บท
ตั้งค่า

บทที่ 13. เสือร้ายวุ่นวายใจ...

ในทุกๆ วันมนตราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปจ่ายตลาดทำอาหารเช้าและดูแลเอาใจใส่ปรนนิบัติคุณดาราอย่างดี เธอเป็นทั้งพยาบาลส่วนตัวของคุณดารา เป็นนักกายภาพบำบัด เป็นแม่ครัว เป็นแม่บ้าน ซึ่งสิ่งที่มนตราทำให้คุณดารานั้นล้วนเป็นไปด้วยความเต็มใจของเธอเอง ซึ่งทำให้คุณดารานั้นพอใจมากกับกิริยาท่าทางที่นอบน้อมเจียมตัวของมนตราที่แสดงออกมาด้วยความจริงใจไม่ใช่เสแสร้ง และมนตราก็ไม่มีท่าทางจะอยากขยับฐานะจากผู้หญิงของอัครวัฒน์มาเป็นสะใภ้ดีแลนด์ทั้งที่คุณดาราเองก็เห็นว่าลูกชายตัวดีนั้นแอบไปพบหรือไม่ก็ให้มนตราขึ้นมาหาที่ห้องอยู่เป็นประจำ

แม้ว่าคนเป็นแม่นั้นอยากจะทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องและยุติธรรมกับหญิงสาวผู้น่าสงสาร แต่คุณดารายังมีไม้เด็ดที่จะดัดนิสัยลูกชายจอมปากแข็งของตนอยู่ และแผนสำรองก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น นางจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวแสนดีอย่างมนตราไปเป็นสะใภ้บ้านอื่นแน่ๆ และอัครวัฒน์จะต้องมีภรรยาที่ชื่อมนตราเท่านั้น... คุณดาราเฝ้ามองหญิงสาวที่กำลังนั่งแกะสลักผลไม้ใส่จานของว่างอย่างขะมักเขม้นด้วยความหมายมาดในใจ

“กำลังวางแผนอะไรหรือจ๊ะที่รัก...” คุณอีริคกระซิบถามภรรยายิ้มๆ จึงถูกค้อนเข้าให้

“คุณพี่น่ะ น้องเปล่าเสียหน่อย”

“หึหึ แค่มองตาพี่ก็รู้แล้วว่าที่รักคิดอะไรอยู่”

“ค่า คุณพี่น่ะรู้ทันน้องไปเสียหมด แล้วเห็นด้วยไหมล่ะคะ” คุณดาราค้อนสามีอีกที

“ก็เห็นด้วยสิจ๊ะ หากไม่เห็นด้วยจะเล่าเรื่องเจ้าตัวแสบให้ที่รักฟังทำไมกัน”

“ลูกชายคุณพี่น่ะร้ายกาจ ทำกับหนูมนแบบนี้เห็นแก่ตัวมากรู้ไหมคะ หนูมนน่ะน่าสงสารที่ต้องมารับเคราะห์ทั้งที่ตัวเองไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย ไหนจะต้องมาถูกลูกชายคุณพี่หลอกบังคับขู่เข็ญโดยการเอาชีวิตพ่อของเขามาล้อเล่นอีก แบบนี้คนเป็นแม่อย่างน้องทนไม่ได้นะคะ มันเกินไป ลูกชายคุณพี่ต้องได้รับการสั่งสอน”

คุณดาราหน้าแดงจัดขึ้นมาด้วยความโกรธที่รู้ว่าลูกชายตัวดีของตนหลอกใช้มนตราอย่างไรบ้าง ก็จะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร ตั้งแต่อ้อนแต่ออกนางไม่เคยสอนให้ลูกชายของนางใช้แผนหรือวิธีการสกปรกทำร้ายใครเลยสักครั้งและสิ่งที่อัครวัฒน์ทำนั้นนางรับไม่ได้จริงๆ

“พี่ก็คิดว่าโดมควรได้รับการสั่งสอน นี่ก็คงคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงต่อไปเห็นซึมๆ อยู่เหมือนกัน”

“ลูกชายคุณพี่น่ะมารยาค่ะ นี่คงกะว่าจะให้น้องอภัยให้ล่ะสิ ฝันไปเถอะหากไม่ได้ดังใจน้องอย่าหวังเลยว่าน้องจะยกโทษให้ ไปบอกลูกชายคุณด้วยนะคะ...”

กล่าวจบคุณดาราก็เดินเชิดหน้าใส่ลูกชายที่เดินเข้ามาหวังจะมาพูดคุยกับบิดาของตน ซึ่งท่าทางของคุณดาราทำให้อัครวัฒน์หน้าเจื่อนไปได้แต่มองตามหลังมารดาซึ่งเดินไปหามนตราด้วยรอยยิ้มซ้ำยังพูดคุยกับหญิงสาวด้วยความอ่อนโยนเอ็นดูอย่างออกนอกหน้าอีกด้วย...

“ผมคงถูกคุณแม่เกลียดขี้หน้าแล้วแน่ๆ” ชายหนุ่มพูดกับบิดาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ

“ก็มันน่าไหมล่ะ”

“แล้วคุณพ่อไม่โกรธผมหรือครับ”

“โกรธสิ โกรธมากด้วยที่มีลูกชายที่ไม่เอาไหน รังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่มีทางสู้แบบนี้”

“โธ่ คุณพ่อ อย่าซ้ำเติมผมสิครับ” อัครวัฒน์โอดครวญแต่ก็เห็นจริงตามที่บิดากล่าว เขาไม่เอาไหนจริงๆ แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มคิดได้แล้วนี่นาและกำลังจะแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาด...

“หึ อย่างแกน่ะนะต้องโดนมากกว่านี่ ที่พ่อยังยืนคุยกับแกอยู่ตอนนี้ก็แค่จะบอกว่า จะทำอะไรก็รีบทำ เพราะเวลาของแกก็อาจจะเหลือไม่มาก หากปล่อยเรื่องให้บานปลายไปกว่านี้มันจะแก้ไขยาก แค่นี้ล่ะที่พ่อจะบอก ขอให้แกโชคดี...” คุณอีริคพูดจบก็เดินเข้าไปหาภรรยาและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานปล่อยให้อัครวัฒน์มองดูคนทั้งสามที่พูดคุยกันเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันสามคนพ่อแม่ลูกไม่มีผิด ส่วนเขานั้นคือคนนอก...

“แล้วทำไมมันถึงเป็นแบบนี้วะเนี่ย สรุปไอ้โดมนี่เป็นหมาหัวเน่าใช่ไหม...” ชายหนุ่มถามตัวเองอย่างไม่อยากจะยอมรับความจริงข้อนี้เลย...

คุณดาราชวนมนตราพูดคุยถึงเรื่องการทำอาหารเพื่อสุขภาพของคนป่วยโรคต่างๆ รวมไปถึงงานบ้านงานเรือน การแต่งกายหรือแม้แต่กระทั่งการงานด้านอื่นๆ ของดีแลนด์กรู๊ปซึ่งมนตราเองก็ไม่รู้ว่าคุณดาราจะสอนเธอทำไม แต่เธอก็น้อมรับฟังและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ

มนตราเป็นนักเรียนที่ดีหัวไวจนเป็นที่ปลาบปลื้มของคุณดารา เธอหัดทำอาหารสูตรต่างๆ ตามที่คุณดาราสอนสั่งทั้งยังทำได้ดีอีกด้วย ทั้งยังสามารถพูดคุยในเรื่องต่างๆ แลกเปลี่ยนความคิดกับนางได้อย่างชาญฉลาดจึงทำให้คุณดาราเอ็นดูเธอมากขึ้นและชื่นชมมนตราไม่ขาดปากจนอัครวัฒน์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอก อีกทั้งคุณดารายังทำท่าทีหมางเมินใส่ลูกชายของตนอีกด้วย ตอนนี้อัครวัฒน์แทบจะถูกเขี่ยออกจากชีวิตของมนตราเลยทีเดียวเพราะคุณดารานั้นให้มนตราเกาะติดนางไปทุกๆ ที่ จนบางครั้งอัครวัฒน์อยากจะเข้าไปฉุดเจ้าหล่อนออกมาแล้วกกกอดทำตามอารมณ์ปรารถนาที่ถูกกักเก็บไว้มาร่วมสัปดาห์ที่ถูกมารดากีดกันกรายๆ เช่นนี้...

“วันนี้เราจะไปรับนายมิ่งกันคุณพี่จะไปด้วยไหมคะ”

“อืม ไปสิจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นพี่เดินไปรอที่รถนะ”

“ให้ผมขับรถให้ไหมครับคุณแม่” อัครวัฒน์กล่าวขึ้นเมื่อเขาแทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลยในบ้านริมหาดในช่วงเวลานี้อีกทั้งเขารู้ตัวว่าทำผิดชนิดที่ว่ามารดานั้นโกรธมากจึงได้แต่เงียบๆ ไว้ก่อน

“ไม่ต้องย่ะ ฉันมีคนขับรถให้แล้ว แดนนี่ แดเนียลเราไปกันเถอะ” คุณดารากล่าวเชิดๆ ใส่ลูกชายซึ่งท่าทางของนางทำให้มนตรางงอยู่ไม่น้อยที่แม่ลูกเขามีท่าทางเช่นนี้ใส่กัน แต่เธอเองก็รู้ตัวดีว่าเป็นใครจึงไม่กล้าถามจึงทำเฉยเสียเพราะคิดว่ามันคงไม่เกี่ยวกับตน หญิงสาวถือตะกร้าใส่อาการว่างที่คุณดาราบอกให้เตรียมไปด้วยเดินตามหลังคุณดาราไปและคอยหลบแววตาคมๆ วาวๆ ของคนตัวโตที่ทำท่าเหมือนจะโผนเข้ามาหาแล้วก็จูบเธอต่อหน้าทุกคนอย่างไรอย่างนั้น...

บ้าจัง นี่เธอคิดไปได้ไกลขนาดนั้นอย่างไรกัน... มนตราหน้าแดงกับความคิดของตัวเอง...

“อ้อ... มนจ๊ะฉันรบกวนไปหยิบผ้าพันคอให้หน่อยสิจ๊ะ รู้สึกลมจะแรงๆ ไปนะวันนี้”

“ได้ค่ะคุณท่าน” หญิงสาวรับคำแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อไปหยิบของตามที่คุณดาราต้องการ แต่ในขณะที่เธอกลังจะเดินออกจากห้องของคุณดารานั้นเองก็ต้องตกใจเล็กน้อยเมื่อร่างสูงของคนที่เธอเพิ่งจะคิดถึงไปเมื่อครู่มาปรากฏตัวที่หน้าประตูซ้ำยังปิดประตูไว้แล้วเดินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางไม่น่าไว้ใจอีกด้วย...

“คุ คุณโดม...” มนตราหน้าเสียถอยหลังโดยอัตโนมัติเมื่อเขาเดินมาหาช้าๆ แววตาที่ทอดมองมาทำให้ใจสาวสั่นไหวเลือดสาวสูบฉีดไปทั่วร่างอย่างห้ามไม่ได้...

“ช่วงนี้เราห่างเหินกันไปนะ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงยียวน

“เอ่อ... มนรีบค่ะ หากจะกรุณาคุณช่วยหลีกทางหน่อยได้ไหมคะ”

“แหม ตั้งแต่มีคุณแม่ถือหางนี่พูดจาฉะฉาน ไม่เห็นหัวผัวเลยนะ”

“คุณโดม อย่าหยาบคายกับมนนะคะ มนไม่ได้เป็นเมียใคร และคุณก็ไม่ใช่สามีมนด้วย...”

มนตราเลือดขึ้นหน้าเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่เมื่อเจอคำพูดของเขาแบบนี้ ทั้งโกรธทั้งอายและร้อนๆ หนาว หัวใจพองๆ แปลกๆ จนเธอเองก็สับสนกับสรรพนามที่เขาพูดมา...

“อ้าวก็หรือไม่จริง ที่เราทำกันบ่อยๆ เขาเรียกกิจกรรมผัวเมียนะเธออย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย”

“มนไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ หลีกด้วยค่ะ คุณท่านรออยู่” หญิงสาวเชิดหน้าพยายามเก็บอาการประหม่าตื่นเต้นไว้แม้มันจะไม่ค่อยมิดชิดก็ตาม...

“จูบฉันก่อนสิ แล้วจะยอมหลีกทางดีๆ”

“ไม่มีทาง” มนตราสวนกลับมาทันทีที่เขาพูดจบ

“ก็แล้วแต่นะ หากเธอไม่จูบฉัน ฉันจะเป็นฝ่ายจูบเธอเอง และไม่รับประกันนะว่าจะหยุดแค่จูบเดียวมั้ย...” อัครวัฒน์เลิกคิ้วยียวนคนตัวเล็กที่ยืนหน้าดำหน้าแดงกัดริมฝีปากมองเขาอย่างเดือดดาล

มนตราไม่เข้าใจเลยว่าเขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่ แต่หลายวันมานี้อัครวัฒน์ดูจะเปลี่ยนไป เขาไม่มีท่าทางเย็นชามึนตึงกับเธอแต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนหรืออ่อนหวาน อัครวัฒน์มักพูดจายียวนกวนประสาทมากกว่า ซ้ำคำพูดบางคำก็ทำให้เธอทั้งโกรธทั้งอายหรือไม่ก็หวั่นไหวไปกับเขาที่บางครั้งก็ดูเหมือนว่าเขาแคร์เธอ แต่สุดท้ายเขาก็จะดูไม่ค่อยสนใจเธอเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น...

“ทำไมมนต้องทำแบบนั้นด้วย”

“ก็เพราะเธอต้องทำน่ะสิ เอ้าเร็วสิ เธอขึ้นมานานแล้วนะ คุณแม่รอนานแล้วมั้งและอาจจะขึ้นมาตามเธอและก็อาจจะมาเห็นว่าเราอยู่ด้วยกัน...” เขาพูดอย่างเป็นต่อใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มน้อยๆ กวนประสาทเธอได้อีก

“ก็ได้ค่ะ มนจะจูบคุณ...” มนตราถอนหายใจอย่างจำนนเมื่อดูท่าแล้วเขาคงไม่ยอมง่ายๆ

“งั้นก็เร็วๆ สิ”

“คุณก็ก้มลงมาหน่อยสิคะมนเขย่งไม่ถึง”

“ฮื่อ... เรื่องมากจริง มานี่...” พูดจบอัครวัฒน์ก็ตวัดร่างเล็กเข้ามาแล้วก็ก้มลงปิดปากช่างพูดนั้นเสียเอง ริมฝีปากหยักสวยก็บดเคล้าลงมาบนกลีบปากงามเรียวลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปากหวานแล้วดูดรัดเรียวลิ้นเล็กที่มัวตกตะลึงอยู่อย่างหิวกระหาย เขาจูบเธอเท่าที่อยากจูบจนพอใจก่อนจะปล่อยร่างบางที่อ่อนระทวยเป็นอิสระทั้งที่ยังอยากจะทำมากกว่านั้น...

“เอาล่ะสาวน้อย ลงไปหาคุณแม่ได้แล้ว คุณแม่เรียกหาเธอแล้ว... อ้อ... แล้วเตรียมคำแก้ตัวดีๆ ด้วยล่ะ เดี๋ยวท่านจะรู้ว่าเธอแอบมาจูบกับฉัน...” อัครวัฒน์ยักคิ้วล้อเลียนคนตัวเล็กที่ยืนหน้าแดงก่ำอยู่ตรงหน้าแล้วเดินผิวปากจากไป

“อี๊ คุณโดม คนบ้า บ้าๆ คนทุเรศ...” มนตราทำได้เพียงมองแผ่นหลังกว้างอย่างเดือดดาลก่อนจะรีบลงไปหาคุณดาราด้วยความรีบร้อน

นายมิ่งได้กลับมาอยู่ที่บ้านพักริมหาดในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของบ้าน ทั้งคุณอีริคและคุณดารานั้นให้ความสำคัญและให้กำลังใจคนเก่าแก่ที่อยู่ทำงานด้วยกันมานานด้วยความรักห่วงใยอย่างแท้จริง...

