บทที่ 11 ฝืน
...หากไม่นับพระราชบิดา – พระมารดาผู้ล่วงลับ และบรรดาพระราชวงศ์ด้วยกันแล้ว พระองค์ก็มีเพียงติติเท่านั้นที่ให้ความสำคัญและมองเห็นความมีตัวตนของพระองค์ เป็นทั้งเพื่อนกิตติมศักดิ์ผู้เกิดวัน – เดือน – ปีเดียวกัน และเป็นทั้งเพื่อนแท้คนเดียวของพระองค์ เช่นนี้ตั้งแต่พระองค์ทรงจำความได้
“ ขอเดชะแลขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยกระหม่อมได้ทำให้ฝ่าบาทแลข้าราชบริพารต้องรอคอย ” เจ้าชายซาร์ดำเนินเข้ามาภายในโถงกลาง อันเป็นท้องพระโรงของพระราชวัง และคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับก้มหัวถวายความเคารพ แด่องค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟซึ่งทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ทองคำเบื้องหน้า
“ ลุกขึ้นเถิดท่านพี่ หาควรต้องทำเยี่ยงนี้ไม่ ” เด็กชายวัย 12 ผู้ครองบัลลังก์ฟาโรห์ลุกขึ้นจากที่ประทับ แล้วเสด็จลงจากบัลลังก์อาสน์ พลอยให้พระราชวงศ์พระองค์อื่น และบรรดาขุนนางข้าราชบริพารในที่นั้นต้องลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง
“ ฝ่าบาททรงมีสิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้ ขอเพียงมีพระบรมราชโองการ กระหม่อมยินดีจักรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ”
“ ท่านพี่... ข้าเพียงมีสิ่งหนึ่งอยากขอร้องท่าน ณ ที่แห่งนี้เราคือเครือญาติกัน แลข้าคือผู้อ่อนวัยกว่า การที่ท่านจักต้องเคารพแลก้มหัวให้ข้านั้น หาใช่เรื่องอันควรกระทำไม่ ทุกคนในที่นี้ก็คงคิดเช่นเดียวกับข้า ”
พระราชดำรัสขององค์ฟาโรห์ทำให้ทุกคนในที่นั้นพากันชะงัก ยกเว้นเจ้าชายซาร์ซึ่งยังคงคุกเข่าก้มหัวให้กับพระองค์ กระทั่งรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างครอบลงบนพระเศียร
“ ฝ่าบาท ! ! ”
ไม่เพียงแต่เจ้าชายซาร์เท่านั้นที่ทรงตกพระทัย ทั้งพระราชวงศ์พระองค์อื่นๆ รวมทั้งขุนนาง ข้าราชบริพารทุกคนในที่นั้นก็ต่างพากันตกตะลึง เมื่อเห็นว่าองค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟได้ทรงถอดพระมหาพิชัยมงกุฎของพระองค์ออกมาสวมให้เจ้าชายซาร์แทน
“ ข้ายังเด็กนัก หาควรไม่ที่จักเป็นผู้อยู่เหนือบัลลังก็ที่พวกท่านจักต้องก้มหัวให้ แลข้าเห็นควรว่าท่านพี่คือผู้ที่เหมาะสมแก่ราชบัลลังก์ มีทั้งวัยอันควร ลักษณะอันควร ชาติกำเนิดอันควร มีธรรมประจำใจอันควรแก่การเป็นผู้ปกครอง แลมีคู่พระบารมีถือกำเนิดมาเป็นพระขนิษฐภคินีเฉกเช่นเดียวกับข้า... ” องค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟทรงมีพระราชดำรัสกับพระเชษฐาต่างพระมารดา หากแต่พระสุรเสียงก้องกังวานไปทั่งท้องพระโรง คล้ายมีพระราชประสงค์ให้ได้ยินกันทั่วถึง
...แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมีผู้คัดค้าน โดยเฉพาะบรรดาขุนนางซึ่งไม่ชอบใจในตัวเจ้าชายซาร์เป็นทุนเดิม
“ ฝ่าบาท... พระองค์ควรจักทรงมีพระราชดำริไตร่ตรองให้ถ่องแท้ ก่อนจักทรงมีพระราชดำรัสอันใดนะพ่ะย่ะค่ะ ”
“ ใช่แล้วฝ่าบาท เป็นกษัตริย์ตรัสแล้วหาควรคืนคำไม่นะพ่ะย่ะค่ะ ทรงควรดำริดูให้ดีก่อน ”
“ องค์ฟาโรห์เมนเคอเรก็ทรงมีพระราชประสงค์จักให้พระองค์ครองราชบัลลังก์ แล้วเหตุใดพระองค์จึงกลับยกบัลลังก์ให้ผู้อื่นเสีย ”
สามขุนนางอาวุโสแห่งวังหลวงกราบทูลทัดทาน อย่างไร้ซึ่งความยำเกรงเจ้าชายซาร์ สร้างความไม่พอใจให้แก่พระราชวงศ์ฝ่ายพระมารดาของพระองค์เป็นอย่างมาก แต่ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร...
“ ในเมื่อท่านทั้งสามเห็นควรให้ข้าเป็นฟาโรห์ของพวกท่าน พวกท่านก็ควรเคารพในการตัดสินใจของข้า แลควรให้ความเคารพองค์ฟาโรห์ที่ข้าได้แต่งตั้งด้วย ” องค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟทรงหันพระพักตร์ไปจ้องหน้าสามขุนนาง จนทั้งหมดจำต้องเงียบไป เพราะถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็ก แต่ก็ทรงมีพระพักตร์และท่วงท่าอันงามสง่า น่าเกรงขามดุจพญาราชสีห์ “ นับจากเพลานี้ องค์ฟาโรห์ซาร์จักครองบัลลังก์ลุ่มน้ำไนล์แห่งนี้ หากผู้ใดคิดต่อต้าน พระองค์มีสิทธิ์จักตัดสินชีวิตมันผู้นั้น แลแม้พระองค์จักคืนหรือหาได้คืนราชบัลลังก์แก่ข้าในยามที่ข้าเติบใหญ่ไม่ นั่นก็เป็นสิทธิ์ของพระองค์ ”
ประกาศิตขององค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟ กับการที่พระองค์ทรงประคอง ‘ ท่านพี่ ‘ ของพระองค์ให้ลุกขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายคุกเข่าลงถวายความเคารพแทน ทำให้ทั่วทั้งท้องพระโรงถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ และแม้ทุกคนจะรีบถวายความเคารพแด่ฟาโรห์พระองค์ใหม่แห่งลุ่มน้ำไนล์ตามอย่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้นยินดี และยอมรับในการแต่งตั้งครั้งนี้กันถ้วนหน้า แม้แต่ฟาโรห์พระองค์ใหม่เองก็ตามที
...มันเป็นเรื่องกะทันหันเกินไปสำหรับพระองค์ และพระองค์ก็ไม่เคยต้องการครองราชบัลลังก์นี้ โดยเฉพาะกับการที่ต้องแลกกับชีวิตซึ่งไร้อิสระในการที่จะเลือกรักใครสักคนที่ไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมา จริงอยู่ที่พระองค์พึ่งจะรู้จักความรักเมื่อครั้งที่ได้พบนางอันเป็นดวงใจผู้นั้น หากแต่พระองค์ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องเลือกน้องสาวของตัวเองเป็นคู่บารมี ตามจารีตที่ยึดถือกันมาแต่ครั้งบรรพกาลว่า พระมเหสีผู้ทรงเป็นเนื้อคู่ขององค์ฟาโรห์ผู้ครองบัลลังก์นั้น จักมาประสูติเป็นพระเชษฐภคินีหรือพระขนิษฐภคินีของพระองค์เท่านั้น
“ เรียบร้อยแล้วค่ะหัวหน้า ”
เสียงพูดของมินตราปลุกชนะชนให้ตื่นจากภวังค์แห่งอดีตชาติ กลับสู่ปัจจุบันภายในบ้านพักเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงไคโร ประเทศอียิปต์
“ ขอบคุณมากนะ ” เขายิ้มให้มินตรา และแน่นอนว่าเป็นรอยยิ้มที่หมองเศร้ายิ่งกว่าครั้งใดๆ จนมินตราอดที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“ หัวหน้าไม่สบายหรือเปล่าคะ สีหน้าไม่ดีเลย ? ”
“ นั่นสิ เห็นทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้เองทั้งใบมาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว ” จตุรงค์นิ่วหน้ามองเพื่อนด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
“ ไม่มีอะไรหรอก ผม... สบายดี ” ชนะชนฝืนยิ้มให้คนทั้งคู่ นึกรู้ว่านี่คืออีกหนึ่งบทลงโทษจากเบื้องบน
...อาจจะเป็นการดีที่เขาได้คำตอบของปริศนาในความฝันทั้งหมดแล้ว แต่การที่ต้องทนอยู่กับความทรงจำทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติเช่นนี้ มันคือสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาต้องทุกข์ทรมานมากกว่า
แม้จะยินดีที่ได้พบกับนางผู้เป็นดวงใจอีกครั้ง แม้อาจจะมีโอกาสได้แก้ตัวในเรื่องราวที่เคยทำผิดพลาดไปอีกครั้ง แต่มันก็เป็นแค่การรับรู้ของเขาเพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่เธอไม่ได้รับรู้อะไรด้วยเลย ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความห่วงใย ความผูกพัน หรือการสำนึกในความผิดของเขา ในเมื่อมีเพียงเขาเท่านั้นที่ระลึกชาติได้
เปล่าเลย ! เขาไม่ได้ต้องการให้มินตราระลึกชาติได้เช่นเขา ตรงข้าม... เธอไม่ควรจะรับรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังถูกจ้องเล่นงานจากแรงอาฆาตเก่า และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์หวนกลับมาซ้ำรอยเดิม ไม่มีทาง... ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นเป็นครั้งที่ 2 ชนะชนบอกตัวเองด้วยใจตั้งมั่น
“ ชนม์ๆ... ชนม์ เป็นอะไรหรือเปล่าชนม์ ! ?... ชนม์ ฟื้นสิชนม์ ! ”
เสียงร้องเรียกของจตุรงค์ปลุกให้ชนะชนค่อยๆ ลืมตาตื่น จากพร่าเลือนจนกระทั่งเห็นใบหน้าซีดๆ ของใครต่อใครที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา ก่อนจะต้องหรี่ตาลงอีกครั้ง เพราะแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
“ นี่... เช้าแล้วหรือครับ ? ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม พร้อมกับยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นอนปิกนิก แต่ก็กลับต้องล้มตัวลงไปอีก จากอาการหน้ามืดและพิษไข้ที่เล่นงานเขามาตั้งแต่เมื่อคืน
“ อย่าพึ่งรีบลุกสิชนะชน เราน่ะตัวร้อนมากเลยนะ ท่าทางจะเป็นไข้เข้าแล้วล่ะเนี่ย ” ป๋าวิบูลย์ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาตรงนั้นด้วยบอกชายหนุ่ม
“ ใช่ ! วันนี้นอนพักเถอะนะจ๊ะ ไม่ต้องออกไปกับพวกเราหรอกนะ ” เจ๊แหม่มพูดเสริม สีหน้าเป็นกังวลกับอาการป่วยของเจ้าหน้าที่ในความดูแล เพราะหากเกิดขึ้นในยามที่อยู่ประเทศอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่...
“ ไม่ครับ ! ผมจะไป... ที่พีระมิดเมืองกิซาห์... พร้อมกับ... ทุกคน ” ชนะชนยืนยัน พร้อมกับกัดฟันลุกขึ้นนั่งโดยมีจตุรงค์และมินตราช่วยประคอง
“ ไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยน่าชนม์ เดี๋ยวก็ยิ่งแย่หนักกว่าเดิมหรอก ” จตุรงค์นิ่วหน้าเครียดกับความดื้อรั้นของเพื่อนสนิท
“ ฉันไหว ! ถึงยังไง... ฉันก็ต้องไป ”
“ แต่หัวหน้าคะ ถ้าเกิดไปแล้วอาการของหัวหน้า... แย่ลง... ” มินตราช่วยพูด พยายามเกลี้ยกล่อมให้ชนะชนเปลี่ยนใจ แต่ความคิดในสมองที่ว่าอาการไข้ของเขา เกิดจากพิษของบาดแผลที่เขาได้รับจากการช่วยชีวิตเธอ ก็ทำให้ต่อมน้ำตาของหญิงสาวทำงานจนไม่สามารถพูดอะไรต่อไปได้
“ นิ่งซะมินตรา อย่าโทษตัวเอง พักหลังผมพักผ่อนน้อยเอง ก็เลยเจ็บป่วยง่าย เพราะร่างกายทรุดโทรมก็แค่นั้น ” ชนะชนแตะไหล่มินตราเป็นเชิงปลอบ ทั้งที่ใจจริงอยากจะดึงตัวเธอมากอดไว้แนบอก
“ เอาล่ะๆ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็นอนพักในรถนะชนะชน ส่วนอาหารเช้าก็ให้เขาใส่กล่องไปกินบนรถก็แล้วกัน ” ป๋าวิบูลย์สรุป ถึงอย่างนั้นก็ยังอดแสดงความเป็นห่วงออกมาทางสีหน้าและแววตาไม่ได้
“ ครับ ผมจะไม่ให้เป็นภาระทุกคนเด็ดขาดครับ ” ชนะชนรับคำ แล้วลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการไปเยี่ยมชมพีระมิดชื่อดังทั้งสามแห่งเมืองกิซาห์ในวันนี้ โดยที่ชายหนุ่มพยายามอดทนเดินด้วยท่าทางปกติตลอดเวลา ไม่ให้มินตราและทุกคนในคณะต้องเป็นห่วง
...ไม่มีใครรู้ว่าทำไมชายหนุ่มต้องฝืนร่างกายตัวเองแบบนี้ นอกจากชนะชนที่สำนึกได้ว่าตนควรจะต้องไปขอขมาบรรพบุรุษ ทั้งองค์ฟาโรห์คูฟู องค์ฟาโรห์เคเฟร และองค์ฟาโรห์เมนเคอเร ผู้เป็นเจ้าของพีระมิดทั้งสาม ถึงแม้ว่าทั้งสามพระองค์อาจไม่ยอมรับการขอขมานั้น และแม้จะทำให้ร่างกายของเขาย่ำแย่ไปกว่านี้ก็ตามที แต่นั่นก็คือสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ สำหรับสภาพของสามัญชนธรรมดาคนหนึ่ง
“ ไหวแน่นะชนม์ ? ” จตุรงค์ถามย้ำกับเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ระหว่างที่ทุกคนในคณะเดินออกจากบ้านพักเอกอัครราชทูต เพื่อมาขึ้นรถบัสคันเดิมที่มาจอดรับ
“ ไหวสิ ! ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ” ชนะชนยิ้มตอบเพื่อน แม้สีหน้าจะยังอิดโรยจากพิษไข้ แต่ก็ดูจะเป็นรอยยิ้มที่สดใสว่าเมื่อวานมาก จนใครคนหนึ่งเกิดความสงสัย
“ ท่าทางหัวหน้าชนะชนจะอยากไปเห็นพีระมิดที่เมืองกิซาห์มากนะ มินว่าไหม ขนาดเป็นไข้ก็ยังรั้นจะไปให้ได้ แถมยังทำหน้าดีใจอย่างกับจะได้ไปงานรวมญาติอย่างนั้นแหละ ” เกสรีหันไปซุบซิบกับเพื่อนสาวคนสนิท
“ ก็รองหัวหน้าจตุรงค์บอกว่า หัวหน้าชอบประเทศอียิปต์มากไม่ใช่เหรอ คงจะชอบทุกอย่างที่เป็นอียิปต์ล่ะมั้ง เลยดีใจมากที่ได้ไป ” มินตราตอบพลางชำเลืองมองชนะชน ด้วยความเป็นห่วงอาการไข้ของเขา
“ ไหนว่าเคยมาแล้วไงล่ะ ก็แสดงว่าต้องเคยไปเห็นมาแล้วสิ ตามหลักแล้วคนเราต้องรักตัวเองมากที่สุดสิ ทำไมยังรั้นจะไป ทั้งที่รู้ว่ามันอาจจะทำให้ตัวเองแย่หนักกว่าเก่า ถ้าไม่เคยไปก็ยังว่าไปอย่าง ” สาวหมวยแย้ง
