บทที่ 10. ความสงสารเป็นบ่อเกิดแห่งความรัก...
“คุณโดม...” มนตรากับมิ่งเมืองหันมามองผู้มาใหม่อย่างตระหนกเล็กน้อย มนตราเดินมาขวางชายหนุ่มไว้ด้วยท่าทางเหมือนจะปกป้องพี่ชายของตนเองทั้งที่ตนตัวเล็กเท่ามดเมื่อเทียบกับเขา แววตาหญิงสาวดูแข็งกร้าวและตัดพ้อจนคนมองรู้สึกใจคอแกว่งๆ แต่เก็บอาการเอาไว้...
“กลับกันได้แล้ว หมดเวลาเล่นสนุกแล้วหนูน้อย”
“คุณควรปล่อยมนไป ผมก็ได้รับโทษจากคุณแล้วมันไม่ยุติธรรมหากคุณทำร้ายมนเพียงเพราะเธอเป็นน้องสาวผม” มิ่งเมืองบอกเขาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งรู้สึกสงสารน้องสาวจับใจ
“มันเรื่องของฉัน เพราะถึงยังไงนายก็สมควรจะได้รับโทษอยู่แล้ว คนที่ทำให้ฉันเจ็บมันจะต้องเจ็บมากกว่าหลายร้ายเท่า...”
“คนใจร้าย... ใจคอคุณจะทำลายเราให้ตายตามคนรักของคุณไปเลยหรือไง” มนตราอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาและเป็นครั้งแรกที่เธอเอ่ยพาดพิงถึงใครอีกคนที่คิดถึงเมื่อไหร่เธอก็รู้สึกเจ็บปวดเสียทุกครั้งไป...
“เธออย่าเอาตัวเองมาเปรียบกับหนูเล็ก หากจะเทียบกันแล้ว ชีวิตของพวกเธอทั้งสามคนพ่อลูกรวมกันก็ยังไม่มีค่าเทียบเท่ากับคนรักของฉัน...” น้ำเสียงของอัครวัฒน์เองก็ฟังดูเจ็บปวดไม่แพ้กัน แต่คำพูดของเขานั้นเหมือนมีคมกริบที่บาดหัวใจของคนฟังจนเลือดอาบและขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี น้ำตาที่เหือดแห้งไปของมนตราไหลหลั่งออกมาราวทำนบพังหากแต่ไร้เสียงสะอื้นไห้...
“ค่ะ มนเข้าใจดี... ชีวิตคนเรามีค่าไม่เท่ากันเสมอ... อยากทำอะไรก็เชิญเถอะค่ะ... ลาก่อนนะคะพี่เมือง หากพี่ยังมีความดีหลงเหลืออยู่บ้าง มนหวังว่าเราจะได้เจอกันอีก มนรักพี่เมืองนะคะ...”
“โธ่ มน...” มิ่งเมืองมองตามน้องสาวที่วิ่งออกไปจากที่ตรงนั้นด้วยความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนในชีวิต...
แววตาปวดรวดร้าวของมนตรายังติดตรึงในตาในใจของเขา คราบน้ำตาบนแก้มขาวซีดของน้องสาวกระตุกใจของผู้เป็นพี่ชายให้ไหวสะท้าน แววตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนของคนเป็นพี่ชายนั้นรู้ดีว่าน้องสาวของตนนั้นมีใจให้กับผู้ชายใจร้ายเย็นชาตรงหน้า... หลักฐานบางอย่างที่เขาเห็นมันบอกเขาได้เป็นอย่างดี
เขาผิดเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตอันแสนบริสุทธิ์สดใสของน้องสาวที่น่ารักเช่นมนตรามันมาจากความเลวของเขานี่เอง...
“ส่วนนาย... มิ่งเมือง นับจากนี้ ฉันจะให้โอกาสสุดท้ายกับนาย... นายจะได้เป็นอิสระ...”
“ไม่ หากเลือกได้ผมอยากให้คุณปล่อยมนไป... แล้วหากคุณจะกักขังผมจนไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวันผมก็ยินดี...”