“นายมิ่งพักให้สบายใจเถอะนะ อย่าเกรงใจเราเลย สิ่งที่นายมิ่งเสียสละเพื่อเรามันเทียบกันไม่ได้เลย”

“ขอบคุณครับคุณอีริค แต่ผมเองต่างหากที่ต้องขอโทษกับทุกๆ เรื่องที่ผมและลูกๆ ทำไป”

“อย่าพูดถึงมันเลยมิ่ง เรื่องนี้ก็ไม่มีใครผิดหรือใครถูกไปกว่าใคร อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านไปแล้วเราอย่าคิดมากเลยนะ ว่าแต่นายมิ่งเถอะ จะบอกเรื่องนี้มั้ยกับมน...”

“ผมคิดว่ายังไม่บอกมนดีกว่าครับคุณดารา ผมเพิ่งกลับมาอย่างน้อยๆ ก็อยากให้มนรู้สึกดีกว่านี้ และให้เราได้อยู่ด้วยกันนานๆ นานเท่าที่จะทำได้...” นายมิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะให้สดใสทำให้สองสามีภรรยามองหน้ากันแล้วถอนใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่นางมิ่งเถอะนะ แต่หากมีอะไรที่จะให้เราช่วยเหลือก็บอกได้”

“ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ไอ้เมืองมันยังอยู่ดีไหมเท่านั้นล่ะครับ...” แล้วคำถามของนายมิ่งก็เรียกเสียงถอนหายใจจากสองสามีภรรยาอีกครั้ง...

ตั้งแต่นายมิ่งกลับมาที่บ้านพักริมหาดซึ่งเงียบเหงามานานก็ดูมีสีขึ้น ทั้งคุณอีริค คุณดาราเองก็ตกลงใจจะพักผ่อนอยู่ที่นี่นานขึ้นด้วย ทุกคนล้วนดูมีความสุขและบ้านก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มนตราเองก็พูดคุยยิ้มหัวและสดใสมากขึ้น และหญิงสาวก็สนิทสนมกับแดนนี่และแดเนียลมากขึ้นทั้งยังนับถือชายหนุ่มทั้งสองเป็นเสมือนพี่ชาย สร้างความไม่พอใจให้กับอัครวัฒน์เป็นอย่างมาก เขาถูกกันออกจากมนตราอย่างเจตนาและก็ไม่อาจจะขัดใจมารดาในตอนนี้เมื่อความผิดที่ทำมันยังค้ำคออยู่ยิ่งรู้ว่านายมิ่งเหลือเวลาอยู่ไม่มาก ความละอายใจก็ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่ามขัดใจมารดาหรือยังไม่อยากให้มนตรารู้ว่าเขาหลอกใช้เธอ...

“เป็นอะไรวะไอ้เสือ...” อัคราถามน้องชายที่ถ่อสังขารมานั่งถอนหายใจเฮือกๆ อยู่ตรงหน้ามานับชั่วโมงแล้ว

“ฉันว่านะพี่เด่น มันอาการเดียวกับฉันตอนง้อขอคืนดีน้องบีไม่สำเร็จเลยว่ะ”

“เออ จริงด้วยนะเดียว อาการเดียวกันเป๊ะ”

“แล้วตอนนั้นใครกันนะที่หัวเราะเยาะฉันจนฟันแทบร่วงเพราะถูกต่อยปาก...” อัคนีที่เดินทางมาสมทบกับพี่ชายทันทีที่รู้ว่าอัครวัฒน์มาที่ไร่ พูดขึ้นอย่างสะใจเมื่อได้เอาคืนน้องชายที่เคยหัวเราะเยาะตนไว้ตอนที่เมียงอนไม่ยอมคืนดีด้วย

“โหย พี่ๆ ครับ... จะให้กำลังใจ จะหาทางออกให้น้องชายสุดหล่อหน่อยได้ไหมครับ” อัครวัฒน์โอดครวญ

“เรื่องนี้นายผูกเอง ก็ต้องแก้เอง”

“แต่มันก็ง่ายนิดเดียวหากนายจะแก้ไขทุกอย่างให้จบๆ กันไป...”

อัคราพี่ชายใหญ่แห่งดีแลนด์กล่าวเป็นการเป็นงาน ทำให้น้องชายทั้งสองหันมามองหน้าเขารอคอยคำตอบ

“ยังไงพี่เด่น” อัครวัฒน์ถามด้วยสีหน้าแช่มชื่นขึ้น...

“ก็แค่ ปล่อย และ วาง...” คำตอบของพี่ชายทำให้คนเป็นน้องชายอึ้งไป ระเบียงไม้กว้างขวางของเรือนเด่นซึ่งเป็นเสมือนห้องรับแขกทามกลางธรรมชาติอันงดงามที่สามพี่น้องแห่งดีแลนด์นั่งคุยกันอยู่นั้นเงียบสงัดเสียง หริ่งหรีดเรไรดังชัดขึ้นในความเงียบสงบของคำคืนข้างขึ้น แสงจันทร์นวลสาดส่องนวลกระจ่างไปทั้งท้องนภา...

“หวังว่านายคงทำตามที่พูดไว้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ...”

“แน่นอน ฉันสัญญา... ตลอดชีวิตฉันทำผิดมามาก แค่ได้ทำอะไรให้พ่อก่อนตาย ฉันก็พอใจแล้ว” มิ่งเมืองกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยเมื่ออัครวัฒน์เรียกเขามาพบที่เรือน

แม้เขาจะไม่ได้ถูกจองจำด้วยพันธนาการแน่นหนา แต่เขาก็ไม่อาจจะไปจากที่นี่ได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าชีวิตของเขาได้ด้วยเหตุผลที่ว่า คนที่เขารักทั้งสองคนอยู่ในกำมือของอัครวัฒน์... ที่สำคัญเขาอยากจะทำอะไรเพื่อไถ่โทษให้กับสิ่งที่เขาทำผิดพลาดไปด้วย...

“ก็ดี... ฉันหวังว่าฉันคงคิดไม่ผิดที่ให้โอกาสนายแก้ตัว แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อหนูเล็ก...”

“ขอบคุณมากสำหรับโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้”

“พรุ่งนี้คุณพ่อคุณแม่ฉันจะพาพ่อกับน้องสาวนายมาที่นี่ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นเดี๋ยวฉันจัดการเอง...”

อัครวัฒน์บอกเรียบๆ หากแต่สีหน้าของชายหนุ่มดูกังวลก่อนที่เขาจะหยิบของสิ่งหนึ่งมาส่งให้มิ่งเมือง...

“ของของนาย...” อัครวัฒน์วางสร้อยเงินซึ่งมีจี้รูปวงรีเก่าคร่ำคร่านั้นใส่มือมิ่งเมืองแล้วเดินกลับเข้าเรือนไปเงียบๆ

มิ่งเมืองมองสิ่งที่อยู่ในมือของตนด้วยความตื้นตันใจอย่างไม่อาจจะหักห้ามได้ สร้อยเงินสมบัติชิ้นเดียวที่เขามีอยู่และเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเขาซึ่งมันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในวันที่เขาได้นำร่างที่ลมหายใจรวยรินของชลิตาไปทิ้งไว้ข้างทาง แล้วตัวเขาก็หนีหายไปจากสังคมและหลบหนีความผิดอยู่เป็นปีๆ

น้ำตาลูกผู้ชายรื้นดวงตาก่อนจะเปิดจี้ซึ่งสามารถใส่รูปได้ข้างในออกและพบว่าทุกสิ่งที่อยู่ข้างในมันยังคงอยู่ในสภาพเดิม

ดวงตาสดใสของมนตรากับรอยยิ้มด้วยความสุขยังกระจ่างชัดอยู่บนดวงหน้านวลใสของเด็กสาวที่ถักเปียสองข้างซึ่งแนบแก้มของเธออยู่เคียงข้างเขา ส่วนฝาจี้อีกข้างนั้นเป็นรูปของบิดาได้ซีดจางและเขาเองก็ยังไม่ได้เปลี่ยนใหม่จนมาเกิดเรื่องเสียก่อน ด้วยเหตุนี้เองสินะอัควัฒน์จึงได้ตามเขาเจอและได้บังคับให้มนตราเป็นผู้หญิงของเขาเพื่อแก้แค้น...

“มน... พี่ขอโทษ พี่ขอโทษจริงๆ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel