บท
ตั้งค่า

บทที่ 15. ซาตานร้ายพ่ายรัก...

งานศพของนายมิ่งผ่านไปด้วยดีท่ามกลางความเศร้าเสียใจของทุกๆ คนโดยเฉพาะมนตราที่ร้องไห้ตลอดเวลา และไม่ค่อยพูดจากับใครยกเว้นคุณดาราที่เธอจะพูดคุยด้วยมากกว่าคนอื่นๆ รวมไปถึงยอดรักกับบารนีซึ่งเธอให้ความเคารพเสมือนพี่สาว แต่คนที่เธอไม่เคยถามถึง ไม่พูดด้วย และไม่มองแม้แต่หางตาก็คงหนีไม่พ้นอัครวัฒน์ที่ดูจะเป็นเหมือนอากาศธาตุในสายตาของมนตราไปแล้ว...

“เอ่อ... มนจ๋า ทานอะไรหน่อยไหม พี่โดมว่าน้องมนน่าจะทานโจ๊กร้อนๆ บ้างนะ ดูสิหน้าซีดเชียว”

อัครวัฒน์เดินยกถาดโจ๊กแสนอร่อยที่เขาทำเองกับมือมาให้หญิงสาวที่นั่งอยู่เพียงลำพังในสวนหลังบ้านดีแลนด์ซึ่งคุณดาราขอร้องให้เธอพักอยู่ด้วยกันชั่วคราวระหว่างที่มนตรากำลังรอจะเดินทางกลับไปยังจังหวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งทางภาคอีสานซึ่งเป็นบ้านเกิดของบิดา มนตราบอกกับทุกคนว่าจะกลับไปอยู่ที่นั่นเป็นการถาวร แต่คุณดาราเห็นว่าที่นั่นมันห่างไกลความเจริญมากไปอีกทั้งมนตรายังท้องยังไส้นางจึงอดเป็นห่วงไม่ได้จึงพยายามรั้งมนตราไว้ก่อนเพื่อแผนการบางอย่าง...

“น้องมนจ๋า ทานอะไรหน่อยนะครับเพื่อเจ้าตัวเล็ก...” ตอนนี้อัครวัฒน์รู้แล้วว่ามนตราท้องเขาจึงพยายามทำทุกวิถีทางให้เธอยอมรับเขาและเพื่อให้เขาได้มีส่วนในสมบัติล้ำค่านี้ เขาจะไม่ยอมเสียเธอไปแน่นอนในเมื่อมนตราเป็นเมียและเป็นแม่ของลูกเขาด้วย ชายหนุ่มคิดในใจอย่างมุ่งมั่นในขณะที่มนตรากลับไม่ได้คิดเหมือนเขาเลยแม้แต่น้อย...

มนตรายังคงเงียบและเมินหน้าหนีคนตัวโตที่เดินมาทรุดนั่งตรงหน้าเหมือนคุกเข่าอ้อนวอนเธออย่างไรอย่างนั้น หากเป็นเมื่อก่อนมนตราคงรู้สึกดีและปลาบปลื้มที่เขาเอาใจใส่เธอด้วยความอ่อนโยน มองเธอด้วยแววตาเปี่ยมด้วยความรักขนาดนี้ แต่ตอนนี้มนตราเชื่อมั่นว่าที่เขาทำไปนั้นก็เพราะอยากได้ลูกในท้องของเธอมากกว่า...

ท่าทางเมินตึงและเย็นชาของมนตราทำให้ชายหนุ่มใจหายอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อตั้งใจแล้วอัครวัฒน์ก็สัญญากับตัวเองว่าเขาจะไม่ท้อถอยเด็ดขาด เขาจะต้องเอาชนะใจมนตราให้ได้...

“มนจ๋า... ทานโจ๊กสักหน่อยเถอะนะครับคนดี...”

“ไปให้พ้นหน้าฉันได้ไหม เห็นหน้าคุณแล้วฉันจะอ้วก...” คำพูดที่ออกมาจากปากของคนที่เงียบมาตลอดทำให้อัครวัฒน์กัดกรามกรอดด้วยความเจ็บปวด เขาไม่โกรธเลยที่มนตราพูดเช่นนั้น หากแต่เขาเจ็บที่ใจ เจ็บที่เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของเธอต่างหาก...

“พี่โดมจะไปไกลๆ หากว่ามนทานอะไรเสียหน่อย”

“ฉันไม่กินอะไรของคนที่ไม่มีความจริงใจอย่างคุณหรอกค่ะ ลูกของฉันก็คงไม่อยากกินอะไรของคนที่จิตใจสกปรกแน่นอน” ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คือคำพูดของหญิงสาวที่น่ารักเรียบร้อยอ่อนหวานหน้าใสๆ ซื่อๆ ของคนที่เคยเป็นรองเขาทุกทาง และไม่น่าเชื่อว่านี่คือคำพูดของคนที่เคยเป็นเหยื่อความแค้นแสนหวานของเขา...

เวรกรรมมีจริงและมันก็ตามเขาทันในชาตินี้เห็นๆ เลยทีเดียว... อัครวัฒน์รู้ซึ้งถึงสัจธรรมข้อนี้อย่างกระจ่างแจ้งใจ

“พี่...”

“ไปให้พ้นหน้าฉัน ก่อนที่ฉันจะเอาโจ๊กนี่ราดหัวคุณแทน”

“ถ้าน้องมนทำแบบนั้นแล้วสบายใจ ทำแล้วหายแค้นใจ พี่โดมก็ยินดี... พี่พร้อมจะให้น้องมนลงโทษอย่างสาสม...” อัครวัฒน์คุกเข่าแล้วก้มหน้าลงตรงหน้าเธอด้วยอาการของคนที่ยอมจำนนแล้วทุกสิ่ง

มนตรามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน ดวงตากลมโตที่มองเขานั้นเต็มไปด้วยความรักและความแค้นที่ถูกเค้นเป็นน้ำตาใสๆ เอ่อคลอดวงตางามแดงก่ำ จนหญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้นสูงเพื่อให้มันไหลกลับไป.. เธอจะไม่ร้องไห้เพราะเขาอีก มนตราสัญญากับตัวเอง...

“คุณพูดเองนะ ว่ายินดี...” พูดจบมนตราก็คว้าถ้วยโจ๊กนั้นมาเทรวดเดียวลงบนศีรษะของคนที่ก้มหน้ายอมรับโทษทัณฑ์ของตน

อัครวัฒน์กัดฟันแน่นไม่ร้องสักแอะเมื่อความร้อนได้รินรดลงบนศีรษะของตน แม้จะร้อน แม้จะแสบผิวบริเวณที่ความร้อนของโจ๊กไหลผ่าน แต่เขาจะไม่ร้องขอความเห็นใจจากเธอเมื่อรู้ตัวดีว่าทำผิดกับเธอมาก ที่มนตราทำกับเขาแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำและหากมันทำให้เธออภัยให้เขาก็ยินดี...

การกระทำของมนตราสร้างความตกตะลึงให้กับพี่ชายทั้งสองคนของอัครวัฒน์ที่แอบดูแอบเอาใจช่วยน้องชายอยู่เป็นอย่างมาก อัคราถึงกับอ้าปากค้างด้วยความสยองแทนเมื่อเห็นสภาพของน้องชายที่ถูกโจ๊กร้อนๆ ราดจนเปรอะเปื้อนตั้งแต่หัวจรอดเท้า ส่วนอัคนีก็ลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นความร้ายกาจของหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่ดูไร้พิษสงเช่นมนตรา ซึ่งพวกเขาไม่คิดเลยว่าเธอจะใจเด็ดถึงเพียงนี้และคิดว่าอัครวัฒน์คงจะปวดแสบปวดร้อนมากแน่ๆ

“หากพี่เด่นทำผิดกับรัก จะเจอยิ่งกว่านี้ค่ะ”

“ใช่ค่ะ พี่เดียวก็ด้วย...” ทั้งยอดรักและบารนีซึ่งต่างก็พากันแอบดูสถานการณ์อยู่ด้วยกันพูดขึ้นข้างๆ หูสามีของตนด้วยน้ำเสียงเหี้ยมๆ ทำให้ทั้งอัครกับอัคนีเข้ามากอดภรรยาสุดที่รักแล้วออเซาะเป็นการใหญ่

“ไม่จ้ะ พี่เด่นไม่กล้าแน่นอน ไอ้โดมมันสมควรโดนแล้วเนอะเดียวเนอะ”

“ใช่จริงด้วยพี่เด่น มันทำได้ไง หลอกใช้น้องมนทำร้ายจิตใจผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบนั้น ใช้ไม่ได้เลย...” อัคนีเออออไปกับพี่ชาย แม้ใจจะห่วงน้องชายอยู่ก็ตาม

“ไปดูพี่โดมหน่อยสิคะ เดี๋ยวก็หน้าเละกันพอดี เราจะไปดูน้องมน” บารนีใช้ศอกกระทุ้งสามีเบาๆ แล้วเดินไปหามนตราซึ่งเดินกลับห้องของตนไปด้วยความห่วงใย เห็นทีพวกเธอจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเสียแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นจะมีผลกระทบต่อหลานตัวน้อยในครรภ์ของมนตราได้

“พี่จะไปหาคุณแม่นะน้องบี” ยอดรักพูดเหมือนรู้เท่าทันกัน สองสาวพยักหน้าให้กันในขณะที่ที่สองหนุ่มต่างวิ่งไปหาน้องชายของตนด้วยความเป็นห่วง...

“หึ ให้มันได้แบบนี้สิ ลูกสะใภ้เล็กของพ่อ...” คุณอีริคตบเข่าผางเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่มนตราทำกับอัครวัฒน์ในวันนี้ นอกจากท่านจะไม่สงสารบุตรชายแล้วยังนึกสมน้ำหน้าด้วยซ้ำที่อัครวัฒน์โดนเอาคืนเสียบ้าง

“นั่นสิคะ น้องล่ะทึ่งหนูมนจริงๆ เธอใจเด็ดมากที่กล้าทำขนาดนั้น ลูกชายคุณพี่นี่โดนน้อยไปไหมคะ”

“โธ่... นี่ไม่มีใครสงสารโดมบ้างหรือคะ ถึงรักจะเข้าข้างน้องมนแต่รักก็สงสารโดมนะคะคุณแม่”

“ไอ้สงสารก็สงสารจ้ะ แต่รักดูสิ จนป่านนี้แล้วโดมบอกหนูมนสักคำหรือยังว่ารู้สึกยังไงกับเขาน่ะ หืม... คนท่ามากปากหนักนี่มันต้องเอาให้เจ็บ ดูสิ... จนหนูมนป่องขนาดนี้แล้วจะพูดอะไรมากกว่านี้สักคำก็ไม่มีไม่รู้ท่าเยอะเหมือนใคร...” คุณดาราหันมาค้อนสามีอย่างหมั่นไส้จนคุณอีริคเองก็พลอยเสียวสันหลังไปด้วย จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้ภรรยาที่รัก

“แหม น้องล่ะก็ มาลงที่พี่ทุกทีเลย”

“ก็มันจริงนี่คะ สงสัยเราต้องงัดไม้ตายมาใช้แล้วล่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหลานเราแย่กันพอดี”

“จริงค่ะคุณแม่ น้องมนเองก็ร้องไห้หนักมาก น่าสงสารออกค่ะ”

“ที่แม่ทำไปก็เพื่อเราทุกคนนะจ๊ะหนูรัก แม่น่ะรักลูกๆ ทุกคนและอยากให้พวกเรามีความสุขกันเสียที” คุณดารากล่าวพลางลูบเรือนผมสลวยของสะใภ้คนโตด้วยความเอ็นดูไม่แพ้กัน...

หลังจากพี่ชายทั้งสองพากันช่วยล้างเนื้อล้างตัวและทายาให้แล้วอัครวัฒน์ก็ไม่ลดละความพยายามที่จะเอาชนะใจมนตรา เขายังคงตามมาเฝ้าหญิงสาวถึงหน้าห้องคอยดูแลอำนวยความสะดวกให้เธอด้วยความห่วงใย จนกระทั่งมนตราเข้านอนโดยไม่ฟังคำคัดค้านของเจ้าหล่อนที่พูดใส่หน้าเขาว่าไปให้พ้น หรือว่าเกลียดเขามากแค่ไหน แต่อัครวัฒน์ก็พยายามจะเข้าหามนตรามากเท่านั้น แม้เธอจะประกาศก้องว่าไม่ให้เขาเข้าใกล้ แต่สุดท้ายเขาก็มักจะมาวนเวียนข้างๆ เธอเสมอ จนมนตราเลิกไล่ แต่ก็ไม่ยอมพูดดีๆ กับเขาเลย ตั้งแต่ได้รู้ว่าเขาหลอกเธอมาตลอด...

“คนอะไรหน้าทนที่สุด...” มนตรากล่าวออกมาอย่างอ่อนใจกับความหน้าทนหน้าหนาของชายหนุ่ม หลายวันมานี้อัครวัฒน์ตามติดเธอเหมือนเงา ทั้งที่เธอแสดงออกว่าเกลียดและโกรธเขามากแค่ไหน...

ใช่ว่าเธออยากจะโกรธอยากจะเกลียดเขา แต่ที่ทำไปทั้งหมดนั้นก็เพราะไม่อยากเจ็บปวดอีก เธอกลัวเหลือเกินว่าเขาจะหลอกเอาอีก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของยอดรักกับบารนีที่บอกว่าอัครวัฒน์นั้นอาจจะสำนึกผิดและรักเธอจริงๆ ก็ได้เพราะบารนีบอกว่าตั้งแต่เข้ามาอยู่ในบ้านดีแลนด์ไม่เคยเห็นอัครวัฒน์แคร์ใคร หรือยอมใครมากเท่าที่ยอมเธอมาก่อน แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าอัครวัฒน์นั้นรักเธอ ในเมื่อเขาไม่เคยบอกเลยสักครั้ง... มนตรานอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยคนเดียว และทบทวนถึงข้อเสนอของคุณดาราไปด้วย

“น้องมนจ๋า ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอนนะครับคนดี” เสียงนุ่มๆ ของชายหนุ่มดังขึ้นแทรกภวังค์คิดทำให้หญิงสาวแกล้งหลับเพื่อกลบเกลื่อนความหวั่นไหวในใจตนเอง...

อัครวัฒน์มองใบหน้านวลกระจ่างที่ซีดเซียวลงไปเล็กน้อยของคนที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนุ่มสีหวานด้วยประกายตาอ่อนโยน เขาวางถาดนมไว้ที่โต๊ะเล็กมุมห้องแล้วเดินมานั่งลงข้างเตียงพิศมองใบหน้านวลใสนั้นอย่างแสนรักมือใหญ่เอื้อมมาปัดปอยผมที่ระแก้มสาวออกเบาๆ เพื่อเขาจะได้มองเธอเต็มๆ ตา

“ไม่ว่าน้องมนจะโกรธจะเกลียดพี่โดมมากแค่ไหน แต่พี่อยากบอกให้น้องมนรู้ว่า... พี่...” อัครวัฒน์พูดเบาๆ กับคนที่หลับตาพริ้มอยู่ตรงหน้าแต่แล้วคำพูดที่เขาจะพูดก็ดันมาจุกอยู่ที่ลำคอ...

ชายหนุ่มอึกอักเมื่อเขารู้สึกประหม่าขัดเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก... โธ่เอ๊ย ทำไมต้องไม่กล้าพูดด้วยวะ พูดสิไอ้งั่ง... เขาก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกออกไปจากห้องนอนของเธอเงียบๆ แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนที่โซฟาตัวใหญ่หน้าห้องของมนตราอย่างหงุดหงิดที่ตนไม่สามารถพูดได้ดังใจปรารถนา...

ในขณะที่คนรอฟังสิ่งที่เขาจะพูดนั้นนอนลืมตาขึ้นจ้องมองประตูที่ปิดสนิทซึ่งกั้นเขาและเธอไว้ด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว... ในที่สุดมนตราก็ได้คำตอบให้ตัวเองแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไป...

