บท
ตั้งค่า

บทที่ 14. อิสระที่แสนเจ็บปวด...

มนตรารู้สึกดีใจมากที่อัครวัฒน์บอกว่าจะปล่อยมิ่งเมือง และให้มิ่งเมืองได้ทำตามที่ปรารถนาซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีที่สุดเท่าที่เธอได้รับหลังจากที่บิดาได้กลับมา มนตราดีใจเหลือเกินที่เธออดทนและเลือกที่จะรอให้เขาคลายความโกรธแค้นลง และบิดาของเธอก็ได้รับการรักษาอีกทั้งพี่ชายของเธอก็คิดและกลับตัวได้ นับว่าสิ่งที่เสียสละไปนั้นคุ้มค่า...

“มนขอบคุณคุณมากนะคะที่กรุณาเรา” มนตรากล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส เป็นรอยยิ้มแรกที่เธอยิ้มให้เขาจริงๆ รอยยิ้มที่เขาเคยได้เห็นในจี้อันนั้น ซึ่งเขาได้คืนมิ่งเมืองไปแล้ว รอยยิ้มที่ตรึงใจเขาตั้งแต่แรกพบเธอจากรูปถ่ายเก่าๆ ในจี้ห้อยสร้อยคอคร่ำคร่า...

“ไม่เป็นไร ถือว่าฉันทำเพื่อคนรักของฉัน...”

“ค่ะ มนรู้และเข้าใจดี...” บรรยากาศที่ดูจะสดใสพลันมืดครึ้มอึมครึมลงทันที มนตราสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ รู้สึกวิงเวียนและเจ็บแปลบในใจอย่างบอกไม่ถูก...

“ถ้าอย่างนั้นมนขอตัวนะคะ ต้องไปดูแลพ่อ”

“เดี๋ยวมนตรา...”

“คะ...”

“ฉัน... เอ่อ คือ... ตั้งแต่วันนี้ เธอเป็นอิสระจากการเป็นผู้หญิงของฉัน...”

“ค่ะ... ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” เธอตอบสั้นๆ แล้วยิ้มให้เขาบางๆ ก่อนจะรีบหันหลังเดินจากมาด้วยน้ำตานองหน้า...

เธอควรจะดีใจสิมนตรา เธอเป็นอิสระแล้ว เธอไม่ได้เป็นผู้หญิงของเขาแล้ว เธอควรจะดีใจสิ ดีใจสิมนตรา...

หญิงสาวพยายามบอกตัวเองเช่นนั้น เธอพยายามยิ้มและพยายามจะหัวเราะ แต่สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือ เธอกำลังร้องไห้ดังคนเสียสติ...

หญิงสาวปิดห้องเงียบล้มตัวลงนอนบนที่นุ่มแสนสบายในห้องรับรองของเรือนเด่นซึ่งในครั้งนี้เธอมาในฐานะแขกของคุณดารา ไม่ใช่ผู้หญิงหรือนางบำเรอของอัครวัฒน์ เธอมีเกียรติและศักดิ์ศรีที่ไม่น้อยหน้าใคร แต่ทำไมนะ เธอจึงไม่รู้สึกปลาบปลื้มยินดีกับสิ่งที่มีที่เป็นเลย ซ้ำยังมาร้องไห้ราวคนหัวใจแตกสลายเสียอีก...

ในขณะที่มนตรากำลังร้องไห้ด้วยความสับสน คนอีกคนที่เพิ่งจะปล่อยเธอเป็นอิสระก็ยังคงนั่งซึมอยู่กับตัวเองในห้องทำงานของเรือนโดมที่เขาเข้ามาหมกตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่เย็นจนดึกดื่นโดยปล่อยให้พี่ชายทั้งสองเป็นคนจัดการธุระที่เขาไหว้วานไว้...

“ฉันทำถูกแล้วใช่ไหม พี่โดมทำถูกแล้วใช่ไหมหนูเล็ก... ช่วยบอกพี่ที...” เขาพูดเบาๆ กับสายลม ในขณะที่มือเรียวในแบบบุรุษเพศกำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์สมาร์ตโฟนดูสิ่งที่เขาแอบคัดลอกมาจากโทรศัพท์ของมนตรา...

รูปใบหน้าสดใสด้วยรอยยิ้มของมนตรากระจ่างใสอยู่บนหน้าจอมือถือ ถ้อยคำที่เธอเขียนบันทึกไว้ในไดอะรีของโทรศัพท์ รูปภาพที่มนตราแอบแต่งเล่น โดยมีรูปของเขาและเธออยู่ด้วยกันในกรอบน่ารักสดใสพร้อมคำบรรยายหวานๆ น่ารักๆ สมมุติว่าเธอกับเขาเป็นคู่รักกัน...

ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนตราทำนั้นมันทำให้คนดูนั้นหัวใจพองโตคับอกอยู่ไม่น้อย เขาอยากจะถามเธอว่า ณ ตอนนี้ยังรู้สึกเหมือนครั้งที่แต่งรูปเล่นหรือไม่และอยากจะถามเธอว่า พร้อมจะมีสถานะเหมือนกับที่เธอเขียนบรรยายไว้ไหม... แต่เขาก็ไม่กล้าแม้จะเอ่ยปาก นี่เขากลายเป็นไอ้ขี้ขลาดไปแล้วหรืออย่างไร...

“ขอบคุณพี่โดมมากนะคะที่ทำเพื่อหนูเล็ก...” ในค่ำคืนนั้นอัครวัฒน์ก็ฝันถึงชลิตาอีกครั้งหลังจากที่เขาไม่ได้ฝันถึงเธอมานาน...

“พี่เองก็ต้องขอบคุณหนูเล็กเช่นกันที่ทำให้พี่โดมคิดอะไรได้หลายๆ อย่าง...”

“พี่โดมของหนูเล็กน่ารักที่สุดและเป็นคนดี หนูเล็กเชื่อว่ามนตราก็ต้องเห็นและคิดเหมือนหนูเล็กค่ะ”

“ขอบใจนะหนูเล็ก...”

“หนูเล็กคงต้องไปแล้ว แต่หนูเล็กสัญญาว่าจะกลับมาหาพี่โดมอีกครั้ง...” พูดจบร่างบางในอาภรณ์อันงดงามก็ค่อยๆ เลือนหายไป..

ซึ่งครั้งนี้อัครวัฒน์ไม่ได้ร้องเรียกหรือรั้งให้เธออยู่ ดังเช่นทุกครั้งที่พบเจอชลิตาในฝัน เขาเพียงแต่ยืนมองภาพชลิตาที่ค่อยๆ หายไปด้วยความสงบ และเป็นสุขใจ...

งานบวชเล็กๆ ซึ่งมีเพียงแขกร่วมงานไม่กี่คนนั้นเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความรักซาบซึ้งที่สามพ่อลูกมีให้แก่กัน นายมิ่งค่อยๆ ตัดปอยผมของลูกชายด้วยมืออันสั่นเทา น้ำตาของคนเป็นพ่อรื้นทั้งดวงตาที่ฝ้าฟางตามอายุขัย ความปลาบปลื้มที่จะได้เกาะชายผ้าเหลืองของลูกชายขึ้นสวรรค์นั้นเรืองรองจนไม่อาจจะห้ามน้ำตาแห่งความยินดีปรีดาได้ ชายชราจึงปล่อยให้มันรินไหลออกมาโดยไม่ต้องอายใคร

ในขณะที่มนตราเองก็รู้สึกยินดีไม่ต่างจากบิดาเธอยิ้มให้พี่ชายอย่างมีความสุขซึ่งมิ่งเมืองเองก็ยิ้มให้น้องสาวด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน รวมไปถึงทุกคนในครอบครัวดีแลนด์ที่มาร่วมงานอุปสมบทครั้งนี้กันพร้อมหน้า... มิ่งเมืองเองก็ยิ้มให้ทุกๆ คนทั้งน้ำตา เขาได้ทำหน้าที่ลูกชายและพี่ชายที่ดีแล้ว แม้จะไม่ทั้งหมดแต่เขาจะพยายามจะทำความดีและปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นสาวกขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยใจอันบริสุทธิ์ และเขาจะดำรงไว้ซึ่งศีลธรรมอันดีงามสืบต่อไป...

พิธีการทางศาสนาได้ผ่านพ้นไป มิ่งเมืองในเพศบรรชิตนั้นดูสง่างามผุดผ่องอยู่หน้าโบสถ์เก่าแก่ของวัดแห่งหนึ่งในตำบลเล็กๆ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนายมิ่งผู้เป็นพ่อ นายมิ่งมอง พระเมือง ผู้เป็นลูกชายด้วยความปลาบปลื้มยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว...

“พ่อจ๋า หุบยิ้มมั่งก็ได้” มนตราแซวผู้เป็นพ่อยิ้มๆ ซึ่งนายมิ่งก็หันมายิ้มเขินๆ ให้ลูกสาว

“ก็พ่อปลื้มใจนี่นาลูก”

“กระผมต้องขอบคุณที่โยมพ่อเลี้ยงดูกระผมมาอย่างดีและกระผมก็ต้องขออโหสิสำหรับทุกๆ สิ่งที่ได้ทำกับทุกคน” พระเมืองกล่าวกับทุกคนซึ่งนั่งอยู่บนสนามหญ้าหน้าโบสถ์อันร่มรื่นด้วยร่มโพธิ์ต้นใหญ่ซึ่งมีอายุเก่าแก่พอๆ กับวัดแห่งนี้

“ขออนุโมทนาด้วยนะคะ”

คุณดาราเองก็พลอยปลาบปลื้มไปด้วยแม้นางจะได้บวชพระมาแล้วถึงสามรูปมาก่อนก็ตาม แต่เมื่อเห็นคนเป็นพ่อแม่ที่ได้บวชลูกชายนางก็พลอยยินดีไปด้วยทุกครั้งที่ได้รับรู้

“กระผมคงต้องเข้าไปปฏิบัติศาสนกิจกับพระรูปอื่นๆ แล้ว ยังไงก็ฝากน้องสาวกับโยมพ่อด้วยนะครับ” พระเมืองกล่าวด้วยความสุภาพก่อนจะเดินด้วยอาการงดงามขึ้นศาลาการเปรียญไปรวมกับคณะสงฆ์ในวัดเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป แล้วทุกคนก็ต่างแยกย้ายกลับบ้าน...

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วคุณดารากับคุณอีริคกลับไปยังบ้านดีแลนด์พร้อมทั้งอัครวัฒน์ที่ดูจะอิดออดไม่อยากจะกลับไปพร้อมบิดามารดา แต่ทนมารดารบเร้าไม่ไหวเขาจึงต้องกลับไปพร้อมพวกท่าน มนตรามองดูรถยนต์คันหรูที่ค่อยๆ เคลื่อนออกไปอย่างคนที่หัวใจหลุดลอย อิสรภาพที่เธอต้องการมาตลอด พันธนาการที่เธอต้องการโหยหามันมาตลอดไม่ได้มีความหมายใดๆ เลยเมื่อหัวใจของเธอมันถูกจองจำอยู่กับเขา...

“มนเป็นอะไรไปลูก”

“เปล่านี่คะพ่อ ว่าแต่พอเถอะทำไมดูเซียวๆ ล่ะคะ” เธอหันมายิ้มบางๆ ให้บิดาที่นั่งวีลแชร์มาหาเธอด้วยความช่วยเหลือจากพยาบาลพิเศษซึ่งคุณดาราจ้างไว้ดูแลบิดาของเธอ ซึ่งมนตราไม่สามารถจะปฏิเสธความหวังดีของท่านได้ ซึ่งเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมบิดาถึงไม่ได้ดูดีขึ้นเลยแต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าท่านอาจจะยังอยู่ในช่วงพักฟื้นก็เป็นได้

“เฮ้อ จะมาเอาอะไรกับคนแก่ละลูก ไปเถอะแดดแรงแล้วเข้าบ้านกันดีกว่า” นายมิ่งพูดตัดบทแล้วพยักหน้าให้พยาบาลเข็นรถเข้าบ้าน มนตรามองตามบิดาด้วยความรู้สึกแปลกๆ

ในค่ำวันนั้นหลังจากที่มนตราดูแลบิดาจนกระทั่งเข้านอนเรียบร้อยแล้วก็เดินดูรอบๆ บ้านพักเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยก่อนจะเข้าบ้านพักของตนแม้จะมีคนของอัครวัฒน์ที่ไว้ใจได้คอยดูแลความปลอดภัยให้กับเธอและบิดาตามคำสั่งของคุณดารา

มนตราถอนใจหนักๆ เมื่อล้มตัวลงนอนในใจก็รู้สึกเบาโหวงเล็กน้อยที่นับจากนี้จะไม่ได้พบกับอัครวัฒน์อีกต่อไป ดวงตากลมโตรื้นด้วยน้ำตาเล็กน้อยขณะเปิดดูรูปของเขาจากโทรศัพท์มือถือที่เธอแอบถ่ายรูปเขาไว้หลากหลายอิริยาบถยามที่เขาเผลอพอได้คลายความคิดถึงลงบ้าง...

“มนคิดถึงคุณนะคะ พี่โดมของมน...” หญิงสาวพูดกับรูปถ่ายของเขาก่อนจะวางมันลงแล้วหลับไป... มนตราขมวดคิ้วเล็กน้อยกับความฝันของตน...

ทำไมนะในฝันของเธอถึงได้ร้อนๆ หนาวๆ แปลกๆ อีกทั้งยังรู้สึกวูบวาบหวามไหวรัญจวนและยังพบว่าเขาเข้ามาอยู่ในความฝันอีกด้วย

“พี่โดม...” เธอครางชื่อของเขาออกมาอย่างลืมตัวพร้อมทั้งครางแผ่วๆ ในลำคอเมื่อริมฝีปากหยักสวยบดเคล้าจุมพิตเร่าร้อนลงมา เรียวลิ้นร้อนผ่าวดูดรัดเกี่ยวกระหวัดสร้างความเสียวซ่านให้เธออย่างคุ้นเคย มือร้อนๆ ของเขาค่อยๆ ปลดเปลื้องชุดนอนลายการ์ตูนของเธอออกอย่างรีบเร่งเหมือนคนใจร้อนในขณะที่เขานั้นเปลือยเปล่าอย่างน่าเหลือเชื่อ

“มนจ๋า คิดถึงจังเลย...” เขาพูดเสียงพร่าขณะแตะแต้มจุมพิตไปตามลำคอระหงมายังเนินอกอวบหยุ่นมุ่งสู่เป้าหมายที่ไหวระริกชูช่อล่อให้ดูดกลืนอยู่ตรงหน้าและอัครวัฒน์ก็ไม่รอช้าที่จะดูดดื่มยอดทรวงสีหวานด้วยความหิวกระหายที่ถูกเก็บกักมาหลายต่อหลายวัน

มนตราแอ่นกายขึ้นเหนือที่นอนนุ่มด้วยความเสียวซ่านทันทีที่ลิ้นร้อนดูดรัดยอด อกสวยมือบางลูบไล้ไปตามเนื้อตัวแกร่งกระด้างไปด้วยลอนกล้ามสวยของเขาอย่างหลงใหลสร้างความพอใจให้กับเขามากเมื่อเธอตอบสนองอย่างน่ารักเช่นนี้ มือหนาจับมือเล็กให้เลื่อนไปตามลำตัวของตนช้าๆ แล้วนำพาไปยังจุดที่ร้อนที่สุดบนร่างแกร่งของเขา

“อุ๊ย มะ ไม่นะคะ...” หญิงสาวเอียงอายหน้าแดงก่ำในความสลัวลางจากแสดงไฟดวงเล็กในห้องน้ำที่เธอมักเปิดทิ้งไว้ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตนเองไม่ได้ฝัน เขามาจริงๆ อัครวัฒน์อยู่ที่นี่ และอยู่บนตัวเธอ...

“นิดหนึ่งนะครับคนดี ลองจับมันดูสิ แล้วมนจะรู้ว่ามันต้องการมนแค่ไหน...”

เขาพูดเสียงแหบพร่ามองเธอด้วยแววตาหยาดเยิ้มจนหญิงสาวพ่ายแพ้ต่อกระแสสวาทในดวงตาคมเข้ม มือเล็กคลายออกเล็กน้อยแล้วกอบกุมสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่ามือของเธอข้างเดียวจะกำรอบ... โอ คุณพระ... เขาช่าง... ร้อน และใหญ่โตเหลือเกิน...

“มันต้องการมน ทักทายมันหน่อยสิทูนหัว... อา อย่างนั้น แบบนั้นล่ะ มนจ๋า น่ารักที่สุด...” อัครวัฒน์ครางหนักๆ ในลำคอเมื่อเธอขยับมือช้าๆ ตามจังหวะที่เขานำพา

มนตราทำตามกระแสสวาทที่นำพาไปอย่างไร้เดียงสาแต่สร้างความเสียวกระสันให้กับชายหนุ่มมากกว่าครั้งไหนๆ แต่ริมฝีปากร้ายก็ยังไม่หยุดสำรวจร่างงามที่ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้น ผิวสาวดูเปล่งปลั่งสดใสน่าปรารถนา

กลิ่นสาบสาวที่ปราศจากน้ำหอมพร่างพรมนั้นหอมละมุนจนเขาไม่อาจจะละเลยสูดดอมดมกลิ่นกายสาวเข้าปอดด้วยความหลงใหล ลิ้นร้อนไล้เลียขบเม้มดูดชิมร่างสาวไปทั่วทุกตารางนิ้วบนร่างงามกระจ่างอย่างไม่รังเกียจจนหญิงสาวบิดกายส่ายร่อนราวใบไม้ต้องพายุ ใบหน้านวลในแดงก่ำริมฝีปากบวมช้ำจากจุมพิตเร่าร้อนเผยอครางเสียงหวานยิ่งกระตุ้นเร้าให้เขาอยากจะฝากฝังร่างแกร่งระอุร้อนลงในกลีบดอกไม้สดฉ่ำไปด้วยน้ำค้างแสนหวานของเธอยิ่งนักแต่เขายังไม่ทำอย่างนั้นเมื่อเขากระหายดื่มกินน้ำหวานนั้นก่อนมากกว่า และเร็วเท่าความคิดริมฝีปากร้อนก็ไต่แต้มลงมายังดงดอกไม้หวานแล้วตวัดลิ้นดูดเลียน้ำหวานสาวอย่างเอร็ดอร่อย...

“อ๊า... พะ พี่โดมขา... อื้มมม... อู้วว...”

มนตราครางไม่เป็นภาษาทั้งยังแอ่นสะโพกเข้าหาปากเขาอย่างไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้ มือบางจิกทึ้งเรือนผมดกหนาและบ่ากว้างอย่างเสียวกระสันไปทั้งรูขุมขนเรียวขางามก็แยกออกกว้างเชิญชวนให้เขาเข้ามาแนบชิดมากขึ้น

“ไม่ไหวแล้วมนจ๋า พี่โดมขอนะครับ... อ๊า...” ไม่รอให้เธอตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ ร่างแกร่งกระด้างก็สอดแทรกเข้ามาแทนที่ลิ้นร้อนในคราเดียวจนหญิงสาวสะดุ้งสุดตัวด้วยความซ่านรัญจวนสุดชีวิต...

หนุ่มสาวกอดเกี่ยวขยับโยกกายเข้าหากันและกันอย่างคลั่งไคล้เร่าร้อน ความโหยหาที่มีต่อกันได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากด้วยภาษากายที่สอดประสานกันอย่างลงตัวเสียงครางกระเส่าและเสียงเนื้อหนุ่มสาวกระทบกันดังกึกก้องห้องนอนเล็กๆ ซึ่งคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเสน่หาของเขาและเธอที่พากันไปเยี่ยมชมวิมานสวาทด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า...

มนตรารู้สึกหน้าร้อนผ่าวเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองนอนเปลือยเปล่าอยู่ภายใต้ผ้าห่มนุ่ม ส่วนคนที่นอนเคียงข้างเธอมาตลอดคืนนั้นหายไป เหลือไว้เพียงรอยบุ๋มที่หมอนข้างๆ กับกลิ่นหอมสะอาดเช่นบุรุษเพศของเขาที่เธอจดจำได้ดี

เขาไปแล้วสินะ สุดท้ายแล้วเธอก็ยังคงมีสถานะไม่ต่างไปจากนางบำเรอของเขาอยู่ดี... มนตราคิดอย่างเศร้าสร้อยพยายามลุกขึ้นเพื่อเข้าห้องน้ำแต่เหมือนวันนี้โลกทั้งโลกของเธอไหวโคลงไปเหมือนเธอกำลังจะล้มตีลังกา...

“อุ๊ย...” ร่างบางเซถลาทันทีที่เท้าเหยียบย่างลงบนพื้นกระเบื้องแต่ดีที่ว่ามีแขนแข็งแรงของใครบางคนมารองรับร่างเธอไว้ไม่เช่นนั้นเธอคงล้มหัวฟาดพื้นแน่แท้...

“พี่โดม...” มนตราเงยหน้ามองเขาและเรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนมลืมตัวก่อนจะยกมือผลักเขาออกเมื่อรู้สึกถึงความเปลือยเปล่าของตนกับอกกว้างที่เต็มไปด้วยลอนกล้ามสวยของเขา... ดีที่เขายังสวมกางเกงอยู่ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องอายเขามากกว่านี้แน่ๆ

“ปล่อยมนค่ะ...”

“จะปล่อยได้ไง เดี๋ยวก็ล้มหรอก ไปหาหมอมั้ยดูหน้ามนซีดๆ ไปนะ” เขาพูดด้วยความห่วงใยจากใจจริงแต่แววตาที่มองมานี่สิพราวพรายเสียจนเธออยากจะหาอะไรมาทุ่มหัวเสียนัก

“มนจะเข้าห้องน้ำค่ะปล่อยสิคะ”

“งั้นเดี๋ยวฉันจะพามนเข้าเอง”

“ไม่ต้องค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นทำอย่างอื่นละกัน”

“นี่คุณ...”

“เรียกพี่โดมก่อน...” เขาต่อรองและท่าทางจะไม่ยอมง่ายๆ มนตราถอนใจกับคามดื้อดึงของเขาทั้งยังขัดเขินที่ต้องมาเปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมแขนของเขาจึงต้องเรียกเขาอย่างอ่อนหวาน...

“พี่โดมขา ปล่อยมนนะคะ มนจะเข้าห้องน้ำค่ะ...” อัครวัฒน์ยิ้มกว้างกับคำพูดที่แม้จะฝืนใจของเธอแต่ท่าทางค้อนควักของหญิงสาวก็ทำให้เขาหัวใจพองโต ชายหนุ่มก้มลงหอมแก้มใสๆ นั้นอย่างมันเขี้ยวแล้วอุ้มร่างงามไปส่งถึงหน้าห้องน้ำแล้วปิดประตูให้อย่างสุภาพ ส่วนคนที่อยู่ในห้องน้ำนั้นก็แอบยิ้มกับตัวเองอย่างเป็นสุข...

นายมิ่งมองดูเจ้านายหนุ่มที่เดินมาหาตนด้วยรอยยิ้มบางๆ ความเหนื่อยล้าที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจนั้นผ่อนคลายลงเมื่อเห็นแววตาของอัครวัฒน์ที่มองลูกสาวคนสวยของตนที่เอาแต่หลบหน้าเอียงอายไม่ยอมพูดจากับชายหนุ่ม ทั้งที่รู้ดีว่าคนทั้งสองนั้นมีความสัมพันธ์เช่นไรต่อกัน ด้วยตนนั้นรู้ดีว่าต่ำต้อยครั้นจะเอ่ยปากก็เกรงจะเป็นการเสนอตัวเองมากเกินไปอีกทั้งสิ่งที่ครอบครัวของอัครวัฒน์ช่วยเหลือครอบครัวของตนนั้นก็มีค่ามากมายมหาศาล

เท่าที่อัครวัฒน์ยอมให้มิ่งเมืองบวชให้ตนนั้นก็นับว่าเป็นกุศลอันแรงกล้าที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับจากชายหนุ่มเลยก็ว่าได้ ดังนั้นนายมิ่งจึงคิดว่าปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามพรหมลิขิตจะดีกว่าหากมนตราจะวาสนาดี ได้เป็นสะใภ้ดีแลนด์เขาก็คงจะนอนตายตาหลับ

“ขอบคุณมากครับที่มาเยี่ยม”

“นายมิ่งอยากไปหาหมอมั้ย...” สองหนุ่มต่างวัยคุยกันเงียบๆ ระหว่างที่มนตราเข้าไปยกอาการมาต้อนรับเขาด้วยมารยาที่ดี

“ไม่ครับ ผมอยากจะตายที่นี่ ที่นี่เหมือนบ้านหลังที่สองของผม ผมผูกพันกับที่นี่มากคุณโดมก็รู้”

“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะนายมิ่ง ยิ่งพูดแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกผิด”

“ไม่มีใครผิดหรอกครับผมเข้าใจว่าที่คุณทำไปก็เพราะความแค้นและมันก็สมควรแล้วที่เราจะได้ชดใช้ซึ่งกันและกัน คุณโดมอย่าพูดแบบนี้เลยครับ สิ่งที่คุณควรทำคือ เปิดใจตัวเองจะดีกว่าก่อนที่จะสายเกินไป”

นายมิ่งพูดยืดยาวก่อนจะหยุดหอบหายใจ ท่าทางของชายชราที่เหลือเวลาไม่มากนั้นไม่ได้มีอาการหรือท่าทางของคนที่กำลังจะสิ้นใจเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของนายมิ่งดูอิ่มเอิบและผ่องใสอย่างไม่น่าเชื่อ...

“ผม...” อัครวัฒน์พูดไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนี้และยังเหมือนมีอะไรแข็งๆ มาจุกที่ลำคอแกร่งอีกด้วย

“มาทานกลางวันกันเถอะค่ะพ่อ จะได้ทานยาแล้วพักผ่อน” เสียงมนตราดังขึ้นทำให้ชายทั้งสองหยุดคุยกัน อัครวัฒน์ลุกขึ้นแล้วทำหน้าที่เข็นรถของนายมิ่งเข้าไปในเรือนเล็ก

ท่าทางอ่อนโยนของเขาที่แสดงออกต่อบิดาทำให้มนตราแอบชื่นชมเขาในใจ ความรักที่มีอยู่แล้วท่วมท้นจนเอ่อใจและเธอคงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเธอรักเขามากขึ้นทุกวินาที... ดวงตาของหนุ่มสาวประสานกันโดยไม่ได้นัดหมายและเป็นมนตราที่หลบฉากไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ อัครวัฒน์เองก็รู้สึกไม่ต่างจากเธอแต่สิ่งที่เขากังวลคือสิ่งที่กำลังจะมาถึงนี้ต่างหาก หากมนตรารู้ความจริงเธอจะให้อภัยเขาหรือเปล่า... จากที่เป็นผู้คุมเกม จากที่เป็นผู้ไม่เคยคิดใส่ใจความรู้สึกของใคร ตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มกังวลมากขึ้น...

“นายก็สารภาพความจริงไปสิวะไอ้ขี้ขลาด”

“เฮ้ย.. น้องชายเราไม่ได้ขี้ขลาดว่ะเดียว แต่มันไม่กล้า มันตาขาว...” พี่ชายทั้งสองพูดมาตามสายสนทนาที่เชื่อมต่อหากันได้โดยสะดวกง่ายดาย...

“พี่จะให้ผมบอกมนตราว่า ผมหลอกใช้เธอเพื่อแก้แค้น ผมหลอกเธอทั้งที่รู้ว่านายมิ่งจะไม่มีทางรักษาหาย แต่ก็ยังใช้นายมิ่งมาบังคับให้เธอยอมเป็นนางบำเรอของผมอย่างนั้นเหรอพี่..” อัครวัฒน์พูดเสียงอ่อยด้วยรู้สึกผิด...

“ก็เออสิวะ นายไม่มีทางเลือกหรอกไอ้น้องชาย และสิ่งที่นายทำกับน้องมนนายก็เลือกเอง ดังนั้น งานนี้นายก็ต้องเลือกที่จะต้องบอกความจริงกับมนตรา ให้เธอได้ยินจากปากนายเอง...” อัคราพี่ใหญ่บอกเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ผมไม่กล้า ผมกลัวเธอจะโกรธ”

“เป็นใครก็ต้องโกรธกันทั้งนั้นล่ะค่ะ... ไม่ว่าคุณจะบอกฉันตอนไหน เมื่อไหร่...” เสียงของหญิงสาวที่ดังแทรกขึ้นทำให้สามพี่น้องอัครวัฒน์นิ่งงันไปทั้งยังรู้สึกเย็นวาบไปทั้งกายแม้จะไม่ได้เห็นหน้าคนพูด...

“มนตรา...” เหมือนทั้งสามหนุ่มจะพูดขึ้นมาพร้อมกัน...

“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้จะตั้งใจจะแอบฟัง แต่บังเอิญว่าพ่อเกิดอาการทรุดหนักฉันเลยจะมาขอร้องให้คุณพาพ่อไปหาหมอ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าคงไม่ต้องแล้ว...”

มนตราพูดทั้งน้ำตาก่อนจะวิ่งออกไปจากห้องทำงานของเขาอย่างเร็วด้วยความเจ็บปวด อัครวัฒน์รีบวางสายจากพี่ชายแล้ววิ่งตามหญิงสาวออกไปมือใหญ่คว้าข้อมือบางไว้ได้ทันแต่เธอสะบัดข้อมือหนีอย่างรังเกียจและตะโกนใส่หน้าด้วยความเกลียดชัง...

“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน... ฉันเกลียดคุณ อย่ามาใกล้พวกเรา ไปให้พ้น ฉันเกลียดคุณได้ยินมั้ย... เกลียดดดด...”

คำว่าเกลียดที่ออกจากปากเธอนั้นทำให้ชายหนุ่มนิ่งงันไป ได้แต่มองมนตราวิ่งกลับไปเรือนเล็กด้วยความรู้สึกชาหนึบไปทั้งตัวและหัวใจ... ความลับไม่มีในโลกไม่ช้าหรือเร็วมันก็ต้องเผยให้คนได้รับรู้... ตอนนี้เขาเจ็บปวดเหลือเกิน...

นายมิ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้อยากจะมาหาหมอแต่ทนเสียงรบเร้าของมนตราไม่ไหว และในขณะเดียวกันมนตราก็ล้มป่วยด้วย ด้วยความห่วงใยบุตรสาวนายมิ่งจึงต้องนอนรักษาตัวด้วยความจำใจแม้รู้ดีว่าตนเองนั้นหมดหนทางรักษา แต่ชายชราก็รู้สึกยินดีที่เขาจะได้เป็นคุณตาเมื่อได้รับรู้ว่ามนตรานั้นตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว...

“มน...” เสียงเรียกของบิดานั้นแหบแห้ง แต่หัวใจของเธอนั้นแห้งแล้งยิ่งกว่า มนตรารีบปาดน้ำตาออกจากแก้มให้หมดจดเพราะไม่อยากให้ท่านเห็นน้ำตาของตนแล้วเดินมาหาบิดาที่ริมเตียงพยาบาล

“ขาพ่อ...” มนตรากุมมือบิดาไว้มั่นแล้วยกมือเหี่ยวย่นของท่านแนบแก้มเย็นชืดของตน ดวงตากลมโตแห้งผากมองใบหน้าของบิดาด้วยความเจ็บปวดเมื่อนึกถึงใครอีกคน

มนตราเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าที่อัครวัฒน์ทำดีและอ่อนโยนกับเธอนั้นก็เพราะรู้สึกผิดเท่านั้น เขาไม่ได้รู้สึกอะไรมากกว่านั้นเลยแม้แต่น้อย... เธอหลงคิดไปเองว่าเขาอาจจะรู้สึกพิเศษกับตนบ้าง ที่เขามีความสัมพันธ์กับเธออ่อนโยนกับเธอเพียงเพราะความต้องการทางร่างกายเท่านั้น...

มนตราเจ็บร้าวไปทั้งใจ เสียใจอย่างมากเมื่อคิดว่าที่อัครวัฒน์ทำดีกับตนนั้นเพราะรู้สึกผิดที่หลอกลวงเธอ ความจริงใจของอัครวัฒน์นั้นไม่มีจริง...

“นอนหลับสบายไหมลูก...” มนตราออกจะงงที่บิดาถามเธอแค่นั้น

“ค่ะ มนหลับสบายดีค่ะพ่อ”

“แล้วใจของมนล่ะ สบายดีหรือเปล่า... การอภัยให้กันคือสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตนะลูก...” มนตราก้มหน้าซ่อนความเจ็บปวดและไม่ตอบคำถามของบิดา

นายมิ่งถอนใจช้าๆ ตอนนี้ชายชรารอเพียงเวลาที่จะลาโลกนี้ไปดังนั้นอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ จึงไม่จำเป็นบนร่างกายที่ผ่ายผอมลงไปทันตานั้นไม่ได้มีแววความทุกข์ร้อนใดๆ นอกจากยังคงห่วงสภาพจิตใจของบุตรสาว แต่นายมิ่งก็เชื่อว่ามนตราจะไม่ลำบากเมื่อคุณดารากับคุณอีริครับปากเขาแล้วว่าจะดูแลเธออย่างดีซึ่งมันทำให้คนที่กำลังจะสิ้นลมวางใจ...

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดการสนทนาของสองพ่อลูกและไม่นานประตูก็เปิดออกพร้อมด้วยพระมิ่งเมืองซึ่งเดินเข้ามาหาโยมพ่อด้วยอาการสงบงามตามด้วยคนในครอบครัวดีแลนด์ซึ่งมีอัครวัฒน์อยู่รั้งท้ายทุกคน แต่ดวงตาคมของเขาจับจ้องที่ร่างของหญิงสาวที่ไม่มองหน้าเขาแม้แต่หางตา...

“นายมิ่งจ๊ะ ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราสัญญาว่าจะดูแลมนเป็นอย่างดี ตอนนี้หลวงพี่มิ่งเมืองก็มาแล้ว จะสั่งเสียอะไรก็พูดมาเถอะ...” คุณดารากล่าวอ่อนโยนลูบหลังลูบไหล่มนตราด้วยความรักและเวทนาในชะตากรรมของหญิงสาว...

“ผมต้องขอบคุณพวกคุณทุกคนมากนะครับ ผมเองก็ไม่มีอะไรที่จะสั่งเสีย เพราะลูกๆ ของผมได้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตบนโลกนี้แล้ว...”

นายมิ่งพูดยืดยาวแล้วเหนื่อยหอบ น้ำเสียงแหบพร่านั้นเต็มไปด้วยความวางใจ ดวงตาของชายชราไม่มีแววเศร้าโศกหากแต่เต็มไปด้วยประกายเรืองรอง...

“พ่อจ๋า... พ่อหลับให้สบายนะ ไม่ต้องห่วงมน มนดูแลตัวเองได้”

“โยมพ่อครับ กระผมขอให้โยมพ่อหลับให้สบายนะครับ ตั้งนะโมไว้เมื่อจะออกเดินทาง พระธรรมจะนำโยมพ่อไปสู่แดนสุขาวดี...”

“ขอบใจนะลูกๆ พ่อขอบใจมาก... มารตี มารับฉันแล้วรึ ขอบใจนะที่มา ลูกๆ ของเราโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วนะ พวกเขามีความสุขดี ตาเมืองที่ว่าเกเรๆ ก็ได้บวชให้ฉันแล้ว ฉันได้ตายตาหลับแล้ว...”

นายมิ่งกล่าวกับลูกๆ ด้วยดวงตาสดใสก่อนจะมองเพดานนิ่งเหมือนพูดกับใครบางคน ซึ่งคนคนนั้นก็คือภรรยาของเขาที่ลาโลกนี้ไปตั้งแต่มนตรายังเด็กมากก่อนที่ชายชราจะหลับตาลง มือเหี่ยวย่นซึ่งอยู่ในอุ้งมือของลูกๆ ทั้งสองนิ่งสนิทไร้การเคลื่อนไหวของชีพจรและคลื่นหัวใจก็ดังยาวกรีดลึกลงในหัวใจของผู้เป็นลูก...

“พ่อออ... ฮือออ...” มนตราปล่อยโฮออกมาสุดเสียงพร้อมๆ กับเสียงสัญญาณที่บอกว่าบิดาของเธอได้จากไปแล้วตลอดกาล

ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไปซึ่งเธอไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่าร่างที่จวนจะล้มลงกับพื้นของตนนั้นถูกรองรับไว้ด้วยวงแขนแข็งแรงของคนที่เธอบอกว่า เกลียด...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel