บทที่ 7 หญิงสาวอีกคน
...ผู้หญิงเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งในชุดเสื้อยืดคว้านคอสีดำ กับแจ็คเก็ตสีแดงสดพับแขนถึงข้อศอก กางเกงยีนส์รัดรูปเน้นสัดส่วน และรองเท้าส้นตึกสีเดียวกับแจ็คเก็ต เรียกความสนใจจากหนุ่มๆ บริเวณนั้นให้หันไปมองกันตาวาววับ ยกเว้นเพียงชนะชนที่หันไปมองหญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปสนใจทิวทัศน์รอบข้างต่อ และมันจะเป็นเช่นนั้นต่อไป ถ้าใครคนหนึ่งไม่เรียกชื่อของเธอคนนั้นให้ชนะชนได้ยิน
“ เซเรีย ! ”
ชื่อของหญิงสาวที่ดังมาเข้าหู ทำให้ชนะชนหันขวับไปจ้องมองเธออย่างตื่นๆ ในขณะที่เธอชำเลืองมองเขาพลางยิ้มยั่ว ไม่สิ ! ดูเหมือนรอยยิ้มหยันเสียมากกว่าในสายตาของชนะชน ชายหนุ่มยืนตัวแข็งระหว่างที่ยังคงจ้องมองเจ้าของใบหน้ารูปไข่ กับนัยน์ตากลมโตที่มีประกายบางอย่างซ่อนอยู่ และตอนนั้นเอง...
“ ฉันจำได้แล้วล่ะมิน รถสีดำทะเบียนนี้แหละที่จะชนเธอเมื่อวานน่ะ คนขับก็เป็นผู้หญิงด้วย ฉันจำได้ไม่ผิดแน่ ! ” เกสรีบอกมินตรา พร้อมกับสาวเท้าเข้าไปหาเซเรียทันที โดยไม่รอให้เพื่อนสาวผู้ใสซื่อของเธอได้ออกความเห็นใดๆ “ Hey , You ! ” สาวหมวยดึงแขนเซเรียให้หันมาพูดกับเธอ ก่อนจะต่อว่าเป็นภาษาอังกฤษเสียหลายชุด แต่แล้วคำตอบของเซเรียก็ทำเอาทุกคนยืนตัวแข็ง
“ ถนนเขามีไว้ให้รถวิ่ง อยากลงมายืนทะเล่อทะล่า มันก็สมควรตายแล้วนี่ ”
นั่นคือคำพูดฉบับภาษาไทยที่เกสรีแปลได้ และมันก็ทำให้สาวหมวยถึงกับยืนพูดไม่ออก ปล่อยให้เซเรียเดินไปขึ้นรถโฟร์วีลของคณะนักโบราณคดีชาวอียิปต์ นั่นเองที่ทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอเป็น 1 ในทีมงานผู้ค้นพบพีระมิด
“ เซ... เรีย... ” ชนะชนพึมพำชื่อนั้น เสียงขาดหายไปในลำคอ เพราะมั่นใจว่าเจ้าของชื่อคือผู้หญิงคนเดียวกับ ‘ เซเรีย ’ ในความฝันของเขา
...เหมือนจะเริ่มมีแสงสว่างแห่งคำตอบเลือนรางในความมืด หรือแท้จริงแล้วมันคือความมืดมิดที่ซ่อนอยู่ในความมืดกันแน่ ชนะชนถามตัวเอง พร้อมกับหันไปมองมินตราที่ยืนตระหนกอยู่กับเกสรี และ ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ของเธอด้วยความเป็นห่วง
หลังจากที่คณะนักโบราณคดีจากทุกประเทศ ทยอยกันขึ้นรถโฟร์วีลจนครบแล้ว ทั้งหมดก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ผืนทรายอันร้อนระอุ ท่ามกลางไอแดดอุณหภูมิเกือบ 40 องศาเซนเซียสของทะเลทรายตะวันตก ผ่านทะเลทรายดำซึ่งเต็มไปด้วยเม็ดทรายสีดำสนิทปะปนอยู่กับทรายหยาบธรรมดาที่มีจำนวนน้อยกว่า มองดูคล้ายกองเถ้าถ่านที่ทับถมกัน
“ ดูแล้วน่ากลั๊ว น่ากลัวนะคะ ” เกสรีพูดขึ้นระหว่างทางที่รถแล่นผ่านทะเลทรายดำ และเพราะรถ 1 คันจำกัดจำนวนคนนั่งได้แค่เพียง 4 คนชนะชนกับจตุรงค์จึงต้องระเห็จไปนั่งรถอีกคัน ร่วมกับนักโบราณคดีจากประเทศอื่น และเป็นรถที่ออกตัวเป็นคันสุดท้าย แต่ถึงที่หมายเป็นคันแรก ด้วยฝีมือการขับของโชเฟอร์หนุ่มชาวอียิปต์อายุไล่เลี่ยกับน้องชายคนสุดท้องของจตุรงค์ ซึ่งทำให้จอมกะล่อนได้รู้ว่า ฝีมือการขับรถของน้องชายตัวเองยังห่างชั้นกับนักแข่งรถอาชีพหลายขุมนัก
“ ฉันคิดว่าฉันชินกับการนั่งรถสายทัวร์นรกแล้วซะอีกนะ พึ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิดก็วันนี้แหละ ” จตุรงค์รีบลงจากรถมายืนโอดครวญแข้งขาสั่นทันทีที่รถจอดสนิท ขณะที่ชนะชนไม่ได้ให้ความสนใจกับคำพูดของเพื่อนนัก เพราะมัวแต่จ้องมองพีระมิดตรงหน้า ด้วยความรู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นและสัมผัสมาแล้วก่อนหน้านี้
“ สวยจังเลยนะมิน ” เกสรีดึงมือมินตราลงจากรถมายืนดูพีระมิดด้วยอีกคน โดยมีเสียงบรรยายเป็นภาษาอังกฤษของตัวแทนคณะนักโบราณคดีชาวอียิปต์ดังประกอบ สรุปใจความได้ว่า...
พีระมิดขนาดเล็กที่สุดในบรรดาพีระมิดที่ค้นพบทั้งหมดแห่งนี้ ได้ปรากฏขึ้นกลางทะเลทรายขาว หลังการสงบของพายุทรายที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงและบ้าคลั่งเมื่อ 2 เดือนก่อน โดยเป็นพีระมิดสภาพสมบูรณ์ หากแต่ปิดทึบไร้ทางเข้า - ออก ภายในมีพระศพขององค์ฟาโรห์และพระมเหสี รวมทั้งทองคำ เพชรนิลจินดา และข้าวของเครื่องใช้เช่นพีระมิดอื่นที่เคยสำรวจมา และจากการแปลความหมายตัวอักษรเฮียโรกลิฟฟิคที่จารึกอยู่ภายในพีระมิด กลับได้พบว่าพระองค์ทรงเป็นฟาโรห์องค์หนึ่งในราชวงศ์ที่ 4 ราชวงศ์เดียวกับฟาโรห์คูฟู ฟาโรห์เคเฟร และฟาโรห์เมนเคอเร ผู้เป็นเจ้าของพีระมิดทั้ง 3 แห่งเมืองกิซา แต่ไม่เคยปรากฏพระนามมาก่อนในประวัติศาสตร์อียิปต์
“ ทางเราจะเดินนำเข้าไปในพีระมิดก่อน เพื่อเป็นไกด์ให้กับคณะนักโบราณคดีจากทุกประเทศ แต่เนื่องจากพีระมิดแห่งนี้มีขนาดเล็ก จึงขอความร่วมมือให้เข้าไปทีละคณะ โดยเริ่มจากคณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยก่อน ” เซเรียพูดต่อจากเพื่อนร่วมทีมด้วยภาษาอังกฤษ สำเนียงยอดเยี่ยมราวกับเป็นเจ้าของภาษา และเพราะคำพูดของเธอนั่นเองที่ทำให้นักโบราณคดีจากประเทศอื่น พากันกันมาจ้องมองพวกชนะชนด้วยความประหลาดใจที่นักโบราณคดีจากประเทศเล็กๆ กลับได้อภิสิทธิ์ในการเข้าชมพีระมิดก่อนพวกตน
“ น่าแปลกนะ ทั้งที่ควรจะเป็นนักโบราณคดีจากประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา หรือไม่ก็อังกฤษที่ได้เข้าไปในพีระมิดก่อน ” เกสรีหันไปกระซิบตั้งข้อสงสัยกับมินตรา “ หรือแม่คนนั้นเกิดสำนึกผิดที่จะขับรถชนเธอ แถมยังพูดจาแบบนั้นอีก ”
“ เขาอาจจะเป็นแค่คนตรงแบบขวานผ่าซากก็ได้ แล้วเรื่องลำดับการเข้าไป เขาก็คงจับฉลากสุ่มรายชื่อไว้ก่อนแล้วล่ะทั้ง ” มินตราตอบอย่างคนมองโลกในแง่ดี
“ จ้าๆ คิดบวกเสียเหลือเกินนะ ” สาวหมวยส่ายหน้าเอือมระอา ก่อนจะแหงนคอมองพีระมิดที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง
...แม้จะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อกับการที่พีระมิดที่ไม่เคยมีใครพบเห็น ปรากฏขึ้นท่ามกลางทะเลทรายสีขาวนวล กับกองหินรูปเห็ดที่เหลือเพียงซากปรักหักพังจากแรงพายุ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องจริงที่จับต้องได้ ทั้งก้อนหินใหญ่ที่เรียงซ้อนกันจนกลายเป็นโบราณสถานแห่งนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนบันไดสำหรับองค์ฟาโรห์ได้เสด็จดำเนินขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ทั้งสมบัติล้ำค่ามากมายอันเป็นของคู่พระบารมี สำหรับทรงใช้ในยามที่ทรงตื่นขึ้นจากการสวรรคต ซึ่งทางการยังไม่ได้นำออกมาจากภายในพีระมิด จึงมีการจัดกำลังตำรวจเฝ้าอยู่ภายนอกอย่างแน่นหนา รวมทั้งพระศพขององค์ฟาโรห์และพระมเหสีซึ่งถูกบรรจุอยู่ภายในหีบพระศพทองคำแกะสลัก ในรูปของมัมมี่มาเป็นเวลาหลายพันปี ทั้งหมดคือสิ่งที่นักโบราณคดีทุกคน ณ ที่นี้กำลังจะได้สัมผัส
“ ทั้งมืดทั้งแคบเลยนะคะเนี่ย ” เกสรีบ่นเป็นภาษาไทยเบาๆ ระหว่างที่เดินลอดอุโมงค์ใต้ดินซึ่งถูกสร้างเป็นทางเดินเข้าไปสู่ด้านในพีระมิด เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดจากการขุดเจาะโดยตรง และเพราะเป็นทางเดินที่แคบมาก เสียงบ่นงึมงำของเธอจึงดังก้อง จนอาจดังลอดเข้าไปถึงภายในพีระมิดตรงที่ซึ่งองค์ฟาโรห์ทรงบรรทมหลับใหลอยู่
“ ด้านในพีระมิดอาจจะแคบกว่านี้อีกนะ ยังไงก็พยายามเดินก้มๆ กันหัวหน่อยก็แล้วกัน ” ป๋าวิบูลย์ในฐานะหัวหน้าคณะหันไปบอกสองสาว ซึ่งยังไม่มีประสบการณ์ด้านโบราณคดีจากสถานที่จริงมาก่อน
“ ยิ่งกว่านี้อีกหรือคะเนี่ย ” สาวหมวยโอดครวญเบาๆ ตรงข้ามกับมินตราที่เดินตามหลังสองผู้อาวุโสไปเงียบๆ และคอยหันไปมองชนะชนซึ่งเดินรั้งท้ายอยู่กับจตุรงค์เป็นระยะๆ
...เป็นการเดินเรียงแถวที่ไม่ได้ลำดับอาวุโสหรือตำแหน่งเหมือนทุกครั้ง แน่นอนว่าเพราะสองหนุ่มคุ้นเคยกับงานจากสถานที่จริงมาก่อนแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคาดคิดว่าคณะนักโบราณคดีชาวอียิปต์จะใช้คบเพลิงในการนำทางแทนไฟฉายเช่นนี้
“ โอ๊ย ! ”
เสียงร้องของเกสรีดังขึ้นตลอดทางเดินแบบเขาวงกตภายในพีระมิด เนื่องจากผนังที่ลาดเอียงซึ่งบังคับให้ผู้ที่อยู่ภายในต้องเดินก้มหัวตลอดเวลา คล้ายเป็นการแสดงความเคารพต่อพระศพของทั้งสองพระองค์โดยปริยาย กระทั่งถึงส่วนที่อยู่ด้านในสุดของพีระมิดอันเป็นห้องเก็บรักษาพระศพ รวมทั้งทรัพย์สมบัติและเครื่องใช้ต่างๆ กับมีจารึกตัวอักษรเฮียโรกลิฟฟิคสลักอยู่บนผนังรอบห้องมากกว่าจารึกใดๆ ที่เคยมีมา จนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ยังยากที่จะค้นหาว่าควรเริ่มต้นอ่านจากตรงไหนก่อน