“หึหึ แน่นอน ฉันปล่อยเธอแน่ แต่ต้องหลังจากที่ฉันเบื่อเธอเสียก่อนนะ หรือให้เธอท้องก่อนแล้วฉันค่อยเฉดหัวนางบำเรออย่างน้องสาวนายทิ้ง แบบนี้สะใจกว่ากันเยอะเลย แต่วันนี้ฉันก็จะปล่อยนายจากไอ้โซ่ตรวนพวกนี้ด้วย”
“คุณอัครวัฒน์...”
“เอาล่ะ พวกนายพามันไปขังไว้เหมือนเดิม ต่อไปนี้ให้มันมาเก็บขี้ม้าทุกวัน แต่ไม่ต้องล่ามโซ่มัน แต่ถ้ามันคิดหนี ฆ่ามันได้เลย... หรือถ้านายกล้าทำร้ายคนในไร่ ฉันจะจัดการกับน้องสาวและพ่อของนายอย่างไร้เมตตาเลยทีเดียว สาบานเลยว่าฉันทำได้...”
อัครวัฒน์เดินจากไปหลังจากที่สั่งการลูกน้องอีกสองคนซึ่งมีหน้าที่คอยดูแลควบคุมมิ่งเมืองอยู่ มิ่งเมืองแทบไร้แรงยืน แม้พันธนาการที่เขาพยายามจะหนีจากมันถูกปลดออกไปแล้วหลายวัน ซึ่งเขาต้องทำงานหนักเช่นทุกวันเพียงแต่ไม่ต้องถูกล่มโซ่ตรวนเหมือนนักโทษ แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกว่าโทษทัณฑ์ที่ได้รับมันจะเบาลง แต่กลับหนักอึ้งหน่วงหนักยิ่งกว่าถูกรัดรึงไว้ด้วยโซ่ตรวนเสียอีก...
ตลอดเส้นทางการเดินทางกลับมายังบ้านริมหาดมนตราก็เอาแต่นั่งเงียบเช่นเดียวกันกับชายหนุ่มซึ่งต่างนั่งมองข้างทาง โดยไม่สนใจผู้ร่วมเดินทางที่นั่งมาด้วยกันห้องโดยสารกว้างขวางจึงดูเหมือนกว้างกว่าอวกาศเมื่อมันเงียบและไร้การสนทนาใดๆ ปล่อยให้ความเงียบบงการความคิดไปเรื่อยเปื่อย...
เมื่อรถมาจอดสนิทที่หน้าบ้านหลังงามอัครวัฒน์ค่อยหันมาสนใจคนที่นั่งเงียบมาตลอดอย่างเสียไม่ได้และพบว่าเธอหลับไปแล้ว และหลับสนิทจนไม่มีทีท่าว่าจะตื่นแม้เขาทำเสียงกระแอมและขยับตัวดังๆ หลายครั้งแต่มนตราก็นิ่งเฉยจนเขาเอะใจจึงขยับมาใกล้เธอ
“ถึงบ้านแล้ว...” เขาพูดกับคนตัวเล็กที่หลับตานิ่ง ดวงตาคมทอดมองแก้มแดงก่ำของคนตัวบางซึ่งหลับตาพริ้มตรงหน้าอย่างพิจารณา...
มนตราเป็นผู้หญิงหน้าตาแสนธรรมดาหากมองผิวเผิน แต่เมื่อพิศมองนานๆ แล้ว ความงดงามผุดผาดก็สะกดสายตาของเขาจนแทบไม่อาจละสายตาจากวงหน้าใสสะอ้านนี้ได้เลย ยิ่งแววตากลมโตสุกใสเป็นประกายยามแย้มยิ้มมันช่างสดใสราวว่าเธอทำให้โลกที่มืดมิดสว่างขึ้นทันตา และรอยยิ้มแสนน่ารักนั้นเองที่ทำให้เขาอยากจะเก็บมันไว้มองคนเดียวไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนๆ ได้เห็นรอยยิ้มของเธอแม้แต่พี่ชายทั้งสองคนของเขา...
“เธอนี่มันก็ดื้อใช้ได้นะมนตรา...” ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ กับแก้มนวลแดงก่ำที่มีคราบน้ำตาบางๆ ซึ่งมันสั่นคลอนใจที่ร้อนรุ่มด้วยความแค้นของเขาให้สั่นไหวและเริ่มไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันถูกต้องดีแล้วหรือ
“บัดซบ นี่ไม่สบายหรอกหรือนี่ ทำไมไม่บอกนะ ยายเด็กดื้อ... ตามหมอมาดูอาการมนตราหน่อยนะแดนนี่...” ทันทีที่มือใหญ่แตะลงบนแก้มนุ่มเพื่อเช็ดคราบน้ำตาให้ อัครวัฒน์ก็ต้องตกใจเมื่อมันร้อนมากราวกับไฟสุม อัครวัฒน์ร้องสั่งบอดีการ์ดคนสนิทแล้วช้อนอุ้มร่างเล็กขึ้นบ้านอย่างไม่ยากเย็นเมื่อมนตราไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา...
เมื่อหมอมาตรวจร่างกายและจ่ายยาบรรเทาปวดลดไข้หวัดให้กับมนตราแล้วคนตัวโตที่เป็นกังวลว่าเธอจะเป็นอะไรมากกว่านี้ก็ค่อยเบาใจลงเมื่อมนตราเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา แต่สิ่งที่หมอบอกเขาเป็นนัยๆ นั้นมันหมายความว่าอย่างไรกันนะ ทำไมหมอต้องบอกให้เธอไปตรวจร่างกายอีกครั้งที่โรงพยาบาล พอเขาถามหมอก็บอกเพียงว่ายังไม่แน่ใจและไม่ได้เตรียมอุปกรณ์มาและไม่ใช่หมอเฉพาะด้านแล้วก็ลากลับไป...
“พ่อคะ... มนคิดถึงพ่อ...” เสียงแหบแห้งของคนที่นอนหลับสนิทของคนตัวเล็กเอ่ยขึ้นเหมือนละเมอทำให้ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์คิดแล้วเดินมาแตะหน้าผากมนด้วยความห่วงใย...
“มน... เป็นไงบ้าง...”
“ใคร... พ่อหรือคะ หรือพี่เมือง... อย่าทิ้งมนนะคะ อย่าไป อย่าปล่อยมนให้อยู่กับคนใจร้าย เขาใจร้าย ใจร้าย...” ดวงตาที่หลับพริ้มลืมช้าๆ สะลึมสะลือพลางคว้ามือหนาไปแนบแก้มแดงๆ เพราะพิษไข้ของตน ทั้งพยายามกอดร่างแกร่งของเขาไว้เหมือนกลัวว่าจะถูกทอดทิ้ง จนอัครวัฒน์ต้องเอนกายลงกึ่งนั่งกึ่งนอนเคียงข้างคนตัวเล็กอย่างเสียไม่ได้และเป็นห่วงเธอ
“นี่ฉันเอง พี่โดมไงคนดี... หลับซะนะ ไม่ต้องห่วงพี่โดมจะอยู่เป็นเพื่อนมน พี่โดมจะดูแลมนเอง...” ชายหนุ่มปลอบเบาๆ แต่คำพูดของเธอในประโยคท้ายทำให้ใจของเขาแกว่งไกว
นี่เขาใจร้ายกับเธอมากขนาดนั้นเลยหรือ... อัครวัฒน์ลูบปอยผมที่ละใบหน้านวลออกแล้วก้มลงหอมแก้มนวลเบาๆ ใจที่แข็งกระด้างอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว
มนตราขยับกายเบาๆ อย่างเมื่อยล้าและรู้สึกอึดอัดแปลกๆ เหมือนว่ามีอะไรหนักๆ มากดทับและกอดรัดเอวบ้างเอาไว้ เธอพยายามพลิกกายหนีสิ่งที่รัดเอวคอดของตนทั้งพยายามขยับกายออกจากการเกาะกุมที่ทำให้ตนเองอึดอัดแต่ยิ่งดิ้นหนีก็เหมือนมันจะรัดแน่นเข้าจนเธอต้องฝืนเปลือกตาที่ยังหนักอึ้งขึ้นมองว่ามันคืออะไร...
“คุ คุณ โดม...” ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตระหนกและขัดเขิน ใบหน้าใสสะอ้านซีดเซียวแดงปลั่งขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าอะไรที่รัดรึงร่างกายของตนไว้ ทั้งใบหน้าหล่อเหลาสะอ้านสะอาดไร้หนวดเคราของเขาก็ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าในระยะที่ชิดใกล้ชนิดที่ว่ามีเพียงเส้นด้ายบางๆ กางกั้นเท่านั้น...
“เอ่อ...”
“เธอไม่สบายเมื่อคืนนี้ เธอมีไข้สูงและละเมอทั้งคืน...” เขาบอกเรียบๆ แต่ยังโอบกอดเอวบางของเธอไว้
มนตราหลุบตาลงหลบซ่อนแววตาเขินอายยิ่งได้กลิ่นตัวหอมสะอาดของเขาหัวใจสาวก็ยิ่งหวั่นไหว อัครวัฒน์อาบน้ำแต่งตัวแล้วเรียบเรียบร้อยทั้งยังโกนหนวดเคราะห์เสียจนเกลี้ยงเกลาเปิดเผยใบหน้าหล่อเหลาที่ซ่อนไว้ภายใต้หนวดเครามานานของเขาอย่างชัดเจนแม้ว่าจะยังไม่ได้ตัดผมที่ยาวระบ่ากว้างที่ทำให้เขาดูเซอร์ๆ แต่รูปลักษณ์แบบนี้ของเขาก็ยังสั่นคลอนให้หัวใจสาวหวิวไหวได้ไม่เสื่อมคลาย...
“เหรอคะ...” แทบจะหาเสียงของตัวเองไม่เจอแต่มันก็แผ่วเบาเสียเหลือเกิน หญิงสาวพยายามขยับตัวเบาๆ เพราะกลัวการใกล้ชิดมันจะทำให้ใจเธอหวั่นไหวมากกว่าที่เป็นอยู่
“หิวไหม...” อัครวัฒน์ถามอ่อนโยนพลางคลายวงแขนแกร่งออกจากเอวบางเล็กน้อยแต่ก็ยังโอบกอดเธอไว้กรายๆ เพราะยังรู้สึกอยากจะกอดร่างนุ่มนิ่มหอมกลิ่นเนื้อนางจางๆ ของเธออยู่
“หิวค่ะ” รีบตอบอย่างฉลาดเอาตัวรอด ชายหนุ่มยิ้มอย่างรู้ทันแต่ก็ยอมคลายอ้อมแขนก่อนจะลุกเดินไปยกชามข้าวต้มหอมกรุ่นมานั่งบนขอบเตียงแล้วคนช้าๆ มนตราขยับกายอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีแต่พอจะรู้ว่าเธอควรจะอยู่เฉยๆ เพื่อดูปฏิกิริยาของเขา
“อ้าปากสิ ฉันจะป้อน...”
“มนว่ามนกินเองดีกว่าค่ะ”
“อ้าปาก...” เขาย้ำเสียงเรียบแล้วมองอย่างบังคับกรายๆ หญิงสาวจึงต้องทำตามเขาอย่างไม่มีทางเลี่ยง...
อัครวัฒน์ป้อนข้าวคนไข้ของตนเอย่างเอาใจใส่จนเธอบอกเขาว่าอิ่มแล้วเขาก็บังคับให้เธอกินยา มนตราได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคนตัวโตอย่างดีจนใจสาวหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้งจากที่คิดว่าจะตัดใจจากเขาให้เด็ดขาดก็มีอันไขว้เขว...
“เอ... อยู่ไหนนะ จำได้ว่าเอามาด้วยนี่นา” เมื่อเขาปล่อยให้อยู่ลำพังมนตราก็รีบลุกมารื้อกระเป๋าเดินทางใบเล็กของตนเพื่อหาของสำคัญที่แอบซ่อนเอาไว้
“หาอะไรอยู่เหรอ...”
“อุ๊ย คุณโดม” หญิงสาวหน้าตื่นหลบตาคมวุ่นวาย
“ฉันถามว่าหาอะไรอยู่...”
“เปล่าค่ะ”
หญิงสาวหลบตาเขาแล้วจะเดินเลี่ยงออกจากที่แคบๆ ระหว่างตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะแต่งตัวแต่เขาก็มายืนขวางไว้แววตาคมเข้มพิศมองใบหน้าที่ซับสีเลือดแดงปลั่งของเธอด้วยแววตาที่ไม่น่าไว้ใจ
