บท
ตั้งค่า

บทที่ 16. ดั่งดวงใจคืนเรือน...

อัครวัฒน์สะดุ้งตื่นด้วยอาการของคนที่หัวใจจดจ่ออยู่กับการ ตามหาลูกเมีย ชายหนุ่มรีบก้าวลงจากเตียงเพื่ออาบน้ำแต่งตัวออกไปตามหามนตราเหมือนเช่นทุกวันแต่เสียงเตือนข้อความที่ดังเข้ามาทำให้เขารีบเปิดดูอย่างรวดเร็วด้วยความหวังเพราะทุกๆ วินาทีที่มีข้อความหรือเสียงแจ้งเตือนใดๆ เข้ามาในโทรศัพท์นั้นเสมือนความหวังอันสูงสุดของเขา... ข้อความนี้ก็เช่นกัน

และทันทีที่อัครวัฒน์ปิดดูข้อความในครั้งนี้ มือใหญ่ของเขาก็สั่นระริกด้วยความยินดี น้ำตาลูกผู้ชายรื้นเต็มสองดวงตาคม เขาไม่คิดเลยว่าเพียงภาพภาพเดียวบนหน้าจอสมาร์ตโฟนเครื่องหรูนี้จะมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงนี้...

“มนตรา... โอ... คุณพระ... ไม่น่าเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อเลย...” อัครวัฒน์รีบแต่งตัวแล้วลงไปยังรถยนต์คันหรูพร้อมทั้งโทรศัพท์สั่งการลูกน้องคนสนิททันที เมื่อเจอหน้าบิดามารดาเขาก็รีบเข้าไปรายงานพวกท่านด้วยความตื่นเต้น...

“ผมเจอมนแล้วครับคุณพ่อ คุณแม่ พี่เด่นเพิ่งส่งข้อความมาให้ผมเมื่อกี้นี้เอง เธออยู่ที่ไร่เวียงดารา ไร่ของคุณแม่นี่เอง... แต่ เอ๊ะ... นี่ทุกคนรู้มาตลอดเลยใช่ไหมครับว่ามนอยู่ที่นั่น” ชายหนุ่มหันมาถามในขณะที่กำลังจะเดินออกไปเหมือนนึกขึ้นได้

“เอ... เจ้าลูกคนนี้ ยังไม่ไปหาเมียอีก จะมาสงสัยอะไรกันอีกฮึ...” คุณดาราดุลูกชายกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าขึงขัง คุณอีริคหัวเราะหึหึในลำคอ ในขณะที่อัครวัฒน์ส่ายหน้ายิ้มๆ กับความร้ายกาจของมารดา เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเลยในตอนนี้ เมื่อเข้าใจแล้วว่าทุกคนในครอบครัวนั้นหวังดีกับตนเพียงใด... อัครวัฒน์เดินมาทรุดนั่งลงตรงหน้าบิดามารดาซึ่งนั่งจิบกาแฟอยู่ที่ห้องโถงแล้วก้มกราบท่านทั้งสองด้วยความซาบซึ้ง...

“ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากนะครับ ที่ทำให้ลูกคนนี้เกิดมาพบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ ต่อไปนี้ผมจะไม่เอาแต่ใจหรือคิดแค้นใคร ผมรู้แล้วว่าความสูญเสียมันเจ็บปวดแค่ไหน และก็คงไม่มีใครอยากจะเจ็บปวด และที่สำคัญความโกรธแค้นอย่างคนไร้สตินั้นมันไม่ได้ให้ประโยชน์กับใครเลย ซ้ำยังทรมานเราอีกด้วย...”

“แม่รู้จ้ะ... ไปได้แล้วลูก ไปพาลูกเมียเรากลับมา อย่าเพิ่งมาขอบคุณแม่ตอนนี้เลย ง้อเมียให้สำเร็จก่อนเถอะค่อยมาขอบคุณแม่น่ะ” คุณดาราลูบเรือนผมดกหนาของบุตรชายอย่างรักใครแล้วก้มลงจุมพิตหน้าผากของเขาเหมือนว่าเขายังเป็นเด็กชายโดมตัวเล็กๆ แสนซน

“ครับ ผมจะพาลูกเมียมากราบคุณพ่อกับคุณแม่ให้ได้...” ชายหนุ่มยิ้มกว้างด้วยความสุขที่ฉาบฉายอยู่บนใบหน้า

มนตราเมินหน้าหนีคนตัวโตที่เดินยิ้มกว้างมาหาอย่างพยายามระงับความตื่นเต้น แม้ในใจสาวจะหวั่นไหวกับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ของเขามาเพียงใดก็ตามแต่ทิฐิในใจก็ยังมีอานุภาพเหนือกว่าความคิดถึงเขาอยู่นั่นเอง

“มน น้องมน... ดีใจเหลือเกินที่เจอน้องมนเสียทีรู้ไหมว่าพี่โดมตามหานองมนแทบพลิกแผ่นดิน...”

“กรุณาไปไกลๆ ฉันกับลูกด้วยค่ะ เหม็นขี้หน้าคนหลอกลวง ใจร้าย...” คำพูดที่สวนกลับมาทำให้อัครวัฒน์หุบยิ้มทันที ยิ่งเห็นความเย็นชาในหน้าของเธอหัวใจก็ยิ่งห่อเหี่ยว แต่เมื่อเห็นบรรดาพี่ๆ และครอบครัวซึ่งแอบซุ่มคอยส่งแรงเชียร์มาให้ชายหนุ่มก็สูดหายใจลึกๆ ยิ้มสู้ความเย็นชาของเธอ

จากคำบอกเล่าของยอดรักกับบารนีมันทำให้เขาพอมีความหวังอยู่บ้างหรอกน่า มนตราต้องมีใจให้เขาบ้าง เธอต้องรักเขาเหมือนอย่างที่เขารักเธอสิ...

“น้องมนทานอะไรรึยังจ๊ะ วันนี้จะกินอะไรดีเดี๋ยวพี่จะทำให้กิน”

“ฉันบอกว่าให้ไปไกลๆ ไง คนอะไรหน้าด้านหน้าทนที่สุด ไล่แล้วยังไม่ไปอีก” หญิงสาวหันมาทำตาเขียวใส่เขาทั้งที่หัวใจพองโตกับคำพูดหวานๆ ที่ทำให้เธอหวั่นไหวจนเกือบจะเลิกล้มความตั้งใจเดิม...

“พี่ว่าวันนี้เราทานแกงส้มดอกแคดีไหม เมื่อกี้พี่ขับรถมาเห็นดอกแคสีแดงสีขาวเต็มต้นเลยทั้งสวยดี มีประโยชน์ และแคร์คุณ...” อัครวัฒน์ทำมือเป็นรูปหัวใจแล้วยิ้มหวานให้

“หึ... คนบ้า...” ว่าแล้วมนตราก็หน้าแดงจัดกับคำพูดเปรียบเปรยของเขา

“ถ้าอย่างนั้นเราไปเก็บดอกแคด้วยกันไหมจ๊ะ”

“ไม่ไป ใครจะไปก็ไปเลย...” คนถูกชวนไปเก็บดอกแคสะบัดหน้าเดินหนีไปด้วยหัวใจเต้นกระหน่ำ จึงไม่ได้เห็นแววตาอ่อยโยนของเขา อัครวัฒน์ยิ้มพรายหัวใจหนุ่มชุ่มชื่นเพียงแค่ได้เห็นหน้าใสๆ ตาวาวๆ ยามโกรธขึ้งของเธอ มนตราดูเปล่งปลั่งอวบอิ่มน่ารักน่าปรารถนามากขึ้นหลายเท่านัก

มนตราสวยกว่าที่เขาจำได้เธอน่าปรารถนาจนเขาปวดร้าวไปทั้งกายแกร่งทั้งที่พยายามบอกให้ตนเองจดจ่ออยู่ที่การเอาชนะใจเธอให้ได้เสียก่อน แต่ใจหนุ่มคะนองก็เฝ้าแต่จะคิดถึงเรือนร่างนุ่มๆ ที่ส่ายพลิ้วอยู่ใต้ร่างแกร่งของตนจนน่าโมโห

“ไอ้บ้าโดม คิดนอกลูกนอกทางอีกแล้วนะนาย...” เขาต่อว่าตัวเองในใจแล้วเดินกลับไปเก็บดอกแคที่ปลูกอยู่รายทางก่อนถึงเรือนใหญ่ซึ่งมีทั้งดอกแคสีขาวและสีแดงออกดอกสะพรั่งเต็มต้นให้ผู้คนเก็บกินได้ทั้งหมู่บ้านเลยทีเดียว...

หลายวันผ่านไปที่อัครวัฒน์เพียรพยายามเอาชนะใจหญิงสาวผู้เคยตกเป็นเหยื่อความแค้นของตน แต่ตอนนี้เขาเสียเองที่ตกเป็นเหยื่อความโกรธของมานตราแทน และเจ้าหล่อนก็แสนงอนและอารมณ์แปรปรวนประสาคนท้องคนไส้ และมนตราในอายุครรภ์สี่เดือนเศษก็ยิ่งสวยวันสวยคืนเปล่งปลั่งงดงาม จนคนง้อแทบจะอดใจไม่ไหวอยากจะทำตามใจตัวเองเสียหลายต่อหลายครั้งให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่เมื่อเขาเห็นความใจเด็ดใจแข็งของเธอแล้วอัครวัฒน์ก็ไม่กล้าเสี่ยงขัดใจ...

“น้องมนจ๋า มาทานข้าวได้แล้วครับคนดี...”

“ไม่ต้องมายุ่งได้ไหม หากหิวเดี๋ยวจะหากินเอง...”

หญิงสาวหน้าบึ้งปิดหนังสือแม่และเด็กที่อ่านอยู่แล้วมองเขาตาเขียว รู้สึกขัดใจกับคนที่เข้ามาวุ่นวายเจ้ากี้เจ้าการกับเธอเกือบทุกเรื่องอย่างหน้าทน และไม่มีทีท่าว่าเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้ที่บ้านไร่เวียงดารามีเพียงเขาและเธออยู่ด้วยกัน บรรยากาศแสนดีธรรมชาติแสนสวยหากเป็นคู่รักที่รักใคร่กันดีมันคงดีไม่น้อยแต่สำหรับเขาและเธอเสมือนมีอะไรบางๆ ขวางกั้นหัวใจทั้งสองดวงเอาไว้ แม้อัครวัฒน์จะดีกับเธอเอาใจใส่ดูและเธออย่างดีเยี่ยม แต่ยิ่งเขาดีมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งกลัว... มนตราเมินหน้าหนีคนตัวโตที่ยิ้มแฉ่งมาให้ด้วยความหวาดหวั่นในใจ ที่ผ่านมาเธอก้ได้เห็นแล้วว่าที่อัครวัฒน์ทำดีด้วยเพราะอะไร...

“หากไม่ยุ่งกับเมียจะไปยุ่งกับใครล่ะครับ ไม่เอาไม่ทะเลาะกันนะ เดี๋ยวลูกเราจะหน้ายุ่ง...”

“เมื่อไหร่คุณจะกลับไปคะ”

“ทำไมน้องมนพูดแบบนี้ล่ะครับ เมียอยู่ที่ไหนผัวก็ต้องอยู่ที่นั่นสิครับ”

“ฉันจำได้ว่าไม่เคยแต่งงานกับคุณนะคะ และเราก็ไม่ได้มีสถานะอะไรที่เกี่ยวข้องกันแล้ว แม้แต่แฟน หรือคนรัก เราก็ไม่เคยใช้มันร่วมกันมาก่อน...” คำพูดของเธอทำให้อัครวัฒน์สะอึกถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว...

“พี่...”

“พอเถอะค่ะ หากคุณจะทำทุกอย่างให้ฉันเพื่อไถ่โทษ หรือเพราะรู้สึกผิดที่หลอกใช้ฉันเพื่อนแก้แค้น เราจบสิ้นกันไปแล้ว ฉันยกโทษให้คุณ เราเป็นอิสระต่อกัน... ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ ถือว่าเราให้โอกาสกันและกัน ให้อิสระกันและกัน ฉันอาจจะได้เจอผู้ชายสักคนที่รักฉันจริงและพร้อมจะดูแลฉันกับลูก คุณเองก็อาจจะเจอผู้หญิงดีๆ ที่เหมาะสมกับคุณทุกๆ ด้าน ผู้หญิงที่ไม่ใช่ลูกสาวพ่อบ้านกระจอกๆ อย่างฉัน...”

มนตราตัดสินใจพูดออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองมีหวังอะไรลมๆ แล้ง หรือคิดไปเองอย่างที่ผ่านมา...

“คือ...” อัครวัฒน์มัวแต่อึ้งกับคำพูดตรงไปตรงมาของเธอ ทั้งยังอึกอักคิดอะไรไม่ทันขึ้นมาจนน่าโมโห ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่ชาญฉลาดคล่องแคล่วว่องไวอย่างเขาบทจะทึ่มขึ้นมาก็เป็นตาทึ่มได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ สรุปแล้วเขาก็ได้แต่ยืนมองหญิงสาวเดินเข้าห้องซ้ำยังปิดประตูใส่หน้าเขาเสียงดังอีกด้วย...

“เฮ้อ... แล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะเนี่ย โว้ย ไอ้โดม ไอ้บ้า นี่นายเป็นอะไรของนาย...” อัครวัฒน์เสยผมของตัวเองอย่างหงุดหงิดแล้วนั่งลงกับพื้นด้วยอาการซังกะตาย

การง้อเมียมันยากถึงเพียงนี้เชียวหรือวะ แต่เขาก็รู้ซึ้งแล้วว่าทำไมผู้ชายคนหนึ่งถึงอดทนทำทุกอย่างเพื่องอนง้อผู้หญิงที่ตนรัก เขายังจำได้ว่าตอนที่อัคนีตามง้อบารนีนั้นมันทุกทรมานเพียงใดที่เมียไม่ยอมเปิดใจ ไม่ยอมคืนดีด้วย

ตอนนั้นเขาหัวเราะเยาะพี่ชายว่าไม่มีน้ำยาไม่มีความสามารถ แต่ตอนนี้เขานี่ล่ะไม่มีน้ำยาไร้ความสามารถอย่างที่สุด ครั้นจะโทรศัพท์ไปหาพี่ชายทั้งสองก็คงถูกหัวเราะเยาะแน่ๆ ยิ่งอัคนีก็คงจะซัดเขาคืนเท่าตัวเลยทีเดียว... อัครวัฒน์นั่งหน้าตูมอยู่กับตนเองเพื่อหาทางงอนง้อมนตราอยู่อย่างไม่ลดละ พลันเขาก็นึกถึงใครบางคนขึ้นได้...

“ใช่แล้ว โธ่ เอ๊ย ลืมคนคนนี้ไปได้ยังไงนะ...”

พระสงฆ์ที่กำลังกวาดลานวัดอยู่ด้วยท่าทางทะมัดทะแมงแลดูมุ่งมั่นและมีความสงบอยู่ในทีนั้นทำให้อัครวัฒน์นิ่งมองอย่างชื่นชมในอานุภาพของพระพุทธศาสนาที่สามารถสร้างความน่าเลื่อมใสและงดงามให้กับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งในอดีตนั้นติดทั้งการพนันเกเรเหลวไหลและกระทำเรื่องผิดพลาดจนทำให้หลายๆ คนต้องสูญเสียทั้งชีวิตและน้ำตามาแล้ว

และไม่น่าเชื่อเลยว่าวันนี้เขาจะมาหาคนที่เคยคิดแค้นใจถึงขนาดว่าสามารถฆ่าได้เลยทีเดียว... แต่ตอนนี้เขากำลังจะมาขอร้องให้คนคนเดียวกันนี้แต่ต่างสถานะกันช่วยเหลือ...

“นมัสการครับหลวงพี่..” อัครวัฒน์นั่งในท่าเทพบุตรพนมมือไหว้ผู้ครองจีวรสง่างามซึ่งยิ้มบางๆ ให้เขา

“เจริญพรเถอะโยม มีอะไรให้อาตมาช่วยเหลือหรือไร...”

“มีเยอะเลยครับ...”

แล้วอัครวัฒน์ก็พูดเข้าเรื่องที่ทำให้เขามาที่นี่ในวันนี้ พระมิ่งเมืองนิ่งฟังเรื่องที่ชายหนุ่มเล่าด้วยความสงบและมองชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มๆ ด้วยความขบขันและเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม...

“ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลย มารบกวนหลวงพี่ ก็แล้วแต่หลวงพี่จะกรุณา...” อัครวัฒน์กล่าวเก้อๆ ยอมรับว่าขัดๆ เขินๆ กับเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่เขาไม่รู้จะพึ่งพาใครจริงๆ

“เอาเถิดโยม... ถึงอย่างไรอาตมาก็ยินดีจะช่วยเหลือผู้ที่ได้รับทุกข์ ให้ได้พ้นจากทุกข์...”

มนตราตื่นแต่เช้าและมารอคอยใส่บาตรพระสงฆ์ซึ่งจะเดินผ่านหน้าไร่เวียงดาราเป็นประจำทุกวันเป็นปกติ ซึ่งวันนี้เธอค่อนข้างแปลกใจที่อัครวัฒน์ไม่มารอใส่บาตรกับตนเหมือนทุกวัน ทำให้หญิงสาวใจหายเล็กน้อยในใจก็นึกว่าเขาคงถอดใจและคงกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว แม้จะนึกน้อยใจและเสียใจ ที่สุดท้ายก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าอัครวัฒน์รักเธอ แต่แล้วเธอก็ต้องเจ็บปวดเหมือนเดิม...

มนตราถอนหายใจอย่างหดหู่แต่ก็พยายามข่มใจตัดเรื่องวุ่นวายใจออกจากหัวเพื่อรอใส่บาตรทำบุญให้จิตใจเป็นสุข หญิงสาวยอบกายนั่งบนส้นเท้ารอให้พระสงฆ์สามรูปซึ่งเดินขึ้นเนินเขามาลิบๆ นั้นด้วยหัวใจที่เป็นสุขดังเช่นพุทธศาสนิกชนทั่วไปที่ได้ทำบุญใส่บาตร เมื่อเท้าของพระสงฆ์ทั้งสามรูปเดินมาหยุดตรงหน้า หญิงสาวก็ยกขันใส่ข้าวสวยขึ้นเหนือศีรษะเพื่ออธิษฐานก่อนจะลุกขึ้นตักข้าวใส่บาตรพระสงฆ์ทีละรูปโดยไม่ได้เงยมองหน้าพระ จนเมื่อใส่ไปถึงรูปสุดท้ายบางอย่างสะกิดใจให้เธอเงยหน้ามอง...

“หลวงพี่...”

มนตรารู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวแต่ก็อุ่นวาบในหัวใจที่ได้เห็นพี่ชายอีกครั้งแม้ว่าพระมิ่งเมืองจะยังครองสมณะเพศ แต่พระมิ่งเมืองก็ยังคงเป็นพี่ชายของเธอเสมอ มนตรารีบนั่งลงพนมมือรับพรจากพระสงฆ์ทั้งสามรูป จนเมื่อพระท่านให้พรเสร็จแล้วก็ค่อยๆ เดินออกไปแต่พระมิ่งเมืองซึ่งอยู่รั้งท้ายนั้นหยุดยืนตรงหน้าเธอแล้วเทศนาธรรมให้ได้ฟัง

“โยมพ่อเคยบอกหลวงพี่หลายต่อหลายครั้งว่า การให้อภัยคือทานอันยิ่งใหญ่ คำนี้หลวงพี่ได้ยินตั้งแต่เล็กจนโตแต่หลวงพี่ก็ไม่เคยใส่ใจ ยังคงทำตัวเหลวไหลให้โยมพ่อเสียใจอยู่เสมอ และยังทำเรื่องผิดพลาดจนทำให้หลายๆ คนสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินมาก็มาก กว่าหลวงพี่จะค้นพบทางสว่างและทางสงบซึ่งจะดับทุกข์ทุกอย่างในชีวิตของมนุษย์ ก็ทำให้หลวงพี่เกือบสูญเสียสิ่งที่รักไปโดยไม่ได้สั่งลา แต่ก็ยังนับว่ามีวาสนาที่หลวงพี่ได้บวชทดแทนคุณของโยมพ่อ โยมน้องมนคิดว่าจะมีใครสักกี่คนที่มีโอกาสดีๆ แบบนี้ จะมีสักกี่คนที่โชคดี จะมีใครสักกี่คนได้โอกาสเช่นนี้จากคนที่คิดว่าเราเป็นศัตรูของเขา...”

พระมิ่งเมืองกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนุ่มเต็มไปด้วยเมตตาธรรมซึ่งมนตราสัมผัสได้ น้ำตาแห่งความปลื้มปีติเอ่อล้นออกจากดวงตางามช้าๆ เธอไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือคนคนเดียวกันที่เคยทำร้ายเธออย่างเลือดเย็นมาก่อน...

“ชีวิตคนเราไม่ได้ยืนยาวสักเท่าไหร่หรอกนะโยมน้องมน... อะไรที่ดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ควรจะคว้าไว้ โดยเฉพาะความสุขเพราะมันอาจจะอยู่กับเราไม่นาน หรือ เราอาจจะไม่ได้อยู่จนพบเจอมัน หากให้มิจฉาทิฐิบดบังจิตใจ... หลวงพี่จะบอกกล่าวเพียงเท่านี้...” มนตรารู้สึกเหมือนมีใครเขี่ยผงเล็กๆ ออกจากตาทั้งที่รู้แต่เธอกลับเขี่ยมันออกเองไม่ได้

“ไหนแบมือมาสิโยมน้องมน...” หญิงสาวยื่นมือออกไปตามที่หลวงพี่บอก แล้วพระมิ่งเมืองก็วางของสิ่งหนึ่งลงบนมือของเธอด้วยการปล่อยให้มันตกลงมาเบาๆ มนตรามองของตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

“ฝากไปให้โยมโดมด้วย บอกว่าเป็นของขวัญจากหลวงพี่ให้เป็นของขวัญแต่งงาน... เจริญพร...”

“สาธุค่ะหลวงพี่...” มนตราสาธุการด้วยความซาบซึ้งมองตาหลังพระมิ่งเมืองไปด้วยดวงใจที่เปี่ยมล้นด้วยความสุข อิ่มเอิบด้วยความปีติยินดีและเปี่ยมล้นด้วยปัญญาอันเป็นแสงสว่างให้เธอได้พบกับความจริงที่ว่า เธอไม่ควรปล่อยให้ความสุขผ่านเลยไป... และเธอไม่อาจจะปล่อยให้ผู้ชายที่ชื่ออัครวัฒน์ ดีแลนด์ หลุดมือไปไหน...

มนตราเดินขึ้นเรือนมาด้วยหัวใจที่ปลอดโปร่ง คิดว่าวันนี้เธอจะกลับไปหาอัครวัฒน์ที่กรุงเทพฯ หากว่าเขาไม่อยู่ที่นี่แล้วจริงๆ แต่แล้วเมื่อถึงบันไดขั้นสุดท้ายเธอก็ต้องหยุดกึกเมื่อเห็นหน้าคนที่กำลังคิดถึงยิ้มให้

“อ้าว น้องมนใส่บาตรเสร็จแล้วเหรอครับ มาทานข้าวกันเลยไหม วันนี้มีของโปรดมนด้วยนะ” อัครวัฒน์กล่าวอย่างอารมณ์ดีแล้วเดินมาจูงมือเธอไปยังโต๊ะอาหารที่มีอาหารพร้อมแล้ว

“พี่โดม...” สรรพนามที่เรียกขานทำให้มือหนาที่กำลังเลื่อนเก้าอี้ให้ชะงัก ชายหนุ่มหันมามองใบหน้านวลด้วยความรู้สึกเหมือนหินหนักๆ ที่ถ่วงอยู่ในอกถูกเตะกระเด็นไปไกลแสนไกล...

อัครวัฒน์โผกอดร่างอวบอิ่มของเธออย่างแสนรักมนตราเองก็โอบกอดเขาแน่นเช่นกัน...

“มน... รัก...”

“ห้ามพูดนะ มนห้ามพูดอะไรให้พี่พูดก่อน...” เขายกนิ้วแกร่งมาแตะริมฝีปากอิ่มที่กำลังจะเผยอพูดบางอย่าง...

“พี่โดมรักมนตรา รักแม่มดที่ชื่อมนตรา รักเท่าชีวิต... ยกโทษให้พี่นะคนดี พี่จะเป็นสามีและเป็นพ่อที่ดีของลูกๆ เราตลอดไป พี่โดมสัญญา” ชายหนุ่มรีบพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดวงตาคมจดจ้องลึกไปในดวงตางามอย่างแสนรัก

“พี่โดมน่ะขี้โกงตลอดเลย...” หญิงสาวย่นจมูกใส่เขาอย่างน่ารัก

“ไหนเมื่อกี้ว่าจะบอกรักพี่โดมไม่ใช่เหรอ” บรรยากาศที่อบอวลด้วยรักโอบล้อมหนุ่มสาวจนทั้งเรือนแทบจะกลายเป็นสีชมพู อาหารก็แทบจะมีรสหวานล้ำแต่พวกเขากลับไม่รู้สึกหิวเสียอย่างนั้นเมื่อหัวใจมันอิ่มเอมด้วยความรักเกินกว่าจะรับประทานอะไรลงในตอนนี้

“ไม่ใช่เสียหน่อย มนจะบอกว่าให้พี่โดมกลับไปซะต่างหาก...”

“อยากให้พี่กลับจริงเหรอ แต่ใครนะที่มองหาพี่คอแทบเคล็ด” ชายหนุ่มเอ่ยล้อจนเธอหน้าแดงก่ำทุบอกกว้างเบาๆ แก้เก้อ เช้านี้มนตรามีความสุขเหลือเกิน หญิงสาวซบหน้าลงกับอกกว้างของเขาแล้วหลับตาลงยิ้มอย่างมีความสุข ความสุขที่เธอเกือบจะผลักไสมันไปเพราะทิฐิโง่ๆ เพียงตัวเดียว...

“มนรักพี่โดมค่ะ รักมาก และรักมานานแล้วด้วย...”

“เรื่องนี้พี่โดมรู้มานานแล้วเหมือนกัน...”

“รู้ได้ยังไงคะ...” หญิงสาวมองเขาตาโตไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะรู้ความลับของเธอ

“ก็จากโทรศัพท์ของมนไงล่ะ พี่ก๊อบปี้ทุกอย่างลงในโทรศัพท์พี่หมดแล้ว เลยรู้ว่ามีเด็กแก่แดดบางคนแอบรักพี่อยู่” เขาบอกยิ้มๆ ใบหน้าหล่อเหลาสว่างสดใสราวโลกทั้งโลกเป็นของเขาและเธอ มนตรามองเขาเหมือนถูกมนต์สะกด นิ่งนานจนอัครวัฒน์เขินกับแววตาเปี่ยมด้วยรักของเธอ ชายหนุ่มลูบต้นคอตัวเองเก้อๆ ยิ้มเขินๆ จนมนตราหน้าแดงก่ำที่เผลอมองเขานานไป...

“เขินเหมือนกันนะเนี่ย”

“ก็มนอยากมองหน้าคนที่มนรักนานๆ นี่คะ แค่นี้ผิดเหรอ ทีพี่โดมแอบเอาโทรศัพท์มนไปเปิดดูความลับ ไม่คิดเหรอว่ามนก็เขินเหมือนกันนะ...” หญิงสาวทำท่าเง้างอดแต่ก็ยิ้มอย่างมีความสุข

“แต่มันทำให้พี่มีความสุขมากนะที่มีคนแอบรักทั้งที่พี่ใจร้ายกับน้องมนมากๆ...”

“แล้วรักมนบ้างไหมคะ... หมายถึงในตอนนั้น...”

“ตอนนั้นไม่ได้รัก...” คำตอบของเขาทำให้มนตราหน้าเสียเล็กน้อย...

“แต่รักมานานแล้วต่างหาก ก่อนหน้าที่จะเห็นความลับของมนจากโทรศัพท์เสียอีก...”

“พี่โดม....” มนตรามองเขาเหมือนไม่อยากเชื่อ เขานี่นะรักเธอมาก่อนหน้านั้น รักเธอตอนไหน รักตั้งแต่เมื่อไหร่ รักได้อย่างไรกัน... หลากหลายคำถามพุ่งชนเข้ามาจนเธอเริ่มสับสน อัครวัฒน์กุมมือนุ่มนิ่มไว้แล้วบอกอย่างอ่อนโยน...

“ก็ตั้งแต่พี่เห็นรูปเด็กผู้หญิงถักผมเปียหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งยิ้มให้...” คำพูดของเขาทำให้มนตราเอะใจ หญิงสาวจึงหยิบสร้อยที่หลวงพี่มิ่งเมืองให้มาแล้วเปิดจี้ห้อยคอออกดูแล้วก็ต้องตะลึงเพราะคนที่เขาพูดถึงกับลังยิ้มให้เธอเช่นกัน

น้ำตาแห่งความปลื้มปีติไหลออกมาช้าๆ แต่ทำให้อัครวัฒน์ตกใจนึกว่าเธอเป็นอะไรไปรีบเข้ามากอดปลอบลูบหลังลูบไหล่หญิงสาวเป็นการใหญ่...

“น้องมน โธ่ มนเป็นอะไรครับคนดี อย่าร้องไห้นะครับ”

“เปล่าคะ มนแค่ดีใจ นี่ของขวัญจากหลวงพี่ฝากมาให้พี่โดมค่ะ...” หญิงสาววางสร้อยเส้นนั้นลงบนมือแกร่งด้วยรอยยิ้มที่ทำให้เขาเข้าใจในที่สุด...

“ทีนี้รู้รึยังว่าพี่โดมรักน้องมนตอนไหน...” หญิงสาวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข...

“ตอนนั้นพี่เห็นสร้อยเส้นนี้ตกอยู่ข้างร่างหนูเล็กที่กำลังจะสิ้นใจ... พี่เก็บมันไว้เพราะสังหรณ์ใจว่ามันอาจจะเป็นหลักฐานเอาผิดคนที่ทำร้ายเธอได้ แต่เมื่อพี่เห็นรูปของผู้หญิงผู้ชายในจี้นี้แล้ว หัวใจของพี่ก็หวั่นไหวกับรอยยิ้มของเด็กกะโปโลคนนี้จนน่าโมโห และพยายามตามหาพวกเขามาลงโทษ โดยเฉพาะผู้หญิงคนนี้ที่มาหลอกหลอน ลวงให้พี่หลงมนต์เสน่ห์รอยยิ้มของเจ้าหล่อน ทั้งที่ตอนนั้นพี่ยังเสียใจกับการจากไปของหนูเล็กอยู่เลย แต่เธอก็ยังจะมาร่ายมนต์รักใส่พี่... พี่ก็เลยตามมาแก้แค้น...”

“แล้วแก้แค้นเธอสำเร็จไหมคะ...” มนตราถามล้อๆ พลางยิ้มพรายอย่างเจ้าเล่ห์...

“ก็ไม่รู้สินะ รู้แต่ว่ามันทำให้พี่ได้ทั้งเมียและลูกมาพร้อมๆ กัน...” อัครวัฒน์ยิ้มกว้างพอๆ กับเธอที่ยิ้มไม่หุบ รอยยิ้มสดใสของมนตราดังมีมนต์ขลังที่ทำให้เขาถอนสายตาจากใบหน้านวลไม่ได้เลย ชายหนุ่มมองเธออย่างหลงใหลจนมนตรารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับแววตาที่เริ่มจะพราวพรายของเขา

“เราทานข้าวกันดีกว่าค่ะ มนอยากจะไปเดินเล่นในไร่...” หญิงสาวตัดบทและหาทางเอาตัวรอดจากเปลวเสน่หาของเขาไปก่อนในเช้านี้

อัครวัฒน์รู้ทันความคิดเธอจึงคีบจมูกเล็กๆ นั้นเบาๆ อย่างมันเขี้ยวแล้วนั่งลงเคียงข้างกัน... หนุ่มสาวนั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกันและคุยกันด้วยความรักและเข้าใจ ความบาดหมางความแค้นเคืองขึ้งโกรธมลายหายไปจากใจของพวกเขา

มีเพียงความรักอ่อนหวานที่โอบล้อมพวกเขาไว้ด้วยรักแท้ที่ต่างอภัยให้กันและกัน...

หลังจากที่ปรับความเข้าใจกันแล้วอัครวัฒน์ก็จดทะเบียนกับมนตราไว้ก่อนแล้วจัดงานแต่งงานในอีกหนึ่งเดือนถัดมาเจ้าสาวสวยสดใสในชุดแต่งงานแบบชุดคลุมท้องงดงามอลังการไม่ได้สร้างความอับอายหรือเป็นที่ครหาเลยแม้แต่น้อย งานแต่งงานริมหาดทรายสวยนั้นมีเพียงครอบครัวดีแลนด์ที่เมื่อมารวมกันแล้วก็มีจำนวนกว่าสิบชีวิต งานแต่งงานเล็กๆ เรียบง่ายตามแบบที่มนตราต้องการก็เต็มไปด้วยความสุข แล้วยิ่งรู้ว่าเธอตั้งครรภ์แฝดก็ยิ่งสร้างความปลาบปลื้มให้กับทุกๆ คนเป็นอย่างมาก และยังสร้างความริษยาให้กับพี่ๆ ทั้งสองคนของอัครวัฒน์อีกด้วย...

“อะไรวะ ไอ้โดมมันมาทีหลังมันจะแซงเราได้ไง”

“นั่นสิ แบบนั้นต้องไม่ยอมแพ้ ฉันไม่ยอมแน่ๆ คืนนี้จัดหนัก จัดเต็ม” อัคนีกล่าวอย่างหงุดหงิดใบหน้าหล่อเหลาไม่แพ้กันยุ่งเหยิงพอๆ กับอัคราที่นั่งมองน้องชายที่เป็นเจ้าบ่าวที่มีความสุขที่สุดในวันนี้ด้วยความหมั่นไส้

“ก็ไม่รู้สินะ รู้แต่ว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า แล้วหลังจากคลอด น้องมิ่งแก้ว น้องมิ่งขวัญ แล้ว ผมก็คิดว่าจะให้เด็กๆ โตสักสามขวบก่อนแล้วก็จะมีน้องให้พวกแกอีกสักคู่ คราวนี้เอาแฝดชาย ปีถัดไปก็แฝดชายหญิง ทีนี้ผมก็จะเป็นพ่อลูกดกที่ใครๆ ก็อิจฉาแน่ๆ”

อัครวัฒน์คุยโอ่พร้อมทั้งตั้งชื่อลูกสาวฝาแฝดเสร็จสรรพด้วยชื่อที่มีความหมายเป็นศรีแก่ลูกๆ และมีความหมายว่าพวกเขาเป็นแก้วตาขวัญใจของทุกคนในครอบครัว...

“ไอ้ขี้โม้..” พี่ชายทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันเสียงดังจนบรรดาภรรยาของพวกเขาเดินมาถามด้วยความสงสัยว่าสามหนุ่มคุยอะไรกันเมื่อได้คำตอบเหล่าภรรยาสาวแสนสวยทั้งสามก็ได้แต่หน้าแดงก่ำ เมื่อเห็นแววตาหมายมาดของสามีสุดหล่อ...

“บ้าจังคุยอะไรกันทะลึ่งที่สุดเลย...”

บารนีตีแขนอัคนีขัดเขินกับคำพูดห่ามๆ ของสามีที่บอกว่าคืนนี้จะไม่ให้เธอหลับเธอนอน พอๆ กับอัคราที่อุ้มภรรยาสาวเข้าบ้านไปก่อนเพื่อนทั้งยังตะโกนบอกลูกๆ ว่าคืนนี้ให้ไปนอนกับคุณปู่คุณย่า เพราะคืนนี้พ่อจะเสกน้องเล็กให้ลูกๆ สร้างเสียงหัวเราะถูกใจให้กับทุกคน ส่วนเด็กๆ ก็แสนรู้และว่าง่ายเพราะต่างพากันมานอนกองกันอยู่กับคุณปู่คุณย่าจนเต็มห้องนอน

คุณดารากับคุณอีริคต่างยิ้มอย่างมีความสุขที่ครอบครัวของพวกตนนั้นลูกๆ รักใคร่กลมเกลียวกันดี และต่างก็มีความสุขในหนทางของตนเองไม่สร้างปัญหาให้ใคร...

“น้องมีความสุขที่สุดเลยค่ะคุณพี่”

“พี่ก็เหมือนกันจ้ะ คอยดูสิว่าเจ้าสองหนุ่มนั่นมันจะสมราคาคุยมั้ย...” คุณอีริคหัวเราะหึหึในลำคอด้วยความสุขอย่างที่สุด

สองสามีภรรยาต่างนั่งมองหลานๆ ที่หลับปุ๋ยเป็นสุขด้วยความสุขอิ่มเอมเช่นที่หญิงชายในวัยชราพึงมี และได้เห็นลูกๆ เป็นฝั่งเป็นฝา ได้เห็นหน้าหลานๆ และได้เลี้ยงดูพวกเขาด้วยความรัก...

เวลาผ่านไปแล้วกว่าสองปี ลูกๆ ของเขาและเธอต่างก็แสนซนน่ารักน่าชังเป็นมิ่งแก้วมิ่งขวัญของคุณปู่คุณย่าและบรรดาป้าๆ ลุงๆ สมกับที่อัครวัฒน์กล่าวไว้

มนตรากับสามีและลูกๆ ต่างพากันมาทำบุญที่วัดซึ่งหลวงพี่มิ่งเมืองจำวัดอยู่และมากราบบิดาที่ล่วงลับไปอย่างสม่ำเสมอ เธอก็พาลูกๆ เข้าวัดทำบุญอยู่เป็นประจำเพื่อสร้างนิสัยอันดีงามแก่ลูกๆ ทั้งสอง เด็กหญิงฝาแฝดหน้าตาน่ารักน่าชังก็เป็นที่รักและเอ็นดูของคนที่พบเห็น และคุณพ่อสุดหล่อกับคุณแม่สุดสวยที่เดินตามลูกๆ ดูแลเอาใจใส่กันเป็นอย่างดีก็เป็นที่คุ้นตาของผู้คนละแวกนั้น

“ขอบคุณคุณหนูเล็กมากนะคะที่ทำให้พวกเรามาพบเธอกันและรักกัน” มนตราพูดกับภาพถ่ายหน้าสถานที่เก็บอัฐิของชลิตาเมื่ออัครวัฒน์พาเธอมาทำบุญให้ชลิตาหลังจากที่พากันไปทำบุญให้บิดาเธอแล้ว

“พี่เองก็ต้องขอบคุณหนูเล็กเช่นกันที่คอยเตือนสติพี่เสมอ จนพี่มีความสุขเช่นทุกวันนี้...”

สายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านมาเสมือนว่าคนที่พวกเขาระลึกถึงนั้นได้รับรู้แล้ว ทั้งสองยิ้มให้กันและกันด้วยความสุขล้นที่นับจากนี้พวกเขาจะช่วยกันรักษามันไว้อย่างดี...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel