บทที่ 6. เมื่อเสือร้ายร่ายรักร้อน...
“โอ้ว...มนตรา มนตรา เยี่ยมมาก เธอเยี่ยมที่สุด...” อัครวัฒน์ครางหนักๆ พลางเอ่ยชมหญิงสาวที่แอ่นร่อนติดตามสะโพกแกร่งไปทุกที่ตามแต่เขาจะนำพาเมื่อเพลิงสวาทเร่าร้อนได้ที่และร้อนฉ่าจนยากจะหักห้ามใจ ความอ่อนหวานไร้เดียงสาแต่ทว่าเร่าร้อนของเธอทำให้เขามึนงงและหลงใหลได้ไม่ยากเย็น ความบริสุทธิ์สดใหม่ของนวลเนื้อสาวก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาเกิดความหวงแหนและภาคภูมิใจที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของและแค่ครั้งเดียวก็คงไม่เพียงพอสำหรับในค่ำคืนนี้...
“อื้ม คุณโดม พะ พอ ก่อน มะ มน... ไม่ไหว...”
หญิงสาวครางประท้วงเมื่อพ่อคนพลังสูงจับร่างเล็กของตนเปลี่ยนท่วงท่าจากที่นอนระทดระทวยใต้ร่างเขามาเป็นนอนตะแคงข้างแล้วเขาก็เข้ามาซ้อนแผ่นหลังเปลือยชื้นเหงื่อของเธออย่างสนิทสนมซ้ำมือร้อนผ่ายังล้วงลูบไล้มาข้างหน้าฟอนเฟ้นอกอวบกับเนินเนื้อสาวสดฉ่ำที่แทบชอกช้ำเพราะมือของเขาอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของที่สุด...
“อืม เธออยู่เฉยๆ เถอะน่า เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง...”
“อุ๊ย คุ คุณโดม โอว... อื้อออ...” เสียงหวานแหบพร่าแผ่วหวิวเมื่อเรียวขาหนึ่งข้างถูกยกขึ้นสูงเปิดจนเปิดเปลือยกลีบดอกไม้งามให้ภมรหนุ่มที่คึกคะนองล่วงล้ำเข้ามาเชยชิดสนิทสนม...
“อา... แน่นเหลือเกินมนจ๋า... ยายแม่มดร้าย...” ไม่วายที่เขาจะเรียกขานเธอด้วยฉายาที่เขามอบให้เธอแม้ในขณะที่ถูกดูดรัดจากช่อดอกไม้งามของเธอ ใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยหนวดเคราบิดเบ้เล็กน้อยเมื่อความคับแน่นยังบีบกระชับจนเขาแทบขยับต่อไม่ได้ นิ้วแกร่งจึงเอื้อมมาเขี่ยสะกิดตุ่มไตเกสรสาวเพื่อสร้างความเกษมซ่านกระสันให้ก่อเกิดขึ้นกับเจ้าของช่อบุษบางาม...
“อ๊า คุณโดม คุณโดม...” เสียงหวานผสานกับเสียงครางหนักๆ และเสียงหนั่นเนื้อกายชายกายสาวกระทบกันที่ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงอารมณ์ที่ปะทุมากขึ้นๆ แรงขึ้นๆ และเร่าร้อนจนสามารถลอยลิ่วผ่านดินแดนแสนสวาทได้อีกครั้งและอีกครั้งจากบ่ายแก่ๆ จนเย็นย่ำเคลื่อนสู่เวลาค่ำยันเกือบรุ่งสางของอีกวัน...
อัครวัฒน์เหลือบมองคนตัวเล็กที่นั่งเบียดชิดประตูรถอีกฟากราวจะแทรกกายจมหายไปในนั้นหากเธอทำได้ด้วยความรู้สึกขันและหมั่นไส้เหลือกำลัง หลังจากที่เขากับเธอเพิ่งตื่นเอาเมื่อเกือบจะเที่ยงวันของวันนี้เจ้าหล่อนก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาเขาเหมือนว่าหากมองหน้าเขาแล้วเธอจะกลายเป็นหินอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งเมื่อต้องเดินทางเจ้าหล่อนก็เลือกสวมเสื้อผ้าปกปิดมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้าจนเขารู้สึกร้อนแทน หากเมืองไทยเป็นเมืองหนาวเขาก็คงไม่รู้สึกอะไรแต่วันนี้เขาพูดได้คำเดียวว่าร้อนมากแต่โชคดีที่ตอนนี้เธอนั่งอยู่บนรถที่แอร์เย็นฉ่ำ
“มานั่งตรงนี้สิมนตรา...” เขาเรียกเธอเบาๆ เสียงห้าวทุ้มดังก้องไปทั้งห้องโดยสารที่แยกจากห้องคนขับเพื่อความเป็นส่วนตัวนั้นกว้างขวางราวกับห้องนอนหนึ่งห้องก็ว่าได้ พอนึกถึงห้องนอนเขาก็ร้อนขึ้นมาทันทีทั้งที่แอร์ในรถเย็นเฉียบ แต่ความร้อนมันไม่ได้ร้อนเหมือนอากาศนี่สิ อันตรายจริงๆ แต่เขาก็ควบคุมมันไม่ได้และช่วยไม่ได้หากเขาอยากจะทำอะไรที่มากกว่านั่งรอเวลาไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง...
“มนนั่งตรงนี้ดีกว่าค่ะ” เธอตอบมาสั้นๆ
“ฉันบอกให้มานั่งตรงนี้หากฉันไปนั่งข้างๆ เธอเสียเองฉันไม่รู้นะว่าจะแค่นั่งเฉยๆ รึเปล่า...” คำพูดของเขาทำให้มนตราลนลานรีบขยับกายมานั่งข้างๆ เขา แม้ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ชิดเขามากเกินไป แต่เจ้าหล่อนก็ยังคงไม่เงยหน้ามองเขาเอาแต่หลบตาอยู่อย่างนั้น...
“หน้าฉันมีอะไรเธอถึงมองไม่ได้ หรือว่าเธอมีอะไรที่ปกปิดฉัน กลัวว่าฉันเห็นอะไรในแววตาเธอรึไง”
“เปล่าค่ะ”
“เปล่า แล้วทำไมต้องหลบตาด้วย ไหนเงยหน้ามองฉันตรงๆ สิ” เป็นคำสั่งที่ทำให้คนทำตามหน้าแดงจรดใบหูขึ้นมาทันที หญิงสาวค่อยๆ หันมาเงยหน้ามองเขาด้วยความเอียงอายดวงตากลมโตมีแววหวั่นไหวและเขินอายจนเขานึกเอ็นดู แต่...
“หึหึ นึกว่าเป็นอะไร ที่แท้ก็กลัวฉันจะรู้ว่าเธออยากทำอะไรๆ กับฉันบนรถ” เขาตั้งใจยั่วเธอและก็ได้ผล...
“หาความ... มนไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะคะ” เป็นคำพูดที่ยาวที่สุดในวันนี้เลยทีเดียวสำหรับมนตรา อัครวัฒน์แค่นยิ้มบางๆ แต่เธอคงไม่เห็นเพราะหนวดเคราที่ค่อนข้างยาวของเขามันปกปิดเอาไว้
หากเขาโกนหนวดเขาจะหล่อเหลาเหมือนในรูปที่เธอเคยเห็นหรือเปล่านะ...
มนตราแอบคิดในใจ หวนนึกถึงครั้งแรกที่เธอเห็นรูปของสามพี่น้องตระกูลดีแลนด์ที่บิดาของเธอบอกว่าสามคนพี่น้องนั้นใครเป็นใคร แต่ในรูปนั้นในสามพี่น้องคุณอัคราจะดูดิบเถื่อนกว่าพี่น้องอีกสองคนและอัครวัฒน์ก็ดูเป็นหนุ่มเจ้าสำอางขี้เล่นมากกว่าพี่ๆ ทั้งสองและเขาก็มีรอยยิ้มที่สวยมีเสน่ห์น่าประทับใจกว่าพี่ชายทั้งสองของเขาจนเธอติดตราตรึงใจรอยยิ้มนั้น และเมื่อได้ยินว่าเขาหมั้นหมายกับสาวไฮโซชื่อดังเธอก็ยังนึกอิจฉาหญิงสาวคนนั้นอยู่ไม่น้อยตามประสา เหมือนสาวๆ ที่แอบหลงใหลได้ปลื้มดารา แต่มันก็แค่นั้นเพราะเธอไม่ได้คิดว่าตนเองจะต้องได้เข้ามาข้องเกี่ยวอะไรกับคนเหล่านี้เพราะฐานะหน้าตาทางสังคมของเขาและเธอนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว... แต่ตอนนี้ เธอกับเขายิ่งกว่าเกี่ยวข้องกันเสียอีก...
“ไม่ได้คิดแล้วทำไมต้องหลบหน้าฉันด้วยทำเหมือนคนอื่นคนไกล”
“ก็มน... เอ่อ...” จะให้เธอบอกเขาได้อย่างไรว่าเธอไม่ได้หน้าหนาหนังหนาเหมือนเขาที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอ ไหนจะลูกน้องของเขาอีกที่ป่านนี้ก็คงรู้กันหมดแล้วว่าเธอกับเขามีอะไรๆ กันไปถึงไหนต่อไหน...
“เอาล่ะฉันไม่อยากเถียงอะไรกับใครกว่าจะถึงไร่พี่เด่น ฉันว่าเราหาอะไรทำกันเพลินๆ ดีกว่าไหม...”
คำว่าหาอะไรทำเพลินๆ ของเขายิ่งทำให้เธอหน้าแดงจนรู้สึกร้อนซู่ไปทั้งกาย มนตรมองเขาตาโตแล้วลอบกลืนน้ำลายอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะหื่นมากขนาดนี้เห็นท่าทางนิ่งๆ เงียบๆ เย็นชาเหมือนไม่ใส่ใจอะไรของเขาแล้วมันช่างแตกต่างกับความเร่าร้อนที่เธอรู้ดีว่ามันร้อนแค่ไหนของผู้ชายที่ชื่อว่า อัครวัฒน์ ดีแลนด์
“ตะ แต่ว่า เรา เพิ่ง เอ่อ...” มนตราอึกอักพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
“อะไร เธอคิดว่าฉันจะให้เธอทำอะไร ฉันไม่คิดจะมีเซ็กซ์กับผู้หญิงคนไหนบนรถของฉันหรอก ถึงแม้ว่าอยากจะทำก็เถอะ การที่รถวิ่งอยู่บนถนนมันอาจจะเร้าใจและตื่นเต้น แต่มันอาจจะทำให้เป็นจุดสนใจจนตำรวจเรียกตรวจก็ได้แล้วเธอคิดดูสิ หากเจอด่านตรวจในขณะที่ฉันอยู่ในตัวเธอ มันจะเกิดอะไรขึ้น...”
“คุณโดม... ไม่ต้องพูดหมดก็ได้ค่ะ มนก็ไม่ได้อยากจะทำอะไรแบบนั้นเลยนะคะ”
“เหรอ ก็ไม่รู้สินะ แต่เมื่อคืนเธอร้องเสียงดังไปนะ...”
“คุณโดม...” หญิงสาวหน้าแดงจัดร้อนผ่าวไปทั้งหน้าและทั้งตัวด้วยความอับอาย นี่เขาจะต้องทำให้เธอได้อายไปเสียทุกเรื่องใช่ไหม...
หญิงสาวสะบัดหน้าหนีคนตัวโตที่ทำเสียงหัวเราะในลำคออย่างไม่อยากจะทนดูหน้าเขาได้อีกต่อไปแต่ร่างกายเจ้ากรรมก็ตอบรับคำพูดของเขาด้วยอาการเสียววูบแปลกๆ ในช่องท้องเสียด้วยนี่สิมันน่าโมโหนัก...
“เอาเป็นว่าเราไม่พูดเรื่องบนเตียงก็ได้ ไหนลองเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังหน่อยสิ”
“คุณก็น่าจะรู้เรื่องมนดีนี่คะ จะถามมนอีกทำไม...” น้ำเสียงสูงเหมือนจะโกรธทั้งที่รู้ตัวดีว่าตนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะโกรธเขา...
“ฉันว่าเธอเล่าเรื่องของเธอมาดีกว่า ก่อนที่ฉันจะทำอย่างที่พูดไปเมื่อครู่ โดยไม่สนใจว่าตำรวจจะเรียกตรวจรึเปล่า...” เขาพูดเชิงขู่ประชดพลางเหลือบตามองคนที่ตวัดสายตามองค้อนเขาอย่างอดไม่ได้...
ความจริงแล้วเขาไม่ได้แคร์ว่าเธอจะมีความรู้สึกอย่างไรแต่เขาต้องเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะต้องการให้ตนเองเลิกคิดเรื่องที่ทำให้กายแกร่งของเขาร้อนรุ่มมากกว่าเดิมจนอยากจะทำเรื่องอย่างว่ากับบนรถเสียตามที่พูด เขาไม่น่าเริ่มเรื่องเลย บัดซบจริงๆ อัครวัฒน์ก่อนด่าตัวเองเงียบๆ ที่รนหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนจนทรมาน...
“ค่ะ ท่านเจ้าชีวิต ท่านอยากรู้เรื่องไหนก่อนล่ะคะ”
“หึหึ เข้าใจประชด... เอาเป็นว่า เธอลองเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าระหว่างฉันกับผู้ชายที่เธอผ่านๆ มา ลีลาฉันเด็ดกว่าทุกคนที่เธอเคยนอนกับมันรึเปล่า...” ทั้งที่รู้ว่าตนเองคือผู้ชายคนแรกของเธอแต่อัครวัฒน์ก็เลือกที่จะทำร้ายจิตใจเธอด้วยคำถามที่ทำให้คนฟังน้ำตาตกในจนต้องขบริมฝีปากที่สั่นระริกของตนไว้จนห้อเลือด...
“ลีลาคุณก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ... ก็แค่ทำให้มนหลงไปชั่วขณะ เทียบกับผู้ชายคนแรกของมนแล้วคุณยังห่างชั้นค่ะ...” พูดไปแล้วก็แทบกัดลิ้นตัวเองที่กล้าหาญชาญชัยพูดออกไปได้อย่างนั้นและรู้สึกอับอายเมื่อเขาหัวเราะเสียงดังเหมือนเยาะเย้ยเธอ...
“จริงเหรอ... งั้นไว้คืนนี้ฉันจะลองท่าใหม่ๆ เผื่อทำให้เธอติดใจจนลืมผู้ชายทุกคน” ชายหนุ่มพูดเพื่อเปิดทางให้ตัวเองและเพื่อให้เธอเตรียมใจไว้ว่า ถึงอย่างไรคืนนี้เขาก็จะไม่พลาดที่จะทำตามที่พูดแน่นอนและเขารู้สึกดีที่เธอพูดจาตอบโต้กับเขาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ก้มหน้าหลบหน้าหลบตาเขาอยู่แบบนี้ ชีวิตเขาเริ่มมีสีสันอีกครั้งแล้วสินะ...
“คุณมัน...”
“ฉันเซ็กซ์จัด บอกให้รู้ไว้เลย...”
อัครวัฒน์กล่าวยิ้มๆ ด้วยประกายตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะล้มตัวลงนอนหนุนศีรษะกับตักนุ่มของเธอเป็นการตัดบทสนทนาเสียอย่างนั้นซึ่งมนตราเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมเป็นหมอนให้เขาหนุน หญิงสาวก้มมองใบหน้าคมเข้มที่รกครึ้มซึ่งหลับตาพริ้มอยู่บนตักของตนเองด้วยความสับสน... เธอไม่มีทางรู้ไดเลยว่าเขาจะมาไม้ไหนกับเธอ...
คุณโดม คุณจะทำอะไรกับฉัน คุณเป็นคนอย่างไรกันแน่...
มนตราเฝ้าถามเขาในใจ คำถามนี้เธอจะได้คำตอบแบบไหนเธอก็ไม่อยากจะคาดเดาหรือคาดหวังรู้แต่ว่าเธอต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า อย่าหลงรักเขา เป็นอันขาด...
ใบหน้าอ่อนใสของคนที่เป็นหมอนให้เขาหนุนมาตลอดทางนั้นดูแสนจะธรรมดาหากมองผ่านเลย แต่หากมองอย่างจริงจังแล้วมันแทบทำให้คนมองไม่อาจจะถอนสายตาจากวงหน้าเรียวนี้ได้เลย... และเขาก็เช่นกันเขาแทบจะถอนสายตาจากวงหน้าเรียวหมดจดของมนตราไม่ได้เลย เขามองเธอเหมือนต้องมนต์จนต้องมองเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก
“แม่มด...” อัครวัฒน์กล่าวเบาๆ กับดวงหน้าใสของคนตัวเล็ก ดวงตาหลับพริ้มกับริมฝีปากอวบอิ่มที่เผยอน้อยๆ นั้นราวจะเชิญชวนให้คนมองจุมพิตกระนั้นมันสร้างความทรมานให้เขาอีกแล้ว... ตลอดเวลาที่นั่งรถมาเขาเองก็แทบจะหลับไม่ลงก็เพราะกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายสาวมันคอยยั่วยุให้เขาตื่นอยู่ตลอดเวลา ซ้ำ เจ้าโดมน้อย ก็ทำท่าว่าจะลุกสู้ศึกไม่รู้เวลาร่ำเวลาด้วยนี่สิมันช่างน่าโมโหจริงๆ
“คุณโดมจะให้ผมปลุกเธอหรือจะให้ผมอุ้มเธอเข้าไปในเรือนโดมดีครับ...” แดนนี่ถามเจ้านายเบาๆ เมื่อเขาลงมาเปิดประตูให้เจ้านายตามหน้าที่ทำให้เจ้านายหนุ่มตื่นจากภวังค์แล้วตวาดกลับไป
“ไม่ต้อง... นายไปดูแลความเรียบร้อยรอบๆ บ้านกับดาเนียลเถอะ หากฉันไม่เรียกหรือหากไม่มีอะไรด่วนคอขาดบาดตายไม่ต้องเสนอหน้ามาให้เห็นหน้า”
“ครับ...”
แดนนี่รับคำแล้วหันมาสบตากับดาเนียลผู้เป็นคู่หูก่อนจะยิ้มอย่างเข้าใจในอารมณ์ของเจ้านายแล้วแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนอย่างรู้งาน...
“อ้าวแดนนี่แล้วเจ้านายนายล่ะ...” ในขณะที่แดนนี่กำลังเดินผ่าน เรือนเด่น ซึ่งเป็นเรือนไม้สักทรงไทยหลังงามกว้างใหญ่เด่นตระหง่านอยู่บนเนินเขาเขียวขจีสมกับชื่อเรือน อัคราเจ้าของไร่หน้าเข้มก็เอ่ยถามเมื่อเขาเดินออกมาต้อนรับน้องชายแล้วพบบอดีการ์ดหน้าหยกก่อนเห็นหน้าน้องชาย
“กำลังใช้มนต์สะกดแม่มดไม่ให้ตื่นมั้งครับ”
“แม่มด... อะไรยังไงวะ...” อัคราทำหน้างงกับมุกของแดนนี่ซึ่งกล่าวยิ้มๆ นัยน์ตาดูเจ้าเล่ห์เหมือนเจ้านายของเขาสมัยก่อนที่จะสูญเสียคนรักไม่มีผิด...
“คุณเด่นรอดูสิครับ...”
“แน่ะ มีกั๊กด้วยโว้ยไอ้หมอนี่ เออๆ นายจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ แหม... เหมือนเจ้านายไม่มีผิดเลยนะเรา...” อัคราพอจะเข้าใจนิดหน่อยแต่ก็ยังรอดูท่าทีของน้องชายเงียบๆ เมื่อเห็นอัครวัฒน์ช้อนอุ้มร่างเล็กๆ ของสาวน้อยคนหนึ่งออกมาจากรถยนต์คันใหญ่หรูหรา...
อ้อ... แม่มด เขาเข้าใจแล้ว... ผู้เป็นพี่ชายถึงบางอ้อเมื่อเห็นท่าทางอ่อนโยนของน้องชาย
ความหวังของพวกเขาที่จะได้น้องชายคนเดิมกลับคืนมาเริ่มเรืองรองอีกครั้ง เขาจะต้องบอกทุกคนให้รับรู้...
อัครากอดอกมองน้องชายนิ่งใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยหนวดเคราไม่ต่างจากน้องชายนั้นดูเหมือนจะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาแต่ภายใจในของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความยินดี...
“ให้ช่วยอะไรไหมน้องชาย”
“ไม่ต้องครับ ผมจัดการเองได้...” พูดจบอัครวัฒน์ก็อุ้มร่างเล็กๆ ในอ้อมแขนเดินจากไปไม่ทันจะให้พี่ชายของตนได้เห็นหน้าเธอด้วยซ้ำ และดูเหมือนเจ้าหล่อนจะหลับสนิทชนิดที่ว่าหลับลึกมากถึงได้หลับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวขนาดนั้น นั่นแสดงว่าคงรับอารมณ์ของน้องชายเขามาหนักหนาพอดูทีเดียว และแววตาของพี่ชายก็ทำให้ใบหน้านิ่งๆ ของน้องชายขึ้นสีเล็กน้อยพอที่อัคราทันได้เห็นมันด้วย...
“หึหึ เจ้าโดมเอ๋ย หวังว่าคงจะไม่หลงเสน่ห์นางแม่มดเข้าเสียล่ะ” อัคราพูดเบาๆ กับตัวเองมองตามหลังน้องชายเบาๆ ก่อนจะโทรศัพท์รายงานทุกคนทางบ้านดีแลนด์ให้รับรู้...
เรือนโดม เป็นเรือนไม้สักชั้นเดียวกะทัดรัดยกสูงจากพื้นเล็กน้อยปลูกอยู่บนเนินเขาซึ่งอยู่ถัดจากเรือนเด่นประมาณร้อยเมตร ทางเชื่อมระหว่างเรือนนั้นปูอิฐศิลาแลงและระหว่างทางเดินก็ปลูกไม้ดอกไม้ประดับไทยๆ และหายากซึ่งมีดอกให้กลิ่นหอม และมันก็ส่งกลิ่นหอมละมุมละไมไปทั้งเรือนทำให้คนที่หลับสนิทมาตลอดหลายชั่วโมงขยับกายยุกยิก จมูกเล็กขยับฟุดฟิดๆ สูดกลิ่นหอมสะอาดจรุงใจเข้าปอดอย่างลืมตัว ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกได้ว่าตนเองนั้นกำลังเดินทางและอยู่บนรถกับเขา...
“คุณโดม...” ร่างบางผวาเฮือกจากที่นอนนุ่มสบายแล้วหันซ้ายหันขวาหน้าตื่นก่อนจะถอนใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าตนนั้นอยู่คนเดียวในห้องนอนกว้างใหญ่
แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็คงเป็นเขานั่นล่ะพามา...
เธอถามและตอบตนเองเสร็จสรรพแล้วดวงตากลมโตก็เริ่มสำรวจภายในห้องอย่างสนใจและค่อนข้างจะตื่นตาตื่นใจกับท่อนไม้เงาวับซึ่งเธอก็รับรู้ได้ว่ามันคงเป็นไม้สักทั้งหลังแน่นอน...
เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นภายในห้องเป็นไม้ที่ออกแบบกึ่งโบราณดูทันสมัยและคลาสสิกลงตัวอย่างเช่นเตียงกว้างที่เธอนอนอยู่ในขณะนี้ เตียงสี่เสาประดับด้วยทองเหลืองแกะสลักงดงามเลียนแบบของเก่าประดับด้วยมุ้งผ้าบางพลิ้วดูอ่อนใสแต่ก็ดูแข็งแกร่งอยู่ในที ลมเย็นๆ จากภายนอกที่มีแสงไฟสลัวๆ ซึ่งเธอไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไหร่แล้วพัดผ่านหน้าต่างบานกว้างเข้ามาในห้องทำให้ม่านสีขาวไหวพลิ้วให้ความรู้สึกอ่อนหวานโรแมนติกจนเธอวาดฝันว่าตนเองเป็นนางในวรรณคดีไทยที่กำลังเข้าหอกับพระเอกผู้อ่อนโยนโรแมนติกเหมือนในหนังสือวรรณคดีไทยที่เธอเคยอ่านกระนั้น...
แต่อัครวัฒน์ไม่ใช่พระเอกที่นุ่มนวลอ่อนโยนอ่อนหวานเหมือนพระเอกในวรรณคดีไทยสักเท่าไหร่หรอกนะ เขาค่อนข้างจะไปทางวรรณคดีฝรั่งและยังเป็นตัวร้ายอีกด้วย เป็นซาตานอย่างไรล่ะ...
เสียงเล็กๆ ดังแย้งความคิดของตนทำให้มนตรารู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที...
“หิวไหม...” อยู่ๆ เสียงคุ้นหูของคนที่เธอเพิ่งนินทาไปในใจก็ดังขึ้นทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อยหน้าตื่นหันไปตามเสียง
“คุณโดม...”
“ใช่ฉันเอง เธอคิดว่าใครล่ะ” น้ำเสียงนั้นฟังดูพาลๆ ชอบกลทั้งที่เธอยังไม่ได้ทำอะไรให้เขาสักหน่อย...
“นี่กี่โมงแล้วคะ”
“สามทุ่ม...”
“สามทุ่ม...” เธอทวนคำพูดเขาตาโต นี่เธอหลับสนิทมาตั้งเกือบหกชั่วโมงเลยหรือ
“ใช่สามทุ่ม ทำไม...”
“แล้วคุณหิวไหมคะ...”
เธอถามแล้วค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงด้วยแข้งขาที่ค่อนข้างสั่นเล็กน้อย การอยู่ในห้องนอนสองต่อสองกับเขามันไม่ใช่สิ่งที่ดีสักเท่าไหร่และมันพลอยทำให้เธอหวั่นไหวในสั่นหวิวไปด้วย
“ฉันถามเธอก่อนนะ”
“คือ มนหิวค่ะ หิวมากเลย...” ก็ไม่ได้กินอะไรมาตั้งหลายชั่วโมงเธอขอกินอะไรก่อนจะดีกว่า เผื่อว่าสมองของเธอจะทำงานได้เร็วและประมวลผลอะไรๆ ได้ดีกว่านี้...
มนตราคิดในใจขณะเดินถอยไปตั้งหลักที่โต๊ะกลมทรงสวยริมหน้าต่างที่คิดว่ามันห่างจากเขาพอและปลอดภัย แต่เธอไม่รู้เลยว่าการที่เธอเดินไปหยุดยืนตรงนั้นมันยิ่งทำให้ตนเองเป็นจุดสนใจของเขามากขึ้นเมื่อแสงไฟจากข้างนอกนั้นมันลอดผ่านชุดนอนฝ้าฝ้ายสีขาวนวลตาที่สวมอยู่ให้เห็นเป็นรูปเงาร่างอรชรและสีขาวกระจ่างของเนื้อผ้าก็ส่งผลให้เธอโดดเด่นอยู่ตรงหน้าเขา เรือนผมยุ่งเหยิงเล็กน้อยกับสีหน้าตื่นๆ ของเธอก็ยิ่งกระตุ้นราคะในกายของเขาให้ระอุร้อนขึ้นมาอย่างไม่อาจจะห้ามได้ เจ้าโดมน้อยคึกขึ้นมาอีกแล้ว...
“อื้ม ถ้าอย่างนั้นก็ตามมา...”
เขาพูดสั้นๆ แล้วเดินนำหน้าเธออกไปทำให้มนตราจำต้องเดินตามร่างสูงที่ยังอยู่ในชุดเดิมตอนมาไปพลางคิดในใจว่าเขาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอเสียหมดจดแล้วเขาทำไมยังอยู่ในชุดเดิมหรือเขาให้ใครมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ
หากเป็นเมื่อก่อนมนตราคงอยากจะให้เป็นแม่บ้านหรือคนอื่นที่เป็นผู้หญิงมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตน แต่หลังจากที่เธอถูกเขาสอนบทเรียนรักจนแทบจะหมดเรี่ยวแรงเมื่อวานนี้จนร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งศึกรักเร่าร้อนเธอก็มีความรู้สึกว่าหากเป็นเขาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ เธอจะรู้สึกดีใจและอุ่นใจกว่าที่จะให้ใครมาเห็นร่องรอยน่าอายพวกนั้น...
“อุ๊ย...” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจเมื่อเขาหยุดกะทันหันจนเธอชนกับแผ่นหลังกว้างของเขาเต็มแรงและตื่นจากภวังค์คิดสับสนก่อนจะเงยหน้ามองเขาอย่างงงๆ
“นั่งลงสิ แล้วก็รีบๆ กิน ฉันมีเรื่องจะต้องคุยและ ทำ กับเธอมากมาย...” คำพูดของเขาทำให้เธอหน้าแดงก่ำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้และความหิวที่มีก่อนหน้าแทบจะบินหายไปลับตาเมื่อคิดว่าสิ่งที่เขาจะทำนั้นมันคืออะไร ข้าวต้มหอมกรุ่นยั่วน้ำลายตรงหน้าก็แทบจะไร้ความหมายไปเลยทีเดียว...
“เอ๊า... กินสิ นี่แม่บ้านเขาต้องมาเอามันไปอุ่นถึงสองรอบเพื่อรอเธอตื่นมากินนะ จะมามัวอ้อยสร้อยทำไม หัดเกรงใจคนอื่นเขาบ้าง ดึกแล้วพวกเขาก็อยากพักผ่อน...”
“ค่ะ...” สิ่งที่เขากล่าวออกมามันทำให้เธอจำต้องกินอาหารตรงหน้าแม้ว่าลิ้นแทบจะไม่รู้รสมันเลยก็ตาม...
