บทที่ 12 พีระมิดขาว
“ หัวหน้าอาจจะอยากไปมากๆ แล้วก็คาดหวังว่าจะต้องได้ไปตั้งแต่ตอนอยู่ที่ไทย การที่เราหวังอะไรไว้แล้วทำไม่ได้ หรือเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่เป็นอย่างที่หวัง มันทำให้ทุกข์ใจมากนะ ภาษาจิตวิทยาเรียกว่า ความคับข้องใจ และเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งนี้ มนุษย์ก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สิ่งที่คาดหวังบรรลุผล กรณีหัวหน้าก็คงเหมือนกัน ” มินตรายกทฤษฎีขึ้นมาอ้าง จนเกสรีถึงกับย่นหน้าให้ความเป็นเจ้าหลักการของเพื่อน
“ พูดอะไร ไม่เห็นเข้าใจ ไปเอามาจากไหนน่ะ พูดจาอย่างกับพวกจิตแพทย์ ”
“ ในหนังสือเรียนวิชาจิตวิทยาไง เรียนมาด้วยกันแท้ๆ ลืมแล้วเหรอ ? ”
สองสาวเดินคุยกันจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังชนะชน พลอยเขาได้รับรู้เรื่องราวของบทสนทนาไปด้วย นั่นเองที่ทำให้รอยยิ้มของชายหนุ่มจางลง เมื่อนึกถึงอดีตชาติของมินตรา
...เธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่ากาลเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปกี่ภพชาติ ทั้งความเอื้ออารี ความเสียสละ ความอ่อนโยน และการเข้าใจในความรู้สึกของคนรอบข้าง ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเช่นมิราคนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเสมือนดาบสองคม ที่ทำให้เธอตกเป็นเหยื่อสังเวยความริษยาของคนเพียงไม่กี่คน
แน่นอน ! ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทิฐิและความโง่เขลาของเขาด้วย ที่ทำให้เขาต้องสูญเสียเธอไปตลอดกาล มันเป็นความผิดของเขาเอง และเขาต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
“ มิรา... ข้าขอโทษ... ได้โปรดเถิด... มิรา... อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว... ลืมตาสิมิรา... เจ้าจักต้องไม่ตาย... ข้าขอโทษ... ขอโทษ... ”
เขายังจำได้ดีถึงตอนที่กอดศพนางร้องไห้อย่างไม่อายข้าราชบริพาร ภาพมิราที่นอนหลับตาแน่นิ่ง คราบน้ำตายังปรากฏที่แก้มทั้งสองข้าง เช่นเดียวกับคราบเลือดแห้งกรังบริเวณริมฝีปากสีเขียวคล้ำ ต่อให้เขาร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด นางก็ไม่มีวันฟื้นคืนมา ด้วยเพราะกว่าที่เขาจะรู้เรื่องจากแม่นมผู้ที่เขาฝากฝังให้ช่วยดูแลมิรา และกว่าที่เขาจะไปถึงตัวนางอันเป็นที่รัก ก็สายเกินกว่าจะแก้ไขใดๆ ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าอันไร้เลือดฝาด ร่างกายอันเย็นเฉียบ หรือแม้แต่เล็บมือที่เริ่มเขียวจากพิษที่แทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทั้งหมดล้วนบอกได้เป็นอย่างดีว่า เขาไม่มีวันจะได้นางคืนมาอีกแล้ว
“ เอ้า ! รถมาแล้วนะจ๊ะ นั่งเกาะกลุ่มกันไว้เหมือนเดิมล่ะ มีอะไรจะได้คุยกันสะดวกๆ ”
เสียงพูดของเจ๊แหม่มปลุกชนะชนให้ตื่นจากภวังค์ กลับสู่ปัจจุบันที่ซึ่งมิราได้กลับชาติมาเกิดเป็นมินตรา และยังคงยืนอยู่ใกล้ๆ เขาตรงนี้
“ หัวหน้าอย่าฝืนตัวเองนะคะ ” มินตราอดย้ำกับชนะชนด้วยความเป็นห่วงเขาไม่ได้
“ ผมไม่เป็นไรจริงๆ อย่าคิดมากเลย ” ชนะชนยิ้มให้มินตราด้วยความรู้สึกขอบคุณ เขาดีใจที่เธอเป็นห่วงเขา ถึงแม้มันจะเป็นความห่วงใยที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกผิดก็ตามที
“ ถ้าอาการแย่ลง บอกดิฉันนะคะ ดิฉันจะอยู่บนรถเป็นเพื่อนหัวหน้าเอง ”
“ ครับ ถ้ารู้สึกไม่ค่อยดีแล้วผมจะบอกนะ ขอบคุณมากครับ ”
แม้ชนะชนจะรับปากและยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร แต่มินตราก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ เธอยังคงปักใจเชื่อว่าอาการไข้ของเขามาจากพิษของบาดแผลที่เขาได้รับเมื่อวันก่อน และสาเหตุของมันก็มาจากความไม่ระมัดระวังของเธอ เธอต้องรับผิดชอบดูแลอาการบาดเจ็บและอาการไข้ของเขา จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติ มินตราบอกตัวเอง ครุ่นคิดวนเวียนอยู่เพียงเรื่องเรื่องเดียว จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยแววตาริษยา ตรงข้ามกับชนะชนที่สัมผัสได้ถึงแรงแค้นที่แผ่ซ่านออกมา
“ เซรี ! ! ” เขาหันขวับไปมองเจ้าของสายตามุ่งร้าย และชะงักไปทันทีที่เห็นว่าเธอเป็นใคร ขณะที่เซรีเองก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเช่นกัน
“ อ้าว ! คุณเจ้าของร้านก็ไปด้วยกันหรือคะ ? ” เจ๊แหม่มยิ้มแย้มทักทายเซรี หลังจากที่ก้าวขึ้นมาบนรถบัส แล้วพบเธอนั่งอยู่ที่เบาะด้านหน้าสุด
“ ค่ะ เซเรียน้องสาวดิฉันขอร้องให้มาช่วยดูแลเรื่องอาหารน่ะค่ะ เห็นว่าเที่ยงนี้จะมีการย่างบาร์บีคิวทานกัน ” เซรียิ้มแย้มตอบเป็นภาษาไทย แต่ยังมิวายเหลือบตามองมินตราที่เดินตามหลังชนะชนขึ้นมาบนรถ ด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจนัก
“ เซเรียอีกแล้วเหรอ... ” ชนะชนพึมพำหน้าเครียด เขาไม่รู้ว่าเธอต้องการจะทำอะไรอีกนอกเหนือจากการปั่นหัวเขาเล่น แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องแบบไหน เขาก็พร้อมจะรับมืออยู่แล้ว ต่อให้สภาพร่างกายเป็นเช่นไรก็ตาม
...ถึงยังไงเขาก็ต้องปกป้องมิราให้ได้ แม้ว่าหลายภพหลายชาติที่ผ่านไปอาจจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยน เธออาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเขาอีกต่อไป สุดท้ายแล้วเขาอาจจะต้องฝืนทนมองดูเธอเดินหันหลังจากไปพร้อมกับผู้ชายคนอื่น แต่เขาก็จะขอใช้ชีวิตทั้งหมดที่มีเพื่อเธอ นับจากนี้จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องไร้ซึ่งลมหายใจอีกครั้ง
รถบัสนำคณะนักโบราณคดีจากต่างประเทศ เดินทางจากกรุงไคโรไปยังเมืองกิซาห์ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกันมากนัก และเพราะมีการตัดถนนถึงบริเวณพีระมิดชื่อดังทั้งสาม คนทั้งหมดจึงไม่ต้องเปลี่ยนรถเหมือนเช่นการเดินทางไปยังพีระมิดของฟาโรห์ซาร์ในทะเลทรายขาว
“ ไหวแน่นะชนม์ ? ” จตุรงค์หันมาถามย้ำกับเพื่อน ระหว่างที่เดินตามหลังสองผู้อาวุโสของคณะ เพื่อทยอยลงจากรถบัส
“ ไหวสิ ฉันจะหลอกนายทำไมกันเล่า ” ชนะชนยิ้มขำเพื่อน ถึงอย่างนั้นก็เป็นรอยยิ้มที่แฝงคำขอบคุณไว้
“ สงสัยหัวหน้าคงดีใจจนหายไข้แน่ๆ เลย มินว่าไหม ? ” เกสรีมองท่าทางปิติของชนะชน แล้วหันไปกระซิบกระซาบกับมินตราอีก
“ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ ” มินตราลอบมองชนะชนด้วยความเป็นห่วง เพราะเท่าที่เห็นอาการไข้ของเขานั้นดูจะหนักมาก ซ้ำยังมีอาการเพ้อเป็นระยะๆ ระหว่างที่เขายังไม่ได้สติ
...ขอโทษ อย่าไป... กลับมาเถิด... ได้โปรด... แม้ชีวิต... ก็ยอมแลก... ได้โปรด... กลับมา...
เธอยังจำได้ดีถึงคำพูดที่เขาละเมออกมา แม้จะขาดๆ หายๆ ไม่ปะติดปะต่อไปบ้าง แต่ก็พอจับความรู้สึกเจ็บปวดจากน้ำเสียงนั้นได้ มันคงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขา อย่างยากที่จะลืมเลือนเป็นแน่ มินตราเดินครุ่นคิดเรื่องของชนะชน จนไมได้สังเกตว่ากลุ่มคนข้างหน้าหยุดเดินแล้ว
“ อุ๊ย ! ”
ร่างบางเซไปนิดหนึ่งเมื่อชนเข้ากับแผ่นหลังของชนะชน โชคดีที่เขาหันมาคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน ก่อนที่หญิงสาวจะเสียหลักล้ม แต่นั่นเองที่ทำให้เธอเซเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา จนบรรดานักโบราณคดีที่เห็นเหตุการณ์พากันชะงักไป
“ เอ่อ... ขอโทษค่ะหัวหน้า ” มินตรารีบดันตัวเองออกจากอกของเขา แล้วยกมือไหว้พลางก้มหน้างุด
“ ไม่เป็นไร มันเป็นอุบัติเหตุ อย่าคิดมาก ” ชนะชนยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู ยิ่งทำให้มินตราหน้าแดงด้วยความอาย ตรงข้ามกับใครอีกคนที่นึกริษยาจนเก็บอาการไม่อยู่
“ ทางเดินแถวนี้ไม่ค่อยเรียบ ต้องระวังนะคะ ” เซรีเข้ามาจับแขนมินตราคล้ายเป็นห่วงเป็นใย แต่กลับจงใจจิกเล็บยาวๆ ของตนลงไปบนเนื้อของอีกฝ่าย
“ ขอบคุณนะคะ ฉัน... ไม่เป็นไรค่ะ ” มินตราฝืนยิ้มให้เซรี พร้อมกับพยายามขยับตัวออกห่าง แต่นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยแขนเธอแล้ว ยังกดน้ำหนักเล็บลงไปอีกจนหญิงสาวเบ้หน้าด้วยความเจ็บ
...แน่นอนว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาชนะชนที่คอยจับผิดอยู่ก่อนแล้ว !
“ ผมว่าคุณกับเกสรีไปเดินข้างหน้าผมดีกว่านะ ผมกับจตุรงค์จะคอยระวังให้เอง ” ชนะชนดึงมือมินตรารั้งเข้าหาตัว ขณะที่จ้องมองเซรีนัยน์ตาดุ จนอีกฝ่ายจำต้องยอมปล่อยแขนมินตราอย่างเสียไม่ได้
...แน่นอนว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาเซรีที่ยืนมองอยู่แล้วเช่นกัน !
“ ขอให้ปฏิบัติเช่นเดิมในการเยี่ยมชมพีระมิด คือ เข้าไปครั้งละคณะ และจะมีคณะนักโบราณคดีชาวอียิปต์คอยอำนวยความสะดวกให้อยู่ภายในพีระมิดทั้งสาม โดยให้เข้าไปตามคิวที่ทางเราได้จัดไว้แล้วดังนี้... ” เซเรียอ่านลำดับรายชื่อประเทศ และแกล้งสลับชื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่ในลำดับสุดท้าย สร้างความประหลาดใจให้กับนักโบราณคดีจากประเทศอื่นเป็นอย่างมาก
“ อะไรกัน ! ทีจะใช้งานล่ะให้พวกเราเข้าไปคณะแรก พอหมดเรื่องใช้ล่ะเตะโด่งไปท้ายแถว ” เกสรีโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง โดยลืมไปเสียสนิทว่าเซรีซึ่งฟังภาษาไทยรู้เรื่องยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
“ ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะไปเคลียร์กับน้องสาวให้นะคะ ” เซรีพูดขึ้นหวังเอาใจชนะชน และทำท่าจะเดินออกไป ถ้าไม่ติดที่เสียงร้องห้ามของหัวหน้าคณะนักโบราณคดีไทยอย่างป๋าวิบูลย์
“ ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณมาก เข้าไปตอนไหนก็เหมือนกันนั่นแหละครับ ไม่เป็นไร ”
“ ใช่ค่ะ เด็กเราต่างหากที่ขี้โวยวายไปหน่อย ” เจ๊แหม่มชำเลืองมองเกสรีเป็นเชิงปรามให้เงียบ ทำเอาสาวหมวยยืนจ๋อย ขณะที่ชนะชนได้แต่แอบยืนหน้าเครียดอยู่คนเดียว เพราะรู้ว่าเซเรียจงใจที่จะกลั่นแกล้งเขา
...เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเขามาที่นี่ เพื่อจะขอขมาฟาโรห์ทั้งสามพระองค์ และเพราะเหตุนั้นเธอจึงพยายามทำทุกวิถีทางให้เขาต้องทุกข์ทรมานกับการรอคอยที่จะได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ ต่อให้ต้องมีคนเดือดร้อนหรือเสียความรู้สึกกับการกระทำของเธอมากแค่ไหน นั่นไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องแคร์ ขอเพียงแค่ได้ทำในสิ่งที่เธอต้องการเท่านั้นเป็นพอ เซเรียเป็นคนแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไร ชนะชนรู้ดีและได้แต่นึกเจ็บแค้นอยู่ในใจ
“ ไปนั่งรออยู่ในรถก่อนดีไหม แดดมันแรงมากนะชนม์ ” จตุรงค์บอกเพื่อนด้วยความเป็นห่วง เช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นๆ ในคณะที่หันมามองเขาด้วยสายตาเป็นกังวลระคนห่วงใย
“ ไม่เป็นไร ฉันไหว ” ชนะชนปฏิเสธ ทั้งที่อาการไข้ของเขาดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
...เม็ดเหงื่อมากมายผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เช่นเดียวกับแผ่นหลังที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตรงข้ามกับความรู้สึกหนาวยะเยือกของเจ้าของร่างกายที่ทำให้ชายหนุ่มต้องยืนห่อไหล่ แม้ว่าจะสวมเสื้อถึงสามชั้นแล้วก็ตาม ถึงอย่างนั้นชนะชนก็ยังอดทน
ชายหนุ่มยืนมองพีระมิดทั้งสามตรงหน้า ซึ่งตั้งตระหง่านมาตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นองค์ฟาโรห์แห่งลุ่มน้ำไนล์ ก้อนหินแต่ละก้อนที่เรียงต่อกันขึ้นเป็นพีระมิด มาจากน้ำพักน้ำแรงของบรรดาชาวบ้านผู้ศรัทธาในพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงเป็นทั้งพ่อหลวง และเหนือหัวผู้ปกครองทุกสิ่ง ทรงเป็นทุกอย่างของพวกเขา แม้ชีวิตพวกเขาก็ยอมแลก เพื่อก่อสร้างโบราณสถานที่ซึ่งจะนำดวงพระวิญญาณขององค์ฟาโรห์เสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์ รวมทั้งเป็นบันไดให้ทรงเสด็จกลับลงมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินของพวกเขาอีกครั้ง ในวันหนึ่งวันใดข้างหน้า
“ เชิญคณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยค่ะ... ”