“ มีอักษรเฮียโรกลิฟฟิคบางตัวที่ทางเราไม่สามารถแปลความหมายได้ ทำให้ไม่อาจแปลความหมายของจารึกได้ทั้งหมด ได้ข่าวว่ามีนักโบราณคดีจากประเทศไทยที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ด้วย เลยอยากขอให้ช่วยตรวจดูสักหน่อย ” เซเรียบอกป๋าวิบูลย์เป็นภาษาอังกฤษ แต่นัยน์ตาคู่สวยกลับชำเลืองมองไปทางชนะชนราวกับรู้ว่านักโบราณคดีคนนั้นคือเขา
“ ได้ยินแล้วใช่ไหมชนะชน ยังไงก็ช่วยตรวจสอบจารึกสุดความสามารถเลยนะ ” ป๋าวิบูลย์หันมาบอกชนะชนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ มินตรา ตรงหน้าหีบพระศพทองคำทั้งสองที่สลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง เป็นรูปร่างใกล้เคียงกับพระศพที่ทรงบรรทมอยู่ภายใน โดยมีหีบทองคำบรรจุทรัพย์สมบัติต่างๆ อันประมาณค่าไม่ได้วางอยู่รายรอบ จนสว่างไสวยิ่งกว่าแสงไฟจากคบเพลิงทั้ง 4 อัน ภายในห้องเสียอีก
“ ครับ แล้วพอจะทราบไหมครับว่าต้องเริ่มอ่านจากตรงไหน ? ” ชนะชนรับคำแล้วหันไปถามเซเรียเป็นภาษาอังกฤษ ดูเหมือนสาเหตุที่คณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยได้รับอภิสิทธิ์ในการเข้ามาภายในพีระมิดก่อน คงจะเป็นเพราะเรื่องนี้ แต่ชนะชนกลับคิดว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น
“ ตรงนั้น ” เซเรียชี้มือไปที่จารึกด้านบนสุดตรงมุมห้อง ก่อนจะหันไปบอกตำรวจอียิปต์คนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ถือคบเพลิงอยู่ “ ช่วยส่องไฟให้เขาเห็นชัดๆ ด้วยนะ ”
“ ขอบคุณครับ ” ชนะชนยิ้มให้ตำรวจอียิปต์วัยใกล้เคียงกันที่เดินถือคบเพลิงมายืนอยู่ข้างๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองจารึกบนผนัง และเริ่มต้นอ่านจารึกนั้น “ นามของข้าคือซาร์ ฟาโรห์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ที่ 4 ผู้ครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์แห่งนี้... ”
เวลาเดียวกัน ที่ด้านนอกพี่ระมิด จู่ๆ ท้องฟ้าที่เคยสดใสก็พลันเปลี่ยนสี เมฆสีดำก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ฟ้าแลบแปลบปลาบ ลมแรงโหมพัดอย่างบ้าคลั่ง หอบเอาเม็ดทรายมากมายขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นพายุทรายขนาดใหญ่เช่นเดียวกับในวันที่พีระมิดแห่งนี้ปรากฏขึ้น และเกิดขึ้นในรัศมี 1 กิโลเมตรรอบที่ตั้งของพีระมิดเท่านั้น ! !
“ นามของข้าคือซาร์ ฟาโรห์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ที่ 4 ผู้ครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์แห่งนี้ กระนั้นข้าก็คือผู้สมควรได้รับการถอดยศออกจากบัลลังก์ บัลลังก์ที่ข้าไม่สมควรขึ้นไปนั่งตั้งแต่แรก... ”
ชนะชนอ่านจารึกด้วยลักษณะท่าทีที่เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จนทุกคนตรงนั้นพากันแปลกใจ ยกเว้นเซเรียที่ยืนกอดอกยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ
