บทที่ 9. กับความรักที่อยู่ในใจและความลับที่อยู่ข้างใน...
อัครวัฒน์ยังคงอยู่ที่ไร่ของพี่ชายต่ออีกสองวันแม้ใจเขาจะไม่อยากอยู่นักเพราะความเป็นส่วนตัวของเขาดูจะถูกพรากไปเมื่อยอดรักได้ขอร้องให้เขาอยู่ต่อเพราะต้องการให้มนตราเป็นนางแบบจำเป็นให้ในงานเดินแฟชั่นโชว์อันยิ่งใหญ่อลังการของดีแลนด์ซิลล์ ซึ่งเป็นโรงทอผ้าไหมที่ครบถ้วนกระบวนการผลิตสินค้าทำมือทุกชนิดจากผ้าไหมแท้ที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ และงานแฟชั่นโชว์ก็จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้
ด้วยเหตุนี้เองอัคนีกับบารนีจึงต้องมาที่ไร่อัคราเพราะบารนีนั้นเป็นหัวเรือใหญ่ในการออกแบบชุดในการจัดแฟชั่นโชว์ครั้งนี้ร่วมกับยอดรักซึ่งเป็นอดีตนางแบบแถวหน้าของเมืองไทย และยอดรักเองก็เป็นรองประธานดีแลนด์ซิลล์อีกด้วยและอัคราซึ่งเป็นประธานใหญ่เต็มตัวก็ออกจะเกรงอกเกรงใจรองประธานมาก ไม่ว่ารองประธานยอดรักจะหยิบจะจับงานอะไรอัครจะต้องให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี และทุกงานที่เธอคิดสร้างสรรค์นั้นก็ล้วนแล้วแต่ทำกำไรกับองค์กรและเป็นไปในทางที่ดีงามทั้งสิ้นดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ดีแลนด์ซิลล์จะรุดหน้าไปไกลระดับอินเตอร์
“เป็นอะไรวะน้องชายนั่งหน้าบูดเป็นตูดม้าเชียว...” อัคราเอ่ยถามน้องชายในเช้าวันสำคัญที่ทุกคนต่างวุ่นวายกับงานที่จะมีขึ้นในค่ำของวันนี้ที่สนามหญ้าหน้าเรือนเด่นที่ถูกดัดแปลงเป็นเวทีแฟชั่นโชว์อันยิ่งใหญ่อลังการ และตอนนี้ทุกๆ คนต่างวุ่นวายกับการแต่งตัวให้กับเหล่านายแบบนางแบบที่มารวมตัวกันตั้งแต่เช้า บางคนก็เดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานเพื่อมาเตรียมตัวและดูสถานที่ซึ่งทุกคนต่างก็ได้รับความสะดวกสบายในด้านอาคารสถานที่กันอย่างดีเยี่ยมไม่ให้เสียเชื่อเจ้าบ้านเจ้าเรือนที่เป็นถึงมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้แม้จะเก็บซ่อนตัวอยู่ในไร่ในป่าเขา...
“ก็ไม่มีอะไร แค่เซ็งๆ” จะไม่ให้เซ็งได้อย่างไรไหว สองวันมานี้เขาแทบไม่ได้เห็นหน้ามนตราเลยเพราะเธอถูกยอดรักกับบารนีฉกตัวไปเป็นนางแบบและสองสาวนั่นก็เป็นเสมือนเงาตามตัวมนตราเพราะต้องสอนท่วงท่าการเดินแบบให้มนตราและลองเสื้อผ้ากันสนุกสนานประสาสาวๆ ผิดกับเขาที่เกิดความเบื่อหน่ายจนถึงขั้นเกิดอาการเซ็งๆ อย่างที่เป็นอยู่ เขาอยากจูบอยากกอดอยากทำอะไรๆ ต่อมิอะไรกับเธอแต่ก็ไม่มีโอกาสเสียเลยตลอดสองวันมานี้มันช่างเป็นสองวันที่แสนทรมานเสียจริงๆ และเป็นครั้งแรกที่เขานึกอยากจะให้พี่ชายพี่สะใภ้ของตนหายออกไปจากชีวิตของเขาชั่วขณะ...
“เฮ้ย หน้าตาแบบนี้คำพูดแบบนี้ใครเคยพูดมาก่อนนะ พี่เด่นรึเปล่า...”
“นายอย่ามาโยนให้ฉันไอ้เดียว นายนั่นล่ะเคยพูดตอนที่ง้อเมียไม่สำเร็จเสียที แล้วก็มานั่งทำหน้าบูดเป็นตูดม้าถอนหายใจเฮือกๆ เหมือนคนเบื่อโลกอย่างที่ไอ้โดมมันเป็นอยู่ตอนนี้ไง และฉันกับยอดรักก็รักกันดีไม่มีโกรธเคืองกันเว้ย...”
อัครารีบออกตัวทั้งหมั่นไส้น้องชายคนรองที่ไม่ยอมรับความจริงว่าตนเองนั่นล่ะเคยมีอาการเช่นนี้ตอนตามง้อเมีย
“แหม เรื่องแย่ๆ ของน้องนี่จำได้ดีจริงนะ” อัคนีหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างจำนน พลางหลอกล่อให้ลูกสาวและหลานสาวตัวน้อยรับประทานอาหารเช้าและไม่ให้แม่หนูน้อยทั้งสองไปยุ่งวุ่นวายกับบรรดาคุณแม่ที่กำลังแต่งตัวจัดเตรียมเสื้อผ้าให้กับนางแบบนายแบบอยู่ที่เรือนรับรองซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่แต่งกายให้กับหนุ่มหล่อสาวสวยในค่ำคืนนี้...
“แล้วเรื่องไอ้เลวนั่นนายจะเอาไง” อัคราหันมาถามน้องชายอย่างเป็นการเป็นงาน
“ผมยังไม่รู้ครับพี่เด่น”
“พี่ว่านายควรจะจัดการให้มันจบ แค่คนคนเดียว... น้องมนน่าสงสารและไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ลุงมิ่งเองก็เหมือนกัน” อัคนีเสริมตามความคิดเห็นของตนซึ่งได้คุยกับอัครมาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะพูดกับน้องชายแบบเปิดอก
“แต่ผม...”
“โดม... น้องมนเป็นคนดีและน่ารักนะ เธอควรจะมีโอกาสเจอผู้ชายดีๆ ที่รักเธอและพร้อมจะดูแลเธอ หากนายไม่ได้คิดรักหรือพร้อมจะดูแลเธอควรจบเรื่องนี้เสียที... ไม่อย่างนั้นจะมีหลายคนที่ต้องมาเสียใจกับเรื่องนี้อีกและพี่คิดว่าหากวิญญาณหนูเล็กรู้ว่าโดมทำแบบนี้เธอก็คงไม่สบายใจและไม่เป็นสุขแน่นอน...”
คำพูดของอัคราทำให้อัครวัฒน์มองหน้าพี่ชายคนโตนิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่พี่ชายพูดนั้นมันเหมือนกับความฝันของเขาเสียจริงๆ ชลิตาในความฝันของเขานั้นช่างดูเศร้าสร้อยแม้จะอยู่ในชุดงดงามสดใสและเธอมักพูดกับเขาคล้ายๆ กับที่อัคราพูด...
“ครับ แล้วผมจะคิดดูอีกที”
“หรือว่าโดมหลงรักเธอจึงคิดจะเก็บเธอไว้ล่ะ” อัคนีกล่าวยิ้มๆ ให้น้องชาย
“โธ่... พี่เดียว ผมน่ะหรือจะรักเธอ... หึ เป็นไปไม่ได้หรอก มนตราก็เป็นแค่ลูกสาวพ่อบ้านธรรมดา หากผมจะชอบเธอก็เพียงแค่ให้เธอเป็นผู้หญิงชั่วคราวหรือนางบำเรอเท่านั้นล่ะพี่ พอเบื่อเมื่อไหร่ก็ค่อยเขี่ยทิ้งยังได้ อย่างผมน่ะหาผู้หญิงที่สวยกว่าดีกว่ามนตราได้เป็นร้อย...”
อัครวัฒน์แค่นยิ้มเยาะหยันดูมั่นใจใจตัวเองเหลือเกิน พี่ชายทั้งสองมองหน้ากันแล้วก็ยักไหล่ไม่พูดอะไร แต่ในใจคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนย่อมรู้ดีว่าน้องชายตัวดีนั้นจะต้องติดกับดักของตัวเองในสักวัน...
งานเดินแฟชั่นโชว์สุดอลังการซึ่งมีผู้ร่วมชมงานกว่าร้อยชีวิตนั้นเต็มไปด้วยมหาเศรษฐีทั่วฟ้าเมืองไทยและจากทั่วโลกเข้าชมงานซึ่งมันทำให้มนตราซึ่งเป็นนางแบบเดินชุดฟินาเล่ของงานเกิดอาการประหม่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“พี่รัก พี่บีคะ มนต้องก้าวขาไม่ออกแน่ๆ เลยค่ะ ดูสิคะคนเยอะจังเลย” มนตรามีอาการประหม่าจนมือเท้าเย็นเฉียบไปหมด ใบหน้านวลใสตามวัยสาวซึ่งในยามปกติไร้เครื่องสำอางนั้นถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพงงดงามผุดผาดเปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคนและมันทำให้ผู้พบเห็นต้องมองหันหลังเลยทีเดียว
คืนนี้มนตราสวยสง่าและเซ็กซี่จนใครบางคนแทบจะไม่อยากให้เธอปรากฏตัวต่อสายตาของใครๆ เลยทีเดียว โดยเฉพาะสายตาของพวกผู้ชายด้วยกัน หากไม่ติดว่าเป็นงานใหญ่ของครอบครัวเขาไม่มีวันยอมให้ผู้หญิงของเขาออกมาปรากฏตัวต่อสายตาผู้คนด้วยชุดเปิดเผยเนื้อตัวแบบนี้แน่นอนแม้ว่าชุดมันจะวิจิตงดงามก็เถอะ...
“ถ้ามันยากนักก็ไม่ต้องเดิน กลับเรือนไปก็ได้นะ รักครับโดมว่าให้คนอื่นเดินแบบแทนมนตราก็ได้มั้ง ผู้หญิงอย่างเธอไม่เหมาะกับงานใหญ่ๆ แบบนี้หรอก...”
คนขี้หวงกล่าวอย่างเอาแต่ใจโดยไม่รู้ว่าคำพูดของตนนั้นทำให้คนฟังคิดไปอีกแง่และแอบเจ็บปวดกับคำพูดของเขา...
เขาดูถูกเธอต่อหน้าคนอื่นอย่างใจร้าย... มนตราคิดในใจด้วยความเจ็บปวดแล้วก้มหน้าลงซ่อนความอับอายและน้อยเนื้อต่ำใจซึ่งบารนีนั้นรู้ดีทีเดียวว่าสาวรุ่นน้องคนนี้รู้สึกอย่างไรเพราะเธอก็เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน...
“ไม่ต้องคิดมากนะจ๊ะน้องมน แค่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วคิดว่าคนที่มองเราอยู่เป็นพวกมดแดงเสียก็สิ้นเรื่อง”
“มดแดงแฝงพวงมะม่วงด้วยรึเปล่าจ๊ะน้องบี” ยอดรักรู้ทันความหมายจึงเอ่ยถามยิ้มๆ
“ค่ะ ก็คงประมาณนั้น จริงมั้ยคะพี่โดม”
“พี่ไม่รู้หรอก พี่แค่แวะมาดูว่าทำอะไรกันอยู่ถึงได้ขลุกอยู่ที่นี่กันทั้งวัน...” พูดจบคนตัวโตก็เดินจากไปแบบมึนๆ ตึงๆ ยอดรักกับบารนีหัวเราะคิกคักอย่างรู้ทันแต่มนตรากับหน้าเครียดเพราะรู้ดีว่าเขาไม่พอใจเธอ...
“อย่าคิดมากค่ะน้องมน โดมเขาก็เป็นแบบนี้ล่ะแต่ไม่มีอะไรหรอก ความจริงโดมน่ะเป็นคนน่ารักจิตใจดีและอ่อนโยนมากนะ เอาล่ะ เรามาสนใจงานของเรากันดีกว่า มนพร้อมนะ...”
ยอดรักตบบ่าสาวรุ่นน้องเบาๆ พลางจับร่างอรชรของคนที่ตัวเล็กกว่าตนหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อดูความเรียบร้อยอีกที
“ค่ะพี่รัก มนจะทำให้ดีที่สุดค่ะ”
“ดีมากจ้ะ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ นั่นล่ะ ไม่ต้องตื่นเต้นนะ ทุกคนที่อยู่ข้างนอกนั่น ก็เป็นคนเหมือนๆ กับเรา...”
ทั้งยอดรักและบารนีต่างก็ให้กำลังใจน้องสาวที่น่ารักด้วยรอยยิ้มจริงใจซึ่งมันทำให้มนตรารู้สึกใจชื้นขึ้นมาและพร้อมจะทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนด้วยความเต็มใจ...
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวเมื่องานแฟชั่นโชว์จบลง นางแบบในชุดฟินาเล่นั้นดูจะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษและได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามทั้งนางแบบที่สวยน่ารักและชุดผ้าไหมแบบงดงามอลังการที่แฝงไว้ด้วยความเรียบง่ายในทีซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของบารนีและได้รับการประมูลไปด้วยมูลค่าสูงลิบทีเดียวที่สำคัญคนประมูลซึ่งเป็นมหาเศรษฐีหนุ่มเพลย์บอยตัวพ่อคนหนึ่งก็อยากจะมีดินเนอร์กับนางแบบที่สวมใส่ชุดด้วยนี่สิ ทำให้อัครวัฒน์หน้างอยิ่งกว่าม้าหมากรุกโดนเขี่ยตกกระดาน...
“น้องมนไม่ได้ไปดินเนอร์กับพ่อหนุ่มผมทองนั่นหรอกค่ะพี่โดมอย่าห่วงเลย” บารนีเอ่ยเหมือนรู้ทันเมื่อเดินมาพบว่าอัครวัฒน์นั่งดื่มอยู่คนเดียวเงียบๆ ที่ซุ้มทางเดินกลับเรือนเมื่องานเลิกตามเวลาและหมายกำหนดการแขกเหรื่อและเหล่านายแบบนางแบบเดินทางออกจากพื้นที่ของไร่ไปยังโรงแรมที่พักซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ต้อนรับและทุกอย่างก็อยู่ในภาวะปกติดังเดิม...
“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ หากเขาระริกระรี้อยากจะไปพี่ก็ไม่ว่าอะไร”
“พูดจริงรึเปล่าคะ แหม... หากรู้ว่าพี่โดมไม่ได้หวงน้องมน บีว่าจะเปิดโอกาสให้คุณเกรย์เสียเลย น่าเสียดายจังเผื่อน้องมนจะโชคดีได้เป็นคุณนายเกรย์...”
บารนีทำทีพูดถึง คริสโตเฟอร์ เกรย์ มหาเศรษฐีหนุ่มผู้ที่ประมูลชุดที่มนตราใส่ไปด้วยน้ำเสียงชื่นชมจนคนฟังเริ่มหน้างอมากขึ้นกว่าเดิม เพียงแค่คิดว่ามนตราจะไปเป็นของคนอื่นเขาก็ทนไม่ได้...
“พี่ขอตัวขึ้นเรือนก่อนนะบี...” เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่บารนีเห็นท่าทางแข็งกระด้างและตัดบทแบบค่อนข้างไร้มารยาทของอัครวัฒน์ซึ่งตลอดเวลาเขาจะสุภาพกับเธอเสมอ แต่บารนีก็เข้าใจความรู้สึกของคนที่หวงของ ซึ่งสามีเธอก็มักเป็นอย่างนี้บ่อยๆ หญิงสาวส่ายหน้ากับอาการของอัครวัฒน์ที่ดูก็รู้ว่าหวงมนตรามากแค่ไหน...
“ยิ้มอะไรครับที่รัก” อัคนีซึ่งอุ้มน้องนาเดียซึ่งหลับสนิทพาดบ่ากว้างมาโอบกอดภรรยาที่กำลังยืนรอเขาอยู่
“ก็ยิ้มขันคนปากแข็ง ขี้หวงและไม่ยอมเปิดใจตัวเองเสียทีน่ะสิคะ”
“หมายถึงโดมหรือ”
“ก็จะใครล่ะคะ...” แล้วสองสามีภรรยาก็หัวเราะเบาๆ ให้กันก่อนจะเดินกลับเรือนของตน... อัคนีหันไปมองเรือนโดมของน้องชายและคาดหวังว่าตนจะได้น้องชายที่น่ารักอ่อนโยนกลับคืนมาในเร็ววัน...
“แหม เห็นผู้ชายหน่อยไม่ได้เลยนะ ระริกระรี้เชียว...”
“คุณโดม...” มนตราชะงักมือที่กำลังแปรงผมอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่แล้วค่อยๆ ถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อเขาเดินมาใกล้จนได้กลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ จากกายแกร่ง เขาดื่มอีกแล้วหรือ... หญิงสาวคิดอย่างเป็นห่วงเขาในใจ...
“คุณเมาแล้วก็ไปอาบน้ำเถอะค่ะ เดี๋ยวมนจะผสมน้ำให้” มนตราบอกเบาๆ แล้วเดินเลี่ยงไปเพื่อจะผสมน้ำให้เขาอาบ แต่อัครวัฒน์เข้ามาขวางไว้เสียก่อน หน้าตาท่าทางของเขาเหมือนเด็กเกเรที่กำลังจะหาเรื่องเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งเป็นที่สุด...
“ฉันบอกเหรอว่าฉันอยากจะอาบน้ำ...”
“คุณเมาแล้ว อีกอย่างวันนี้เราทุกคนก็เหนื่อยๆ อาบน้ำอาบท่าจะได้สดชื่นนะคะ” มนตราพยายามพูดดีๆ กับเขาแต่ดูเหมือนยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียมากกว่าเดิม นี่เธอทำอะไรผิดอีกล่ะ...
“นั่นสินะ เหนื่อยกันทุกคนโดยเฉพาะคนบางคนที่อ่อยเหยื่อจนเหนื่อย”
“คุณโดมคะ... มนว่าหากคุณเมาแล้วก็ควรจะอาบน้ำนอนนะคะอย่ามาหาเรื่องมนเลยค่ะมนก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่มีอะไรจะไปสู้รบกับคุณหรอกค่ะ”
“นี่เธอกล้าต่อล้อต่อเถียงกับฉันหรือมนตรา”
“มนเปล่า... เพียงแต่วันนี้มนเหนื่อยจริงๆ และนี่ก็ดึกมากแล้ว ขอมนพักผ่อนเถอะนะคะ หากคุณอยากจะทำอะไรมนขอเป็นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน...” พูดไปก็หน้าแดงเสียเองเมื่อจำต้องพูดประโยคสุดท้ายเมื่อเห็นแววตาที่ไม่น่าไว้ใจของเขา...
“หึหึ รู้เหรอว่าฉันอยากจะทำอะไรเธอ”
“ก็ มน... เอ่อ...” หญิงสาวหน้าแดงก่ำพลางก้าวถอยหลังช้าๆ เมื่อเขาต้อนเธอมาเรื่อยๆ จนแผ่นหลังบางชิดผนังมนตราหมดหนทางจะหลบเขาไปไหนได้เมื่อเขากักเธอไว้ด้วยแขนแข็งแรงและร่างใหญ่โตของเขา
“สองวันมานี้เราไม่ได้ทำอะไรกันเลยนะเธอว่าไหม...” กล่าวเสียงแหบพร่าเล็กน้อยพร้อมทั้งนิ้วแกร่งม้วนปอยผมยาวสลวยของเธอเล่นด้วยท่าทางสบายๆ ใบหน้าที่รกครึ้มด้วยหนวดเครานั้นเรียบเฉยซึ่งมนตราเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไร แต่ที่แน่ๆ มนตรารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไหร่
หญิงสาวหายใจติดขัดเมื่อหลุบตาลงต่ำก็พบกับอกกว้างตึงแน่นด้วยลอนกล้ามสวยเยี่ยงชายหนุ่มคนหนึ่งพึงมีเนื่องจากเขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเนื้อดีไว้ตลอดแนว...
ใช่มนตราคนเดียวที่หายใจติดๆ ขัดๆ อัครวัฒน์เองก็มีอาการไม่ต่างกันนักความจริงแล้วเลือดเนื้อของเขาเต้นระริกด้วยความร้อนระอุตั้งแต่เห็นเธอในชุดสวยบนเวทีแล้ว... ชุดผ้าไหมแสนงามแบบสั้นเกาะอกอวดผิวนวลกระจ่างตาและเรียวขาเสลาสะกดทุกสายตาของทุกคนในงานข้อนั้นเขารู้ดี
ความหึงหวงแหนก็วิ่งเข้ามาสิงสู่ในใจจนอยากจะเดินขึ้นไปกระชากเธอลงมาจากเวทีแล้วพาเธอมาเก็บไว้ในห้องไม่ให้ใครได้เห็นไม่ให้ใครได้ชื่นชมความงามอันเจิดจรัสของมนตรา... ความงดงามที่เขารู้ดีว่ามันมีมากมายเพียงใดและเธอก็หวานฉ่ำแค่ไหนเมื่อได้ลิ้มลองสัมผัส และเขาก็สัญญากับตนเองว่าจะไม่มีวันปล่อยให้ใครได้ทำกับเธออย่างที่เขากำลังจะทำแน่นอน...
“เอ่อ มน... อุ๊ย คุณโดมอย่าค่ะ ปล่อยมนก่อน...”
“อย่าทำเป็นดัดจริตเลยน่า เราเคยๆ กันอยู่เธอจะเล่นตัวทำไม...”
คำพูดของเขาทำให้ใจดวงน้อยๆ นั้นเจ็บแปลบจนน้ำตาแทบร่วงความต้อยต่ำทั่วทุกมุมโลกวิ่งเข้าชนดวงใจน้อยๆ อย่างจังจนเธอรู้สึกได้ถึงความต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนแทบหาค่าของตนเองไม่เจอ... เธอทำอะไรให้เขานักหนากระนั้นหรือ มันเป็นความผิดของเธอหรือไร... มนตราเฝ้าถามตัวเองและคำตอบที่ได้คือความเจ็บปวด...
แววตาตัดพ้อในดวงตาหม่นเศร้าทำให้หัวใจแกร่งของอัครวัฒน์แกว่งไกวไปเล็กน้อย ความตั้งใจจะพูดและทำให้เธอเจ็บปวดอย่างที่เขารู้สึกก็มีอันไขว้เขวและคำพูดของพี่ชายกับคำพูดชลิตาที่พูดกับเขาในฝันก็แวบเข้ามาในหัวทันที แต่จะให้เขาขอโทษหรือเฝ้าปลอบประโลมเธอก็ไม่ใช่ที่ ความปรารถนาที่มีก็ยังไม่มอดดับแต่เมื่อเห็นแววตาเช่นนี้ของมนตราเขาก็ทำอย่างใจปรารถนาไม่ลง...
“เอาล่ะ คืนนี้ฉันไม่มีอารมณ์หรอก เอาเป็นว่าเธอช่วยเช็ดตัวให้ฉันหน่อยก็แล้วกัน ฉันขี้เกียจอาบน้ำ...”
พูดจบเขาก็ผละไปเสียดื้อๆ ทำให้มนตราลอบถอนใจแต่ใช่ว่าจะเป็นการถอนใจด้วยความโล่งอกหรอกนะเพราะสิ่งที่เขาให้เธอทำนั้น ก็ไม่ได้ทำให้ลำบากใจน้อยลงเลยสักนิด แต่เธอก็จำต้องทำเมื่อคนตัวโตเปลือยกายล่อนจ้อนไม่เกรงอกเกรงใจเธอเสียบ้างเลย
“คนอะไรมั่นใจในตัวเองสุดๆ แถมยังใจร้ายอีกด้วย...” มนตราแอบค่อนแคะเขาในใจ
“หากรู้ว่าเธอแอบนินทาฉันในใจแบบนั้น ฉันจะไม่เมตตาเธอแล้วนะมนตรา...” เขาพูดขึ้นเหมือนรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรทำให้มือบางที่กำลังหยิบผ้าขนหนูออกมาจากชั้นชะงักและสั่นขึ้นมาเสียดื้อๆ
“มนเปล่านะคะ...” ปฏิเสธด้วยสีหน้าเหรอหราลนลาน
“สายตาเธอมันฟ้องเด็กน้อย เอาล่ะ อย่าให้ฉันต้องเปลี่ยนใจ รีบมาทำหน้าที่ของตัวเองเร็วๆ ฉันง่วงแล้ว...” เขาพูดแล้วหลับตาลงซ่อนตัวใต้ผ้าห่มอย่างเมตตาสายตาเธออยู่บ้าง
มนตราถอนใจอีกครั้งและแอบค้อนคนเอาแต่สั่งอย่างหมั่นไส้แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปผมน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้เขา ระหว่างที่เธอเดินเข้าห้องน้ำ จึงไม่ได้เห็นแววตาอ่อนโยนของคนที่เธอแอบค่อนขอดว่าใจร้ายว่ามันทอดมองเธอด้วยประกายตาที่อ่อนโยนเพียงใด...
