็นเด็กชายวัย 10 ปี สามคน

“ ฮ่าๆ ๆ มีคนติดกับดักพวกข้าแล้ว มีคนติดกับดักแล้ว ”

สามเด็กชายกระโดดโลดเต้นดีใจ นั่นเองที่ทำให้เจ้าชายซาร์ที่กำลังจะชักมีดพกออกมาตัดเชือก ยั้งพระหัตถ์ไว้แค่นั้น ขณะที่ติติซึ่งเห็นเหตุการณ์เต็มสองตา ก็รีบเร่งฝีเท้าวิ่งเข้ามาช่วยเจ้าชายของเขาด้วยความตกใจ

“ นี่ ! ทำอันใดของพวกเจ้า รีบปล่อยพระองค์บัดเดี๋ยวนี้เลยนะ หากไม่อยากต้องพระอาญา ” เขาเต้นแร้งเต้นกาโวยวายใส่เด็กทั้งสาม

“ หา ! ! พระ... พระ... อาญา ”

ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่กด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบปล่อยมือจากเชือกที่ช่วยกันออกแรงดึงเพื่อรั้งร่างของร่างเจ้าชายซาร์ขึ้นไปห้อยบนกิ่งไม้ เป็นเหตุให้พระองค์ตกลงมากระแทกพื้นดิน

“ ฮ้ายยย ! ! นี่พวกเจ้าทำอันใดลงไปรู้รึไม่ เกิดพระพาหา ( แขน ) หัก พระปฤษฎางค์ ( หลัง ) หัก พระศอ ( คอ ) หัก ขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร ” ติติเต้นแร้งเต้นกาโวยวายหนักกว่าเก่า ก่อนจะรีบเข้าไปช่วยเจ้าชายของตน เด็กทั้งสามจึงใช้โอกาสนั้นวิ่งหนีไปได้

“ ไปพูดเยี่ยงนั้น ชาวบ้านก็จักกลัวข้ากันหมด บอกแล้วมิใช่รึว่าอย่าให้ใครรู้ ” เจ้าชายซาร์ทรงส่ายพระพักตร์เอือมระอาพระสหาย

...วันนี้ก็เป็นเหมือนเช่นหลายๆ วันในรอบปีที่เจ้าชายซาร์ทรงเสด็จประพาสนอกวังพร้อมติติ เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย ความเป็นอยู่ และสุขทุกข์ของราษฎรแทนองค์ฟาโรห์ โดยปลอมพระองค์เป็นนักเดินทาง ฉลองพระองค์ในชุดเสื้อคลุมกับผ้าโสร่งลักษณะคล้ายกางเกงสีขาวสะอาดแบบเรียบง่ายไร้ลวดลายใดๆ เหมือนกันกับติติ และสะพายย่ามสีขาวซึ่งภายในบรรจุเหรียญทองไว้แจกจ่ายแก่ผู้ทุกข์ยากด้วย

“ ท่านทั้งสองเป็นอันใดมากรึไม่ ? ” ใครคนหนึ่งร้องถาม ระหว่างที่เดินแกมวิ่งเข้ามาหาเจ้าชายและพระสหาย แสงแดดยามใกล้เที่ยงที่เจิดจ้าและแยงตา ทำให้ทั้งคู่มองเห็นเจ้าของคำถามไม่ถนัดตานัก กระทั่งคนคนนั้นเข้ามาคุกเข่าลงตรงใต้ต้นไม้ “ เจ็บที่ใดอันใดบ้างรึไม่ ข้าจักไปพาหมอยามาให้ ”

ทันทีที่เจ้าชายซาร์ทรงทอดพระเนตรเห็นใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า พระองค์ก็ทรงชะงักไปด้วยพระอาการตกตะลึง เนิ่นนานจนติติต้องเป็นฝ่ายตอบคำถามของหญิงสาวแทน

“ เจ้าชาย เอ้ย ! สหายของข้ามิเป็นอันใดมากดอก เพียงช้ำแลเคล็ดยอกเล็กน้อย หากได้พักสักชั่วเวลาหนึ่งก็คงคลายความเจ็บปวด ”

“ ถ้าเช่นนั้นเชิญแวะพักในหมู่บ้านเถิด พวกท่านเดินทางผ่านมาคงจักเหนื่อย ข้าจักหาน้ำหายาให้ท่านเอง เพียงขอความเมตตาจากท่าน อย่าได้ถือโทษขึ้งโกรธเด็กน้อยเลย เห็นพ่อแม่ปู่ย่าใช้บ่วงดัก เด็กน้อยก็ซุกซนอยากเล่นตามประสา ”

“ ข้าหาได้ถือโทษไม่ อย่าได้ร้อนใจไปเลย ”

คราวนี้เจ้าชายซาร์ทรงเป็นฝ่ายตรัสตอบด้วยพระองค์เอง ก่อนจะพยุงพระวรกายขึ้นโดยมีติติเข้าช่วยประคอง นับว่ายังเป็นโชคดีที่พระองค์ทรงเคยได้รับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัวมา ทำให้ไม่ทรงได้รับบาดเจ็บมากนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ในขั้นที่ต้องทรงใช้ความอดทนข่มความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเกือบจะทั่วทั้งพระวรกาย

“ หมอไม่อยู่รึนี่ ข้าจักไปนำยาสมุนไพรที่บ้านมาให้ พวกท่านนั่งพักประเดี๋ยว ข้าจักรีบมา ” หญิงสาวพาสองนักเดินทางแปลกหน้ามาที่บ้านของหมอยาประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นกระท่อมหลังเล็ก อบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่ฟุ้งออกมา และเมื่อพบว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่ ก็จัดให้คนทั้งคู่นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่หน้ากระท่อม ขณะที่ตัวเองรีบอุ้มย่ามใส่ผลไม้ที่พึ่งไปเก็บมาก่อนหน้านี้ วิ่งกลับไปที่บ้านซึ่งอยู่ไม่ห่างกันเท่าใดนัก

“ ทรงถูกศรรักปักกลางอกแล้ว หากแต่จะทรงแผลงศรรักไปปักอกนางเยี่ยงไรเล่า ตรัสถามกระหม่อมได้นะ ” ติติยิ้มล้อเจ้าชาย

“ ถามเจ้า ข้าก็ได้แต่กลซ่อนแอบนางข้าหลวง ข้าเองก็มีอุบายของข้า หากไม่เป็นผลแล้วจึงจักพึ่งเจ้า ” เจ้าชายซาร์ตรัสตอบ พลางกวาดพระเนตรไปรอบๆ มองหาหญิงสาวผู้แผลงศรรักปักอกพระองค์

...นางผู้มีดวงตากลมโตแลประกายตาดังจันทรายามเต็มดวง แลมีรอยยิ้มดังเช่นอาทิตย์ยามอัสดง เป็นนางเดียวในหฤทัยนับแต่บัดนี้

“ เฮ้ ! อ้ายหนู ”

เสียงของติติเรียกให้เจ้าชายซาร์หันพระพักตร์ไปมองเด็กชายสามคนหลังพุ่มไม้ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับเด็กชายที่เล่นซนจนทำให้พระองค์ได้รับบาดเจ็บ

“ พวกเจ้าที่บังอาจทำทูลกระหม่อมของข้าเจ็บใช่รึไม่ เกิดเป็นชาย ทำอันใดผิดก็จักต้องรับผิด ” ติติแกล้งทำเสียงเข้ม ใบหน้าถมึงทึง ทำเอาทูลกระหม่อมของเขาทรงลอบแย้มพระโอษฐ์ขบขัน ตรงข้ามกับเด็กชายทั้งสามที่รีบออกมาจากด้านหลังพุ่มไม้ ตรงเข้ามาคุกเข่าขอขมาเจ้าชายซาร์

“ พวกข้าน้อยผิดไปแล้ว ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ” หนึ่งในเด็กสามคนละล่ำละลักผิดๆ ถูกๆ พลอยให้เพื่อนอีก 2 คนพูดตามผิดๆ ถูกๆ ไปด้วย “ ขอพระองค์ทรงพระเจริญๆ ” ทั้งสามพูดประโยคที่เคยได้ยินมาจากพ่อแม่ โดยไม่รู้ว่าความหมายของมันเป็นคนละเรื่องกับที่ควรพูด

“ สัญญาว่าจักไม่ทำเยี่ยงนี้กับใครอีกได้รึไม่ ? ” เจ้าชายซาร์ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปลูบผมเกรียนๆ ของเด็กทั้งสามทีละคนๆ คล้ายจะปลอบประโลมให้ทั้งหมดคลายความหวาดกลัว

“ พวกข้าสัญญา ขอพระองค์ทรงพระเจริญๆ ” สามเด็กชายละล่ำละลักตอบพร้อมกัน ระหว่างที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพระองค์อย่างหวาดๆ

“ ดีมาก เช่นนั้นก็กลับบ้านเสีย พ่อแม่จักเป็นห่วง ”

“ ช้าก่อนพระองค์ กระหม่อมมีเรื่องจักถามเด็กน้อยเหล่านี้... ด้วยเรื่องแม่นางในหมู่บ้านของพวกเจ้า ” ติติกราบทูลแย้ง แล้วหันไปทางเด็กทั้งสามอีกครั้ง ก่อนจะซักถามถึงหญิงสาวผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อแก่คนแปลกหน้า และเด็กน้อยซึ่งไม่ใช่เครือญาติ

“ บ้านพี่สาวอยู่เยื้องกับบ้านข้า พี่สาวอยู่กับแม่แค่ 2 คน แต่เอาขนมแลผลไม้มาให้บ้านข้าอยู่เนืองๆ ”

“ แต่ย่าข้าบอกว่า ไม่ให้สุงสิงกับคนบ้านนั้น เพราะอันใดข้าไม่กล้าถาม ”

“ ข้ารู้ พ่อข้าเคยบอกว่า พ่อแม่พี่สาวถูกขับออกจากหมู่บ้านอื่นก่อนจะย้ายมา ณ ที่นี้ เพราะพ่อพี่สาวเป็นคนนอกหมู่บ้าน เป็นคนเร่ร่อนจากเมืองเล็กไร้อารยะทางตะวันออกพู้น พ่อข้าก็ไม่ให้สุงสิงกับบ้านพี่สาว แต่แม่ข้าไม่เชื่อ แม่ข้าบอกว่าพี่สาวกับแม่เป็นคนดีแลน่าสงสาร สิ้นบุญพ่อพี่สาวไปแล้ว พวกเราจักต้องช่วยจุนเจือ ”

คำตอบของเด็กทั้งสามทำให้เจ้าชายซาร์ทรงชะงักไป ด้วยความรู้สึกสงสารหญิงสาวจับใจ เป็นเวลาเดียวกับที่ผู้ถูกพาดพิงถึงในชุดกระโปรงยาว กับผ้าคลุมไหล่สีขาวหม่นชุดเดิม อุ้มย่ามใบย่อมวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล มองดูคล้ายเทพธิดาที่ตกมาจากสรวงสวรรค์

“ หากไม่มีอันใดจักถามข้าแล้ว ข้าขอลา ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ” เด็กชายจากครอบครัวซึ่งไม่ชอบหญิงสาวกราบทูลเจ้าชาย แล้วรีบลุกขึ้นวิ่งหนีไป พลอยให้เพื่อนอีก 2 คนลุกหนีตามไปด้วย เมื่อหญิงสาวเข้ามานั่งลงตรงใต้ต้นไม้จึงไม่เห็นเด็กทั้งสาม รวมทั้งไม่ทันสังเกตเห็นดวงตาของเจ้าชายที่จ้องมองมา ซึ่งฉายแววรักใคร่ระคนสงสารด้วย

“ ยาห่อนี้ใช้กิน ห่อนี้ใช้ทา แก้ปวดเคล็ดขัดยอกชะงักนัก แลนี่ผลอินทผลัมเชื่อม แม่ข้าฝากให้พวกท่านเก็บไว้กินยามเดินทางต่อ ” หญิงสาวอธิบายถึงห่อผ้าต่างๆ ในย่ามสีมอ แล้วอุ้มมันส่งให้ติติ “ ไม่หนักดอก คงไม่เพิ่มภาระให้ท่านมากนัก ”

“ ข้าแลสหายขอบใจเจ้ายิ่งนัก ” ติติรับย่ามนั้นมา พลางชำเลืองมองเจ้าชายซาร์ซึ่งทรงกำลังเปิดย่ามที่วางอยู่ข้างๆ พระวรกาย “ พวกข้า... เอ่อ... ไม่รู้จักตอบแทนเจ้าเยี่ยงไรดี ”

“ หาควรต้องตอบแทนข้าไม่ ข้าต่างหากเล่าต้องตอบแทนพวกท่านที่เมตตาไม่ถือโทษเด็กน้อย ยามนี้ข้าตามหาเด็กน้อยไม่พบ แต่ยามหน้า หากพวกท่านได้ผ่านมา ข้าสัญญาว่าจักพาตัวเด็กน้อยมาขอขมาท่าน ”

“ ข้าจักมาอีกแน่ แต่หาได้มาเพื่อการนั้น ” เจ้าชายซาร์ทรงตรัสตอบ พระสุรเสียงหนักแน่น พร้อมกับส่งถุงเหรียญทองถุงหนึ่งให้หญิงสาว “ ขอเจ้าจงรับของตอบแทนเล็กน้อยนี้เถิด ”

“ หาควรต้องตอบแทนข้าไม่ ท่านเก็บไว้เถิด ” หญิงสาวส่ายหน้าย้ำคำเดิม และทำท่าจะลุกหนี

“ ข้าเต็มใจจักให้เจ้า ”

พระหัตถ์ของเจ้าชายฉวยข้อมือของหญิงสาวไว้ แต่ด้วยเพราะไม่เคยต้องมือชาย หญิงสาวจึงสะบัดออกและวิ่งหนีไปด้วยความตกใจ ทิ้งไว้เพียงย่ามใส่ของกับความทรงจำที่เจ้าชายไม่อาจที่จะลืมเลือนไปจากพระหฤทัยได้เลย

...ทรงระลึกถึงหมู่บ้านเล็กซึ่งน้อยคนนักจะได้เหยียบย่างเข้าไป และทรงระลึกถึงนางผู้เป็นหนึ่งในพระหฤทัยอย่างที่ไม่เคยมีนางใดเสมอเหมือน นางผู้เป็นเจ้าของดวงหน้างามที่ต่างไปจากหญิงสาวชาวอียิปต์ทั่วไป และเป็นเจ้าของดวงตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย กับเรือนผมดำขลับ รวมทั้งร่างบางที่สูงเพียงไหล่กว้างของพระองค์ ต่อให้ยากลำบากสักเพียงไหน ก็จะต้องคว้าตัวนางมาไว้ในอ้อมกอดให้ได้ เจ้าชายซาร์ตั้งพระหฤทัยมั่นตลอดระยะเวลาที่ทรงเสด็จกลับวังหลวง

แต่แล้ว... กลับเหมือนสายฟ้าผ่าลงตรงกลางพระหฤทัย ! !

“ องค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟทรงมีพระบรมราชโองการให้เข้าเฝ้า ” ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งเข้ามายืนกราบทูลเจ้าชายซาร์ด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทันทีที่พระองค์เสด็จกลับถึงวังหลวง และกำลังจะเปลี่ยนฉลองพระองค์อยู่ภายในห้องบรรทม

“ เจ้าชายก็ทรงมีเลือดขัตติยะ เหตุใดจักเข้ามากราบทูลพระบรมราชโองการ แล้วจึงไม่เคาะประตู แลไม่คุกเข่าลง เหตุใดจึงยืนเสมอพระองค์ หรือท่านเองก็มีเลือดขัตติยะเช่นพระองค์ด้วย ” ติติซึ่งเดินตามเข้ามาได้ยินพอดี เอ่ยถามขุนนางอาวุโสด้วยความไม่พอใจ ขณะที่อีกฝ่ายก็แสดงท่าทีไม่พอใจในคำพูดของเขาเช่นกัน

“ ช่างเถิดติติ ” เจ้าชายซาร์ตรัสบอกพระสหาย แล้วจึงหันไปทางขุนนางอาวุโสแห่งวังหลวง “ กราบบังคมทูลพระองค์ท่านด้วยว่าข้าจักรีบตามไป ”

“ ขอรับกระหม่อม ” อีกฝ่ายถวายบังคมแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเร็ว ราวกับอยากจะรีบออกไปเสียเต็มประดา ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้ติติเป็นอย่างมาก

“ เจ้าชายต้องทรงทำอันใดบ้าง หาใช่ปล่อยให้คนพวกนั้นทำตามอำเภอใจเยี่ยงนี้ ”

“ ช่างเถิดติติ ข้าเองก็เป็นเพียงบุตรพระชายา จักเป็นที่ยำเกรงเช่นโอรสแห่งพระมเหสีของหาควรไม่ เราจักต้องพอใจในที่ของเรา นั่นคือสิ่งที่ควรจักต้องทำต่างหาก ” เจ้าชายซาร์ตรัสตอบพระสหาย พระพักตร์เรียบเฉยราวกับไร้ซึ่งความรู้สึก ตรงข้ามกับในพระหฤทัยที่เศร้าหมองและโดดเดี่ยว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel