บทที่ 9. กับความรักที่อยู่ในใจและความลับที่อยู่ข้างใน...จบตอน
เช้าวันนี้อัครวัฒน์ตั้งใจจะพามนตรากลับบ้านริมหาดและคิดว่าจะไม่ให้เธอกับมิ่งเมืองได้พบกัน ไม่ใช่เพราะมิ่งเมืองร้องขอแต่เพราะเขากำลังเซ็งและเบื่อที่พวกพี่ๆ เอาแต่มองเขาด้วยแววตาล้อเลียนและตอนนี้ที่ไร่ก็มีคนเยอะเกินไปดังนั้นเขาจึงคิดจะกลับบ้านริมหาดอันเงียบสงบและเป็นส่วนตัวของตนจะดีกว่าที่สำคัญอยู่ที่ไร่ขณะที่คนในตระกูลมากันเกือบครบองค์ประชุมเช่นนี้เขาจะทำอะไรไม่ถนัด...
“อะไรวะ มาไม่ทันไรจะกลับแล้วเหรอ อยู่ต่ออีกสักวันสิโดม” อัคราทำหน้ายุ่งเพราะยังไม่อยากให้น้องชายรีบกลับเนื่องจากนานๆ จะได้รวมพลกันครบสามพี่น้องแบบนี้
“ไม่ดีกว่า ผมมีอะไรต้องทำเยอะแยะ...”
“ที่ว่ามีอะไรต้องทำนี่คือทำอะไรวะ” อัคนีถามน้องชายยิ้มๆ อัครวัฒน์มองหน้าพี่ชายทั้งสองเก้อๆ ไปเล็กน้อยเมื่อเจอแววตารู้ทัน สามหนุ่มคุยกันไปเรื่อยๆ ในขณะรอสาวๆ ยกอาหารออกมาจากครัว
“มาแล้วค่า วันนี้มีแม่ครัวคนเก่งมาช่วยทำอาหารอีกคน รับรองได้ว่ามื้อนี้อิ่มอร่อยแน่นอนค่ะ...” ยอดรักผู้เป็นเจ้าของบ้านกล่าวพร้อมทั้งยกถาดอาหารเช้ามาวางตรงหน้าของทุกคนพร้อมทั้งบารนีกับมนตราที่ค่อยลำเลียงอาหารมาวางบนโต๊ะจนทุกคนนั่งพร้อมหน้าพร้อมที่จะรับประทานอาหาร
อัครวัฒน์ลอบมองเสี้ยวหน้าของคนตัวเล็กและอ่อนวัยที่สุดในที่นั้นเหมือนไม่สนใจแต่ลึกๆ แล้วในใจนั้นโหยหาและอยากสัมผัสร่างบอบบางนั้นเป็นที่สุด สามวันสามคืนที่ผ่านมาที่เขาไม่ได้แตะต้องเธอมันช่างทรมานสิ้นดี ซ้ำความร้อนระอุในกายก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงยิ่งมองเธอ ความต้องการมากมายก็ก่อเกิดขึ้นในใจจนเขาอยากจะกระชากมนตรามาแล้วพาขึ้นรถกลับบ้านริมหาดเสียตอนนี้ แต่ติดที่เกรงใจพี่ๆ ที่จ้องมองอย่างรู้ทันนี่ล่ะ...
“หาอามนคนสวยๆ” น้องดรีมซึ่งดูจะชอบและติดมนตราแจนั้นเรียกร้องจะนั่งตักหญิงสาวร้องขึ้นเมื่อทุกคนต่างก็กำลังรับประทานอาหารของตนไปพลางและพูดคุยกันไปพลาง
“ไม่เอาลูก ให้อามนทานข้าวก่อนนะคะ น้องดรีมก็ต้องทานข้าวของตัวเองด้วยค่ะคนเก่ง” ยอดรักเอ่ยกับลูกสาวตัวน้อยและกำลังสอนให้น้องดรีมหัดรับประทานอาหารด้วยตัวเอง
“ไม่เป็นไรค่ะพี่รัก ให้น้องดรีมมานั่งตักมนก็ได้แต่น้องดรีมก็ยังทานอาหารได้เองเหมือนเดิมค่ะ” มนตรายิ้มรับและอุ้มหนูน้อยมานั่งตักทั้งจัดแจงยกถ้วยใบเล็กลายการ์ตูนแสนสวยของน้องดรีมมาด้วย ซึ่งเด็กหญิงก็ตื่นเต้นยินดีและรับประทานอาหารของตัวเองตุ้ยๆ ส่วนน้องนาเดียร์เองก็หันมามองหญิงสาวที่ตนเองก็ชอบพอและมองว่าอามนนั้นสวยไม่แพ้มารดาของตนด้วยสีหน้าและแววตาช่างสงสัย...
“อามนกับอาโดมเป็นแฟนกันรึเปล่าคะ...” เด็กหญิงยิงคำถามแสนแก่แดดจนผู้ใหญ่ทั้งหกชีวิตแทบสำลักน้ำแกงเลยทีเดียว...
“เอ่อ... น้องหนูเดียร์ขา คุณแม่บอกไปแล้วนี่คะว่าอาโดมกับอามนเป็นเพื่อนสนิทกัน...” บารนีบอกลูกสาววัยสามขวบเศษด้วยสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ
“เอ... แล้วเพื่อนสนิทกะนางบำเรอเหมือนกันไหมคะคุณแม่...”
“น้องนาเดียร์...” คราวนี้ทั้งบิดามารดาและคุณลุงเด่น ป้ายอดรักต่างร้องขึ้นพร้อมกันจนเด็กหญิงหน้าเหรอหราว่าตนเองพูดอะไรผิดไปด้วยเดียงสา...
“หนูเดียร์คะเราจะไม่พูดแบบนี้ระหว่างทานข้าวนะลูก...” อัคนีกระแอมแล้วบอกลูกสาวด้วยสีหน้าลำบากใจเมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดลงทันตาของมนตราซึ่งก้มหน้านิ่งกัดริมฝีปากแน่นเหมือนจะร้องไห้ทันทีที่ได้ยินคำถามประสาซื่อนั้น
“หนูไปฟังมาจากไหนคะลูก คำพูดพวกนี้..” คราวนี้ยอดรักมองหน้าสามีอย่างคาดโทษซึ่งเธอคาดว่าต้องมาจากปากของชายหนุ่มทั้งสามคนนี้แน่นอน ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสามมีท่าทางเหมือนกินยาขมๆ เข้าไปโดยเฉพาะสามีของตน...
“ก็หนูเดียร์ได้ยินคุณลุงกับคุณพ่อแล้วก็คุณอาโดมคุยกันนี่คะ”
“เอ่อ รักจ๋า ยอดรักพี่เด่นว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่านะจ๊ะ...” อัคราเห็นแววตาวาววับของภรรยาแล้วนึกหวั่นใจ จึงเอ่ยขัดขึ้นแต่ต้องหุบปากฉับเมื่อเจอสายตาและท่าทางของภรรยาที่สื่อความหมายให้เขาหยุดพูด ซึ่งทำให้ชายหนุ่มตัวใหญ่หน้าใบหน้าหล่อเหลาดุดันซ้ำยังเป็นประมุขใหญ่แห่งไร่อัครานั่งนิ่งเหมือนแมวเชื่องๆ ไปเลยทีเดียว
“หนูได้ยินลุงๆ อาๆ พูดว่ายังไงเอ่ยคนเก่ง...” ยอดรักคาดคั้นด้วยท่าทางยิ้มๆ และพูดคุยเหมือนเป็นเรื่องทั่วๆ ไป
“ก็คุณอาโดมบอกว่า อามนเป็นแค่นางบำเรอจะเขี่ยทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ มีสาวๆ สวยๆ ให้เลือกเป็นร้อยยย หนูเดียร์เลยไม่เข้าใจว่าอาโดมบ้ารึเปล่าที่จะทิ้งอามน ก็อามนสวยน่ารักที่สุด อาโดมคงเป็นคนโง่มากๆ ถ้าจะทิ้งอามนไปค่ะ...”
คำพูดของเด็กหญิงทำให้ยอดรักกับบารนีหันไปมองหน้าสามีและคนตัวต้นเหตุอย่างตำหนิ ในขณะที่คนถูกพาดพิงถึงนั้นหูตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ยังพยายามไม่ร้องออกมาต่อหน้าใครๆ
“เอ่อ พี่ๆ คะ มนขอตัวสักครู่นะคะ พอดีรู้สึกปวดท้องค่ะ...” มนตราเอ่ยขึ้นในที่สุด พร้อมทั้งยกร่างอ้วนกลมของน้องดรีมคืนให้กับมารดาของแกด้วยท่าทางสุภาพอ่อนโยนแล้วก้มลงหอมแก้มของน้อง ดรีมเบาๆ เพื่อเด็กหญิงจะได้ไม่รู้สึกว่ากำลังจะถูกทิ้ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วรีบเดินเร็วๆ เข้าไปในบ้านท่ามกลางสายตาของทุกคนมองตามไปด้วยความเป็นห่วงสภาพจิตใจของเธอ...
“บีอิ่มแล้วนะคะ หนูเดียร์อิ่มรึยังคะลูก”
“รักก็อิ่มแล้วเหมือนกันค่ะ ไปค่ะน้องบีเราไปหามุมสงบอยู่กันสองคนเราดีกว่า ไปค่ะลูกๆ” ว่าแล้วสองสาวก็เดินเชิดหน้าออกไปจากโต๊ะอาหารปล่อยให้บรรดาสามีมองตามอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีซึ่งพวกเขารู้ดีว่าภรรยาของตนนั้นกำลังโกรธมากและการจะเข้าไปง้องอนตอนนี้มีแต่ตายกับตายเท่านั้น ต้องปล่อยให้เจ้าหล่อนไปสงบสติอารมณ์ก่อนพวกเขาจึงจะเข้าไปงอนง้อขอคืนดีได้...
“ฉันซวยไปด้วยเลยไอ้น้องบ้า...”
“นั่นสิ เพราะปากแกทีเดียว ไอ้น้องปากเปราะ เห็นมั้ยเมียฉันงอนไปแล้ว ทีนี้จะทำยังไง รักยิ่งเป็นคนรักศักดิ์ศรีและเกลียดเรื่องการดูถูกผู้หญิงมากๆ ด้วย... ตายๆ ไอ้เด่น แกตาย ได้นอนเดียวดายนอกบ้านแน่ๆ” อัคราบ่นพลางนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรงพอๆ กับอัคนีที่มีท่าทางไม่ต่างกัน
“มันใช่ความผิดของผมคนเดียวรึไงกันล่ะ...”
“ความผิดของแกคนเดียวเลยไอ้โดม...” พี่ชายทั้งสองพร้อมใจพูดประโยคเดียวกันเหมือนนัดไว้ด้วยสรรพนามที่แสนจะหมั่นไส้น้องชายที่ป่านนี้ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับอะไร
อารมณ์ผู้หญิงยามโกรธนั้นน่ากลัวน้อยเสียเมื่อไหร่ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ได้ชื่อว่า เมีย...
ในขณะที่พี่ชายทั้งสองกำลังหามุกไปง้อภรรยาของตนอัครวัฒน์เองก็กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรกับมนตราดี... จะไปต่อหรือหยุดแค่นี้...
มนตราเดินแทบจะวิ่งออกมาจากเรือนไม้สักหลังงามด้วยน้ำตานองหน้าอย่างไม่รู้ทิศทาง และไม่รู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ส่วนไหนของไร่รู้แต่เพียงว่ารอบกายเธอคือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีม้าบางตัวที่เลาะเล็มหญ้าเขียวขจีอยู่อย่างสบายอารมณ์ดูอิสระเสรี...
มนตราเดินไปใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาด้วยอาการคล้ายคนที่กำลังจะหมดแรง หญิงสาวนั่งกอดเข่ามองเจ้าม้าที่กำลังเล็มหญ้าอย่างมีความสุขด้วยความริษยาพวกมันพลางปาดน้ำตาที่แก้มซีดเซียวของตนออกแต่ยิ่งเช็ดก็เหมือนว่ามันยิ่งไหลเป็นสายเป็นทางไม่หยุดเสียที... นี่เธอจะร้องไห้เอาโล่เกียรติยศหรืออย่างไร...
“พ่อขา เมื่อไหร่พ่อจะกลับมาเสียที...” หญิงสาวรำพึงรำพรรณกับตนเองด้วยความหมองเศร้าเหม่อมองท้องฟ้าเวิ้งว้างอย่างเลื่อนลอยเจ็บปวดพลางนึกถึงพี่ชายซึ่งเป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมดนี้
เธออยากรู้เหลือเกินว่าพี่ชายของตนอยู่ที่นี่หรือไม่ อัครวัฒน์บอกว่าจะพาเธอมาหามิ่งเมืองนั้น เขาหมายถึงที่ไร่อัคราหรือเปล่า... เธออยากถามพี่ชายเหลือเกินว่าสิ่งที่อัครวัฒน์บอกกับตนและบิดานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และหากจริงอย่างที่อัครวิฒน์ว่าเธออยากจะรู้ว่าเหตุใดพี่ชายของเธอถึงได้ทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้กับผู้หญิงคนหนึ่งได้ และทำไมเขาถึงได้คิดขายเธออย่างหน้าด้านๆ ให้กับเสี่ยวิบูล... แม้ยิ่งอยากรู้ก็ยิ่งเจ็บปวดแต่มนตราก็อยากจะได้ยินคำบางคำจากปากพี่ชาย...
“มน...” เสียงแหบแห้งของใครคนหนึ่งดังขึ้นแว่วๆ ตอนแรกมนตราก็คิดว่าตัวเองหูฝาดไปเพราะเสียงนั้นเหมือนเสียงของมิ่งเมืองเหลือเกิน...
“มน ใช่มนหรือเปล่า...” คราวนี้มนตราหันไปตามเสียงแล้วก็ต้องตะลึงเมื่อเจอเมื่อเจอเจ้าของเสียงนั้น...
“พี่เมือง... นี่พี่จริงๆ หรือ...” สารรูปของคนตรงหน้าทำให้น้ำตาของเธอเหือดแห้งไปทันที มนตราเดินไปยังร่างชายคนหนึ่งในชุดขาดวิ่นผมเผ้ารุงรังสกปรกที่กำลังเก็บขี้ม้าทั้งมือและเท้ายังมีโซ่ตรวนพันธนาการแน่นหนาอีกด้วย...
“โอ มน ทำไม น้องร้องไห้...” คำถามนั้นแฝงด้วยความเจ็บปวด และหัวใจของมิ่งเมืองก็ปวดแปลบเมื่อเห็นแววตาเศร้าสร้อยของน้องสาวแม้ว่าเธอจะอยู่ในชุดเสื้อผ้างดงาม... นี่เขาทำอะไรลงไป... มิ่งเมืองถามตนเองเมื่อมองปราดเดียวก็รู้ว่าอัครวัฒน์นั้นพูดจริงทุกคำ...
“พี่เมืองทำไมเป็นแบบนี้คะ”
“เอ่อ ผมไม่ใช่พี่เมืองของคุณหนูหรอกครับ คุณคงจำคนผิด...”
แต่เมื่อสำนึกได้ว่าตนไม่อยากให้น้องสาวพบในสภาพเช่นนี้มิ่งเมืองจึงลนลานจะเดินหนีแต่มนตราขวางไว้ไม่ให้เขาเดินจากไปได้ง่ายๆ ทั้งขาของเขาก็มีอาการบาดเจ็บจากการกดทับของโซ่ตรวนทำให้เดินไม่ถนัดนัก
“ต่อให้พี่มีสารรูปที่แย่กว่านี้มนก็จำได้ค่ะ พี่เมือง พี่เป็นพี่ชายของมนนะคะทำไมมนจะจำพี่ไม่ได้...” เมื่อคนตรงหน้าก้มหน้านิ่งเหมือนการยอมรับมนตราจึงถอนหายใจเบาๆ แล้วเช็ดน้ำตาให้แห้งเหือด
“เขากักขังพี่ไว้ที่ไหนคะแล้วพี่มาอยู่ที่นี่นานหรือยัง”
“เขาไม่ได้ขังอะไรพี่หรอกมน เพียงแต่ไม่อยากให้พี่หนีไปไหน อีกอย่างก็ดัดสันดานพี่ด้วยล่ะ หึหึ...”
“พี่เมืองทำแบบนั้นได้ยังไงคะ แล้วมันจริงอย่างที่เขาพูดรึเปล่า” คำถามของน้องสาวทำให้มิ่งเมืองรู้สึกตีบตันในลำคอจนปวดปร่าแทบหายใจไม่ออก...
“มน... พี่ขอโทษ พี่มันเลว...”
“มนยกโทษให้ค่ะแต่มนไม่เข้าใจก็คือ พี่เมืองขายมนให้ไอ้เสี่ยนั่นได้ยังไง... ใจพี่ทำด้วยอะไร มนเป็นน้องพี่นะคะ”
“พี่... พี่... มน พี่ไม่รู้จะชดใช้ให้มนยังไง...”
“พี่เมืองไม่ต้องชดใช้อะไรแล้วค่ะ เพราะมันสายเกินไปแล้ว แต่พี่เมืองรู้ไว้เลยว่าหลังจากที่พ่อรู้เรื่องของพี่เมืองแล้วอาการโรคหัวใจก็กำเริบหนัก โชคดีที่เขายังเห็นแก่ที่พ่อทำงานกับเขามานานจึงช่วยเรื่องผ่าตัดของพ่อแลกกับมนจะต้องไปเป็นผู้หญิงของเขา ให้เขาเหยียบย่ำ ซึ่งมันก็ไม่ได้ดีกว่าการเป็นเมียน้อยของเสี่ยวิบูลเท่าไหร่ เพราะมนก็เป็นนางบำเรอของเขาที่รอวันเขาเขี่ยทิ้งและมนก็ไม่รู้ว่าอาการของพ่อจะดีขึ้นหรือเลวลงหลังการผ่าตัด...” มนตราพูดยืดยาวอย่างเจ็บปวดกับพี่ชายซึ่งนิ่งฟังด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวไม่แพ้กัน...
“ที่สำคัญ แม้มนจะยังมีพ่อ มีพี่อยู่ แต่มนก็รู้สึกว่ามนไม่เหลือใครเลย ไม่มีอะไรเลย แม้แต่ศักดิ์ศรีของตัวเอง...”
“โธ่ มน...”
“แต่มนจะพยายามพูดกับเขานะคะว่าให้ปล่อยพี่ไป อย่างน้อยๆ หากเขายังไม่เบื่อ มนก็อาจจะยอมแลกชีวิตของมนกับพี่เมือง” มนตราพูดด้วยความจริงใจเมื่อเห็นสภาพของพี่ชายแล้วเธอก็โกรธเขาไม่ลงอยู่ดี มิ่งเมืองดูสงบลงและไม่มีแววหยิ่งผยองเหมือนที่เคยเป็น มิ่งเมืองอาจจะสำนึกและอาจจะกลับตัวได้ หากเธอไม่ได้หวังสูงจนเกินไป...
เธออยากให้พี่ชายมีโอกาสกลับตัวเป็นคนดีอย่างน้อยๆ เขาอาจจะมีโอกาสเป็นลูกที่ดี เขาก็ควรได้มีโอกาสได้ดูแลบิดาบ้างในตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่...
“ไม่ต้องหรอกมน พี่สมควรที่จะต้องโดนลงโทษและเป็นแบบนี้ นี่ยังน้อยไปกับสิ่งที่พี่ทำ”
“ฉันก็ว่ามันเป็นอย่างนั้นล่ะ สิ่งที่พวกนายเจอ มันยังน้อยไป...” เสียงเข้มๆ ของอัครวัฒน์ดังขึ้นทำให้สองพี่น้องที่คุยกันอยู่หันไปมองเขาพร้อมๆ กัน...