อัครวัฒน์วิ่งหน้าตื่นลงมาจากชั้นบนด้วยความกระวนกระวาย ปากก็ร้องเรียกหามนตราอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อเขาไม่เห็นเธอ เขาตามหาเธอทุกห้องในบ้านแล้วก็ไม่พบถามคนรับใช้ก็ไม่มีใครเห็นว่ามนตราไปไหน ความห่วงใยความร้อนรุ่มสุมใจจนเขาอยู่ไม่เป็นสุข ชายหนุ่มจึงโวยวายตวาดเสียจนลั่นบ้านคนรับใช้ต่างกระเจิงไปตามๆ กัน

“ไปเลย ไปให้พ้น ถามอะไรไม่รู้ไม่เห็น อยู่บ้านกันยังไงคนหายไปทั้งคนไม่มีใครรู้อะไรเลย โว้ยยย... ไป๊...”

“อะไรกันลูก โวยวายเสียดังลั่น อายเด็กๆ มันบ้างสิลูก” คุณดาราต่อว่าบุตรชายเสียงเขียว

“ก็เมียผมหายไปทั้งคนถามใครก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น คุณแม่จะให้ผมทำยังไงล่ะครับ ไอ้แดนนี่ แดเนียลเว้ย มาหาฉันเดี๋ยวนี้...” นอกจากจะตวาดลั่นบ้านแล้วอัครวัฒน์ยังเรียกหาคนของตนให้วุ่นทั้งยังโทรศัพท์หาพี่ชายทั้งสองที่เดินทางกลับบ้านของตนไปแล้ว

“พี่เด่น เห็นเมียผมมั้ย ก็น้องมนไง เออ... ไม่เห็นก็ไม่เห็นสิวะ... พี่เดียว เห็นเมียผมมั้ย น้องมนน่ะ เขาไปน้องบีรึเปล่า เออ... ไอ้พี่บ้า ไม่ต้องมาซ้ำเติมกันเลย...”

คุณดารากอดอกฟังลูกชายคุยโทรศัพท์กับพี่ชายทั้งสองเงียบๆ แล้วส่ายหน้ากับอาการเจ้าอารมณ์ของอัครวัฒน์อย่างสาแก่ใจลึกๆ นี่คงจะโดนพี่ชายทั้งคู่ต่อว่ามาล่ะสิถึงได้บ่นเป็นหมีกินผึ้งอยู่แบบนั้น

“นี่ตาโดมยังเห็นหัวแม่อยู่ไหมลูก...”

“เอ่อ... ขอโทษครับคุณแม่ ผมแค่กำลังหงุดหงิดก็พี่เด่นกับพี่เดียวถามอะไรก็ตอบมาแบบกวนๆ นี่ครับ”

“ตกลงนี่กำลังหาใครอยู่...” ถามพลางทำทีเป็นไม่เข้าใจได้อย่างแนบเนียน

“โธ่ คุณแม่ ก็ตามหาน้องมน มนตรา เมียผมไงครับ... คุณแม่ก็รู้ว่าน้องมนเป็นเมียผมแล้ว ตอนนี้น้องมนก็กำลังจะมีหลานให้คุณแม่อุ้มอีกคน ลูกของผมกับน้องมน... แต่ตอนนี้เธอหายไป ผมตามหาทั่วบ้านแล้วก็ไม่เจอ” ชายหนุ่มกล่าวน้ำเสียงจริงจังใบหน้าหล่อเหลายุ่งเหยิงดูน่าขันจนผู้เป็นแม่แทบจะอดไม่ไหว แต่ก็พยายามเก๊กหน้าดุๆ ใส่ลูกชาย

“อ้อ... เห็นเขาเป็นเมีย เป็นแม่ของลูกด้วยเหรอ...”

“คุณแม่ครับ ผมสำนึกผิดแล้วนะครับ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้น้องมนรู้ว่าผมรู้สึกผิดจริงๆ”

“แล้วยังไงอีกล่ะ”

“ก็ผมรักเขา ผมรักน้องมน รักมาตั้งนานแล้วด้วย...”

แล้วเขาก็บอกให้มารดาได้รับรู้ว่าเขารักมนตรามากแค่ไหน แต่มันจะมีประโยชน์อะไรในตอนนี้เมื่อเธอไม่อยู่แล้ว...

“โดมจะมาบอกแม่ทำไม ในเมื่อแม่ไม่ใช่หนูมน แล้วตอนนี้แม่ก็คิดว่าหนูมนคงกลับบ้านนอกไปแล้วก็ได้”

“แม่คิดว่าน้องมนเขาจะไปไหนครับ”

“ก็อาจจะกลับไปบ้านเกิดของพ่อเขาก็ได้มั้งลูก...” คุณดาราทำท่าเศร้าแล้วพูดต่อ

“เฮ้อ... ถึงว่าหนูมนมีท่าทางแปลกๆ เมื่อวาน แล้วก็ยังบอกแม่ว่าจะกลับไปบ้านเกิดของนายมิ่ง โดมคิดดูนะ ลูกสะใภ้ของแม่ไม่มีใครไปตกระกำลำบากหอบลูกหอบเต้าไปบ้านนอกที่กันดารขนาดนั้น นี่หากหนูมนไปที่บ้านเกิดนายมิ่งจริงๆ แม่ล่ะหวั่นใจว่าหนูมนอาจจะแท้งกลางทางได้... โธ่ หนูมนของแม่...” คุณดาราทำทีทอดถอนใจด้วยความเวทนาหญิงสาวผู้ที่อยากได้มาเป็นสะใภ้

“ผมจะไปตามมนที่นั่น ขอบคุณครับแม่...”

เหมือนมีคนชี้ทางสวรรค์อัครวัฒน์รีบออกไปยังจุดหมายที่คิดว่ามนตราจะต้องไปแน่นอนโดยไม่เห็นแววตาของมารดาที่มองตามอย่างขบขัน...

“ตำแหน่งนักแสดงรางวัลตุ๊กตาทองไม่ไปไหนเลยนะเนี่ย...” เสียงสามีดังขึ้นข้างหลังคุณดาราจึงหันไปค้อนสามีประหลับปะเหลือกแต่ก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“ดีค่ะ ให้เขาได้เรียนรู้เสียบ้างว่าการเสียของรักน่ะเป็นไง หนูมนเองก็จะได้รับรู้ด้วยว่าการพลัดพรากและการคิดถึงคนรักน่ะเป็นไง เด็กสองคนนี้เขามีอะไรที่เหมือนกัน คือปากแข็งทั้งคู่ ถ้าเราไม่ช่วยชี้ทางให้เขาอีกนานค่ะกว่าจะเปิดปากเปิดใจให้กัน”

“มันก็มีเหตุผล แต่เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าเขาจะสมหวังและเราไม่ได้มองผิดไป” คุณอีริคเข้ามาโอบกอดภรรยาหลวมๆ ขมวดคิ้วยุ่งอดกลัวไม่ได้ว่าสิ่งที่พวกตนทำไปจะสูญเปล่า

“ไม่หรอกค่ะ เชื่อน้องสิคะ น้องแอบไปดูดวงชะตาเขาสองคนมา แน่ใจได้เลยค่ะว่า หนูมนคือเนื้อคู่ของตาโดมชัวร์ๆ และพวกเขาจะรักกันไปจนแก่เฒ่า เหมือนเราไงคะ”

“อะไรกันนี่ เมียพี่กลายเป็นพวกเชื่อโชคลางเชื่อหมอดูหมอเดาตั้งแต่เมื่อไหร่...” คุณอีริคมองภรรยาขันๆ จึงโดนค้อนงามๆ จากภรรยามาแทน แล้วผู้ที่ได้เป็นปู่ย่าที่มีลูกหลานเต็มบ้านก็หัวเราะให้กันอย่างมีความสุข...

ท้ายที่สุดอัครวัฒน์ก็คว้าน้ำเหลว เขาไปทุกที่ที่คิดว่ามนตราจะไปแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ ทุกๆ วันร่วมสองสัปดาห์ที่เขาตามหามานตราเหมือนคนบ้าแต่ผลสุดท้ายก็ต้องกลับเข้าบ้านมาในสภาพเหมือนคนที่กำลังจะไร้เรี่ยวแรง ร่างแข็งแรงดูซูบผอม ใบหน้าหล่อเหลาหม่นหมองเศร้าสร้อยจนคนมองอยู่ห่างๆ ใจหายอดสงสารลูกชายไม่ได้

“เป็นไงบ้างลูก เจอหนูมนไหม...”

คุณอีริคถือแก้วน้ำเย็นๆ มาส่งให้ลูกชายอย่างเป็นกันเอง อัครวัฒน์รับน้ำมาดื่มรวดเดียวหมดแล้วเอนกายพิงพนักโซฟารับแขกตัวใหญ่ด้วยอาการเหมือนคนที่ใกล้หมดแรงเต็มที

“ไม่เลยครับ ที่ไร่ ที่รีสอร์ตที่ไหนๆ ที่คิดว่ามนจะไปก็ไม่มีแม้แต่เงาของมนสักที่ แดนนี่กับแดเนียลแล้วก็คนของพี่ๆ ก็ช่วยตามหา แต่ยังไม่เจอเลยครับ...”

“อดทนอีกนิดลูก พ่อเชื่อว่า หากเราเป็นคู่กันแล้วก็ต้องไม่แคล้วกัน ไม่แน่หนูมนก็อาจจะเฝ้ามองลูกอยู่ห่างๆ ก็ได้ เธออาจจะไม่ได้ไปไหนไกล...”

“ทำไมพ่อคิดแบบนั้นล่ะครับ มนเกลียดผม เธอคงจะไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียวก็ได้” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ดวงตาคมเข้มแห้งผากยิ่งกว่าตอนที่เขาสูญเสียชลิตาไปเสียอีก ผู้เป็นพ่อถอนใจด้วยความสงสารแต่ด้วยประกาศิตของภรรยาคุณอีริคจึงต้องอดทน...

“เอาเถอะลูก พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่...”

“ไม่ครับ ผมแค่กลับมาอาบน้ำแล้วจะออกไปตามหาเธออีก ผมจะหยุดตามหาเธอไม่ได้ ผมเป็นห่วงน้องมนกับลูกเหลือเกิน...”

“โดม.. หากโดมเป็นอะไร ทุกอย่างมันก็ไร้ความหมายนะลูก... พ่อเป็นห่วงลูกและเป็นห่วงหนูมนกับหลานไม่ต่างจากโดมเลย แต่โดมก็ต้องห่วงตัวเองด้วย หนูมนคงไม่อยากเจอลูกใสภาพแย่ๆ แน่ๆ หากว่าโดมจะตามหาเธอจนเจอจริงๆ” คุณอีริคเตือนสติทำให้อัครวัฒน์น้ำตาซึม...

“ไปพักบ้างเถอะลูก เชื่อพ่อเถอะ...”

“ครับพ่อ...” ชายหนุ่มรับคำแล้วลุกขึ้นตามแรงฉุดจากมืออบอุ่นของบิดา คุณอีริคตบหลังลูกชายเบาๆ ราวถ่ายทอดกำลังใจอันล้นปรี่ให้แก่ลูกชายตัวเล็กๆ ดังเช่นวันวาน... คุณอีริคมองตามแผนหลังที่งุ้มลงของลูกชายแล้วถอนใจหันไปสบตากับภรรยาที่แอบยืนมองอยู่ห่างๆ

“พี่ว่าเราควรหยุดทรมานลูกดีไหม... เขาคงได้รับบทเรียนเพียงพอแล้ว”

“ค่ะ...”

คุณดาราตอบสั้นๆ แล้วยิ้มให้สามีด้วยน้ำตาคลอๆ เพราะนางเองก็ทรมานใจทุกครั้งเช่นกันที่เห็นลูกชายกลับเข้าบ้านมาในสภาพเหมือนคนไร้วิญญาณ...

ในขณะเดียวกันคนที่อัครวัฒน์กำลังตามหานั้นนั่งทอดอารมณ์อยู่ที่ม้านั่งริมระเบียงสวยที่ทอดยาวซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพภูเขาเขียวขจีซึ่งมีหมอกสีขาวเทาประดับพร่างพรายดุจยอดมงกุฎอันงดงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมา

มนตรามาพักอยู่ที่ บ้านไร่เวียงดารา ซึ่งเป็นไร่กาแฟของคุณดาราและยังเป็นบ้านเกิดของนางได้กว่าสองสัปดาห์แล้วตามแผนการของคุณดาราที่บอกว่ากำลังพิสูจน์บางอย่างและให้เธอมาพักที่นี่เพื่อจะได้รับอากาศบริสุทธิ์ห่างไกลจากเรื่องเครียดๆ สักพัก เพื่อให้กายและใจของเธอได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาให้ดีก่อนจะตัดสินใจทำอะไรต่อไป...

หญิงสาวกระชับเสื้อคลุมตัวหนาให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและลูกน้อยที่เริ่มมีปฏิกิริยาต่างๆ เพื่อบอกว่าเขามีตัวตนอยู่ในร่างกายเธอ...

“คิดถึงคุณพ่อหรือคะลูก... คุณพ่อก็คงกำลังคิดถึงเรา หรืออาจจะไม่...”

มนตราพูดกับลูกน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่แฝงไว้ด้วยความเศร้า ความโหยหาและคิดถึงคนเป็นพ่อของลูกนั้นมีมากมายหากแต่เพื่อพิสูจน์บางอย่างเธอก็ต้องอดทนแม้ใจจะหวั่นๆ ว่าสิ่งที่เธอคาดหวังนั้นอาจจะไม่มีทางเป็นจริงไปได้เลย...

“น้องมนมาทานมื้อเช้ากันเถอะค่ะ สายแล้วนะจ๊ะ เดี๋ยวหลานพี่จะไม่ได้ทานอะไร” ยอดรักเดินมาหาด้วยรอยยิ้มสดใส มนตราหันไปยิ้มให้พี่สาวแสนสวยและแสนดีแล้วลุกเดินไปยังโต๊ะอาหารที่บารนีกำลังลำเลียงอาหารมาวางด้วยท่าทางคล่องแคล่ว

“มนรบกวนพี่ๆ เลยนะคะเนี่ย ความจริงมนทำเองก็ได้”

“ไม่เป็นไรเลยน้องมน พวกพี่น่ะเต็มใจ ที่มาเนี่ยก็เพื่อจะมาเที่ยวพักผ่อนด้วยนะคะ ไม่ได้เป็นการรบกวนเลย อีกอย่างเด็กๆ ก็ได้มาสูดอากาศบริสุทธิ์ ได้เรียนรู้การเข้าไร่เข้าสวนไปด้วย”

บารนีบอกพลางบุ้ยใบ้ไปยังลูกๆ ของพวกเธอที่กำลังสนุกสนานกับการซักถามพูดคุยกับเหล่าคนงานในไร่เรื่องการทำไร่และเลี้ยงสัตว์โดยมีสามีของพวกเธอคอยดูอยู่ห่างๆ

ตอนนี้บรรดาพี่ชายของอัครวัฒน์ก็ต่างสนุกอยู่กับลูกๆ ของตน จนมนตราอดคิดไม่ได้ว่าหากมีอัครวัฒน์เพิ่มมาอีกคนพร้อมทั้งลูกๆ ของเธอพากันวิ่งเล่นกับลูกๆ บนสนามหญ้าหน้าบ้านไม้สักหลังงาม แล้วพวกเธอก็ยืนมองสามีกับลูกๆ อยู่บนระเบียงของบ้านไร่เวียงดาราแห่งนี้ มันจะเป็นภาพที่งดงามเพียงใด...

อาการของมนตรานั้นไม่ได้รอดพ้นสายตาของผู้ที่ผ่านโลกมาก่อนอย่างยอดรักกับบารนีซึ่งต่างลอบยิ้มให้กัน และเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ครอบครัวของพวกเธอจะได้พบกับความสุขอย่างแท้จริงพร้อมหน้ากันทุกคนเสียที...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel