บทที่ 8 ความทรงจำที่ฟื้นคืน
“ องค์ฟาโรห์เมนเคอเรทรงตัดสินพระทัยถูกต้องแล้ว หากแต่ข้าก็ยังได้รับพระเมตตาจากองค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟ จนได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ฟาโรห์ที่ 7 ทั้งที่ควรจะเป็นพระองค์มากกว่า และทั้งที่ข้าควรจักปฏิบัติตนเยี่ยงฟาโรห์ควรปฏิบัติ แต่ข้าก็กลับประพฤติในสิ่งตรงข้าม ข้าทำลายธรรมเนียมกับทั้งกฎมณเฑียรบาลที่มีมาแต่เก่าก่อนด้วยมือของข้าเอง
ข้าขอยอมรับผิดและขอรับโทษทัณฑ์ที่เบื้องบนจะทรงลงโทษข้า แม้ด้วยชีวิตของข้า ข้าก็ยอมถวายแก่พระอาญา เช่นที่ข้าได้เคยถวายเทิดทูนให้แก่ความรักของข้า ความรักต้องห้ามที่หยิบยื่นความตายให้แก่นางอันเป็นที่รักของข้า และหยิบยื่นความทุกข์ทรมานให้กับข้า ข้าไม่อาจอยู่อย่างไร้หัวใจได้ หากแต่หัวใจของข้าก็ได้มอบให้นางจนหมดสิ้นแล้วเช่นกัน แม้นว่านางจักไม่ยอมรับและปฏิเสธมัน แม้นว่านางจักโกรธและเกลียดข้า แต่ข้าก็จักขอจดจำไว้ในทุกภพชาติที่ผ่านพ้น ข้าจักมีชีวิตเพื่อได้พบและรักนางอีกสักครั้ง มิรา... นางอันเป็นที่รักเพียงผู้เดียวของข้า เป็นเหมือนชีวิตทั้งชีวิตของข้า ข้าขอถวายชีวิตเพื่ออาญาของเจ้าเช่นกัน ”
ชายหนุ่มจบการอ่านจารึกทั้งหมดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะขาดหายไปในลำคอ แท้จริงแล้วเขาแทบไม่ได้อ่านมันด้วยซ้ำ แต่เป็นการพูดมันออกมาจากความทรงจำ เมื่อครั้งที่เขาได้ให้บริวารจารึกคำพูดเหล่านั้นลงไปบนผนังพีระมิด ภายในห้องชั้นในสุดที่ใช้เก็บรักษาร่างของมิรา ก่อนที่เขาจะตรอมใจตายตามนางไป ถึงอย่างนั้นก็เป็นเวลากว่า 20 ปี ที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับการมีชีวิตอยู่อย่างไร้ซึ่งความรักและหัวใจ ราวกับเบื้องบนได้ทรงลงโทษเขาแล้ว
“ ประพฤติตนไม่สมกับที่เป็นฟาโรห์ ก็สมควรแล้วที่จะไม่มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ ” เซเรียกอดอกพูดยิ้มๆ นั่นเองที่ทำให้ทุกคนหันไปจ้องหน้าเธอ เพราะไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าลบหลู่ดูหมิ่นองค์ฟาโรห์ในสถานที่ของพระองค์เช่นนี้
“ ทำไมพูดแบบนั้นเซเรีย ขอขมาพระองค์ซะ เดี๋ยวก็ได้โดนคำสาปของพระองค์ไปชั่วชีวิตหรอก ” หนึ่งในนักโบราณคดีอาวุโสของทีมงานผู้ค้นพบพีระมิดแห่งนี้ หันไปดุหญิงสาวเป็นภาษาอาหรับ แต่แทนที่จะสำนึก เซเรียกลับเชิดหน้าใส่พร้อมกับตอบเป็นภาษาอังกฤษว่า
“ ดิฉันพูดความจริงมันผิดด้วยหรือ แล้วคำสาปอะไรนั่นก็มีแต่พวกมนุษย์หน้าโง่เท่านั้นแหละที่คิดกลัวไปเอง ”
“ ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นใครร้ายกาจขนาดนี้เลย องค์ฟาโรห์ทรงน่าสงสารจะตาย ยังไปซ้ำเติมพระองค์อีก แบบนี้ต้องให้โดนคำสาปซะให้เข็ด ” เกสรีกระซิบกระซาบกับมินตรา นินทาเซเรียเป็นภาษาไทยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายฟังรู้เรื่อง แต่มินตรากลับหันไปตอบโต้เซเรียเป็นภาษาอังกฤษแบบซึ่งๆ หน้า
“ ทรงผิดในฐานะที่ทรงเป็นฟาโรห์ที่ไม่ทรงรักษาจารีตของฟาโรห์เท่านั้น ไม่ได้ทรงกระทำสิ่งใดที่ผิดจากความเป็นมนุษย์ หากพระองค์ทรงเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ก็ควรที่จะทรงได้รับการยกย่องในความกล้าที่จะรับผิดและความรักเดียวใจเดียวของพระองค์ด้วยซ้ำ ”
“ มิรา... ” ชนะชนเบิกตากว้าง พึมพำชื่อเก่าในอดีตชาติของมินตรา ด้วยความยินดีที่เธอไม่ได้โกรธเกลียดเขาเหมือนอย่างที่เขาเคยกังวลมาตลอด ในทุกภพชาติที่เขาเพียรพยายามตามหาเธอ
“ พูดได้ดีนี่ องค์ฟาโรห์คงรักเธอมากขึ้นอีกเป็นกองเลยนะ ” เซเรียพูดพลางยิ้มเยาะมินตรา
“ พระองค์จะทรงมารักดิฉันทำไมกัน ในเมื่อพระองค์ทรงมีรักเดียว แล้วก็ไม่ทรงรู้จักดิฉันด้วย ”
คำตอบของมินตราทำให้รอยยิ้มยินดีของชนะชนจางลงในทันที ตรงข้ามกับเซเรียที่ยิ่งหัวเราะขบขันเหมือนได้ฟังเรื่องตลก เสียดแทงใจชนะชนจนเขาต้องกำหมัดแน่น เพื่อระงับอารมณ์โกรธและเจ็บแค้นที่พลุ่งพล่าน ขณะที่คนอื่นๆ พากันงุนงงกับอาการแปลกๆ ของเซเรีย
“ แล้วมัวยืนเฉยกันทำไม อยากสำรวจอะไรก็เชิญนะคะ หรือถ้าไม่อยากสำรวจแล้วก็เชิญด้านนอกค่ะ จะได้ให้ทีมอื่นเข้ามาต่อ ” เซเรียบอกคณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยเป็นภาษาอังกฤษ ท่าทางหยิ่งจองหองได้อย่างน่าหมั่นไส้ แต่เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนต่างทนเก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้ กระทั่งทั้งหมดกลับออกมาถึงด้านนอกพีระมิด
“ แย่จริงๆ เลยนะคะ ทางเราอุตส่าห์ช่วยแท้ๆ พอใช้เสร็จก็ถีบหัวส่งกันเลย ! ” เจ๊แหม่มบ่นขึ้นเป็นคนแรก ด้วยอาการโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ ทางเขาเองก็แปลก เหมือนไม่กล้าตำหนิคนของตัวเองเท่าไหร่ คงเป็นพวกลูกเศรษฐีหรือไม่ก็ลูกเจ้าใหญ่นายโตล่ะมั้ง เฮ้อ ! เป็นแบบนี้ทุกประเทศเลยสินะ ” ป๋าวิบูลย์ส่ายหน้าอย่างปลงๆ
“ แถมยังมาหาเรื่องมินด้วยนะคะ พูดอะไรแปลกๆ ด้วยก็ไม่รู้ อาจจะเป็นโรคจิตเลยไม่มีใครกล้าว่าอะไรก็ได้ค่ะ ” เกสรีออกความเห็นบ้าง
“ อย่าไปว่าเขาแบบนั้นสิเกด เดี๋ยวเขารู้ก็โกรธเอาหรอก ” มินตราปรามเพื่อน “ เขาอาจจะเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วก็ได้ ”
“ เธอก็มองโลกในแง่ดีแบบนี้เสมอแหละ มีเรื่องอะไรก็ยอมเขาตลอด พวกนั้นเลยยิ่งได้ใจ "สาวหมวยเปลี่ยนมาบ่นเพื่อนสนิทของตัวเองบ้าง แต่เพราะคำพูดของเกสรีนั่นเองที่ทำให้ชนะชนถึงกับยืนนิ่งอึ้ง
“ ประวัติศาสตร์จะต้องไม่ซ้ำรอย เพราะคราวนี้ฉันจะปกป้องเธอด้วยชีวิตที่ฉันมี ! ” ชนะชนพึมพำ มือที่กำหมัดสั่นระริกจนจตุรงค์นึกสงสัยในอาการแปลกๆ ของเพื่อน
“ เอ่อ... เชิญทีมต่อไปเลยนะครับ ” จอมกะล่อนหันไปบอกบรรดานักโบราณคดีจากประเทศอื่น ซึ่งต่างกำลังปัดทรายออกจากผมและเสื้อผ้า บ้างก็กำลังใช้น้ำล้างนัยน์ตาที่มีทรายปลิวเข้าไป สร้างความงุนงงให้แก่พวกชนะชนเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะท้องฟ้าที่กลับมาแจ่มใสเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ผิดกับช่วงเวลาก่อนหน้านี้ลิบลับ
“ ภายในพีระมิดมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นบ้างไหมครับ ? ” นักโบราณคดีจากประเทศอเมริกาคนหนึ่งตรงเข้ามาถามป๋าวิบูลย์และเจ๊แหม่ม ด้วยท่าทีที่ยังตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกตนเมื่อครู่ และไม่มีนักโบราณคดีจากประเทศไหนยอมเข้าไปภายในพีระมิดเป็นคณะต่อไปแม้แต่คนเดียว
“ เอ... ไม่มีนะครับ ทุกอย่างปกติดีครับ ” ป๋าวิบูลย์ตอบงงๆ
“ นั่นสิคะ ทุกอย่างก็ปกตินะคะ หรือด้านนอกมีอะไรเกิดขึ้นคะ ? ” เจ๊แหม่มตั้งคำถามกลับ
“ เกิดพายุทรายเฉพาะในรัศมีพีระมิดครับ พวกเราก็นึกว่าเกิดอะไรในพีระมิดด้วยเสียอีก ”
“ ใช่ค่ะ ท้องฟ้าก็ดำทมิฬ น่ากลัวมาก ” นักโบราณคดีจากประเทศออสเตรเลียเข้ามาช่วยพูดเสริมด้วยอีกคน ถึงอย่างนั้นสองนักโบราณคดีอาวุโสจากประเทศไทยก็ยังยืนยันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นภายในพีระมิด
...แต่คนที่รู้ดียิ่งกว่าใครๆ ว่าแท้จริงแล้วมีบางอย่างเกิดขึ้นก็คือ ชนะชน ! !
“ เซเรีย... นี่คิดจะทำอะไรอีกกันแน่ ! ? ” ชายหนุ่มพึมพำหน้าเครียด
...สิ่งหนึ่งที่รู้แน่ชัดก็คือ การที่เซเรียจงใจให้เขาอ่านจารึกภายในพีระมิด มันไม่ใช่เพราะเธอไม่สามารถแปลความหมายของอักษรทั้งหมดได้ แต่เป็นเพราะเธอต้องการให้เขาได้อ่านมัน เพื่อกระตุ้นความทรงจำในอดีตชาติซึ่งอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นให้ฟื้นคืนมาทั้งหมด เช่นเดียวกับตัวเธอที่สามารถ ‘ ระลึกชาติ ’ ได้แล้วก่อนหน้านี้จากพีระมิดแห่งนี้ แต่ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเพื่ออะไรกัน นั่นคือสิ่งที่อดีตฟาโรห์อย่างเขายังไม่สามารถคาดเดาได้ เพียงรู้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ โดยเฉพาะกับมิราหรือมินตราในปัจจุบัน
“ เป็นอะไรหรือเปล่าชนม์ สีหน้าไม่ดีเลยนะ ? ” จตุรงค์อดรนทนไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง อาจดูเป็นความห่วงใยที่มากเกินกว่าความเป็นเพื่อน แต่นั่นก็เป็นเพราะความเคยชินที่ฝังแน่นสืบต่อกันมาทุกภพทุกชาติ
“ ไม่มีอะไรหรอก อย่าห่วงเลย ” ชนะชนตอบยิ้มๆ เป็นรอยยิ้มอย่างจริงใจที่มีให้กับคนที่เป็นทั้งผู้ติดตามและสหายเพียงคนเดียวของเขา
“ แน่นะ นายน่ะชอบเก็บไปคิดมากอยู่คนเดียวเรื่อยแหละ บอกว่าไม่มีอะไร ไม่ได้เป็นอะไร แต่ข้างในใจน่ะมีเต็มไปหมดจนแทบระเบิดออกมานอกอกใช่ไหมล่ะ มีอะไรก็บอกสิ จะได้ช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไข คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย แล้วฉันก็พร้อมจะเป็นเพื่อนตายของนายอยู่แล้ว ไม่เชื่อใช่ไหมล่ะ ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็น... ” จตุรงค์บ่นเพื่อนเสียยืดยาวเป็นตาแก่ จนชนะชนอดขำไม่ได้
“ ฉันเชื่อ ไม่ต้องพิสูจน์หรอก ” ชายหนุ่มตอบพลางหัวเราะขบขัน แม้คำพูดของจตุรงค์จะแทงใจดำหลายอย่าง แต่นั่นก็แสดงถึงความเป็นเพื่อนแท้ที่รู้จักรู้ใจกันเป็นอย่างดี สมกับช่วงเวลายาวนานในความเป็นเพื่อน
แน่นอน... เขาเองก็รู้จักจตุรงค์เป็นอย่างดี และรู้ว่าเพื่อนแท้คนนี้ยินดีจะตายแทนเขาได้ เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาครองบัลลังก์ฟาโรห์แห่งอียิปต์แล้ว แต่ในเวลานี้ ปัญหาและความกังวลในใจยังคงเป็นแค่สิ่งที่อยู่ในความนึกคิด ยังไม่มีสิ่งใดปรากฏชัดเจนว่าจะเป็นเช่นนั้น มันอาจจะเบาบางกว่าหรือร้ายแรงยิ่งกว่าก็ได้ แล้วก็คงจะมีแค่เพียงเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์สิ่งที่อยู่ในหัวใจและความคิดของเซเรีย ผู้หญิงที่ไม่มีใครอ่านความคิดของเธอออก จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย ! !
หลังจากเสร็จสิ้นการเยี่ยมชมพีระมิดแห่งใหม่แล้ว คณะนักโบราณคดีจากทุกประเทศก็เดินทางออกจากพื้นที่เขตทะเลทรายด้วยรถโฟร์วีล และเพราะเป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี ทั้งหมดจึงแวะพักรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเขตทะเลทราย ก่อนเข้าเขตเมืองเล็กน้อย
“ เชิญเลยค่ะ ยินดีต้อนรับนะคะ ” เจ้าของร้านสาวสวยในชุดแบบสาวพื้นเมืองอาหรับ ออกมาต้อนรับลูกค้ากลุ่มใหญ่ประจำวันนี้ ด้วยภาษาประจำชาติของลูกค้าจากต่างประเทศ ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาอิตาเลียน และแม้แต่ภาษาไทย
“ ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ คุณเจ้าของร้านพูดภาษาไทยได้ด้วยหรือคะเนี่ย ? ” เจ๊แหม่มถามหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น
“ ก็... นิดหน่อยค่ะ ” เธอยิ้มแย้มตอบ แล้วหันไปยิ้มให้คณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยทุกคน กระทั่งได้สบตากับชนะชน และต่างคนต่างชะงักไป
...สำหรับหญิงสาว เขาเป็นเหมือนรักแรกพบที่ทำให้หัวใจดวงเล็กของเธอสั่นไหว และเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน แต่สำหรับชนะชนแล้ว เธอคือหญิงสาวผู้มีชีวิตอยู่เมื่อหลายพันปีก่อนในครั้งที่เขาครองบัลลังก์ฟาโรห์ ผู้ที่เขาไม่อาจลืมได้ พอๆ กับที่เขาไม่สามารถลืมสิ่งที่เซเรียทำไว้กับเขาได้
ไม่ผิดแน่ ! ชนะชนบอกตัวเองระหว่างที่ยังคงจ้องมองเธอ เจ้าของนัยน์ตาสีนิล กับประกายตาที่ดูเหมือนบริสุทธิ์ใสซื่อ ใบหน้ารูปไข่ จมูกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากบาง รวมทั้งผมดำขลับที่ปล่อยยาวเกือบถึงกลางหลังเช่นเดียวกับเซเรีย และผิวที่ขาวกว่าใครในบรรดา 3 พี่น้อง ผู้ที่ทำให้เซเรียย่ามใจจนวางแผนฆ่ามิราในที่สุด !!
