บทที่ 11. เมื่อเสือร้ายกลายเป็นแมวเจ้าเล่ห์...
“พี่โดมคะ หนูเล็กจะไปแล้วนะคะ” อัครวัฒน์ตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อได้ยินเสียงปลุกจากใครคนหนึ่งซึ่งเขาคุ้นเคย
“หนูเล็ก... จะไปจะไหน”
“เวลาของหนูเล็กใกล้หมดแล้วค่ะ อีกไม่นานหนูเล็กก็จะต้องไปแล้ว และหนูเล็กก็ดีใจที่พี่โดมจะกลับมาเป็นคนเดิม เหมือนเดิมที่เคยเป็นมา... รู้ไหมคะ พี่โดมคนเก่าผู้ชายจอมกวน ยียวนกวนประสาทและปากเสียน่ารักกว่าพี่โดมที่ชอบทำหน้าดุๆ อีกแน่ะ”
ชลิตาพูดยิ้มๆ คราวนี้อัครวัฒน์สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเธอได้เป็นอย่างดี... ชลิตาดูสวยน่ารักสดใส ผิวขาวกระจ่างดังจะเปล่งประกายเรืองแสงได้กระนั้น ทั้งใบหน้าและแววตาไม่มีแววเศร้าสร้อยหรือตัดพ้อเขาเลยแม้แต่น้อย
“จริงเหรอ อาจจะเป็นเพราะหนูเล็กไม่เศร้าเหมือนก่อนแล้วมั้ง พี่เลยรู้สึกดี”
“ไม่คะ ไม่ใช่เพราะหนูเล็ก แต่เป็นเพราะเธอ... มนตรา...”
“เกี่ยวอะไรกับมนตราด้วย”
“เพราะเธอคือคนที่พี่โดมรักไงคะ... ความรักทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น...” พูดจบร่างกระจ่างสุกใสก็ค่อยๆ หายไปทิ้งไว้เพียงคำพูดของเธอที่ก้องอยู่ในความฝันที่ตามกระซิบให้เขาจดจำทั้งยามหลับและยามตื่น...
“หนูเล็ก...” อัครวัฒน์ตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่อย่างสดชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่ต้องหน้างอเมื่อตื่นมาไม่พบร่างบางนุ่มนิ่มที่กกอดมาตลอดคืน... ชายหนุ่มลูบใบหน้าคมหล่อเหลาของตนเบาๆ แล้วตบหลังต้นคอคลายความเมื่อขบขณะคิดถึงความฝันของตน...
“เพราะเธอคือคนที่พี่โดมรักไงคะ... ความรักทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น...” คำพูดของชลิตาในฝันนั้นยังดังก้องในหัว
หึ เป็นไปไม่ได้ เราไม่ได้รักมนตราเสียหน่อย... อัครวัฒน์รีบปัดความคิดนั้นออกไปเมื่อแดนนี่โทรศัพท์เข้ามารายงานอะไรบางอย่างและเมื่อได้ฟังใบหน้าคมก็เครียดลงและดูหงุดหงิดเล็กน้อย...
วันนี้บิดามารดาเขาจะมาที่นี่ ท่านทั้งสองมาพักผ่อนและเพื่อให้มารดาที่ลื่นล้มในห้องน้ำจนขาขวาหักได้รับอากาศที่บริสุทธิ์และได้ทำกายภาพบำบัดในที่โล่งๆ บรรยากาศดีๆ เช่นทะเล เพราะมารดาของเขาชอบทะเล เขาเองก็อยากให้มารดาหายป่วยเร็วๆ เช่นกันจึงอยากให้ท่านมาที่นี่ แต่การมาของบิดามารดามันคงจะวุ่นวายพอดูแล้วมนตราล่ะ เขาจะทำอย่างไรกับเธอดี...
“วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่ฉันจะมาที่นี่...คงจะมาถึงประมาณเย็นๆ” เขาบอกเมื่อเธอยกอาหารเช้ามาให้เขา อาหารเช้าที่ได้รับประทานเกือบเที่ยงวัน...
“ค่ะ”
“ฉันคิดว่าเธอคงรู้ตัวดีว่าควรวางตัวแบบไหน”
“ค่ะ...” หญิงสาวรับคำสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเบาแสนเบาและเจ็บร้าวไปทั้งใจ
“พ่อกับแม่ฉันต้องรู้แค่เพียงว่าเธอคือลูกสาวลุงมิ่งและมาทำงานดูแลบ้านแทนลุงมิ่งที่ฉันส่งตัวไปรักษาตัวอยู่เมืองนอก เธอเลยมาดูแลบ้านแทนแกเพื่อตอบแทนน้ำใจฉัน...” อัครวัฒน์ปรายตามองเสี้ยวหน้านวลใสทว่าซีดเล็กน้อยของเธอด้วยแววตาเย็นชาทั้งที่อยากจะกระชากร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นมากอดแล้วก็ร่วมรักกับเธออีกรอบที่โต๊ะอาหารนี่... บ้าเอ๊ย นี่เขาคิดแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน...
“อ้อ แล้วพ่อของเธอจะกลับมาประมาณต้นเดือนหน้านะ หมอบอกว่ามีอาการแทรกซ้อนนิดหน่อยแต่ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้วเลยต้องรอดูอาการให้หายดีก่อนส่งตัวกลับมา เธอไม่ต้องเป็นห่วง...”
“ขอมนคุยกับพ่อได้ไหมคะ”
“ไม่ได้” สั้นๆ แต่ได้ใจความ คำพูดของเขาทำให้น้ำตาเธอแทบร่วง มนตราถึงกับกัดริมฝีปากล่างของตัวเองจนรู้สึกเจ็บและรับรู้ถึงรสเค็มของเลือดในปาก... เขาช่างแตกต่างจากผู้ชายคนเมื่อคืนนี้เหลือเกิน ผู้ชายที่ช่างเอาอกเอาใจและแสนจะเร่าร้อน... ผู้ชายคนนั้นที่พอเช้ามาก็กลายเป็นผู้ชายใจร้ายอีกคน
“ค่ะ...” เป็นอีกครั้งที่เธอพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะรีบหันหลังจะเดินออกไปจากตรงนั้นเพราะเธอแทบจะเก็บกักน้ำตาไว้ไม่ไหวแล้ว...
“จะไปไหนนั่งลงเดี๋ยวนี้” เขาสั่งเสียงเข้มด้วยอารมณ์ทำให้มนตราจำต้องหันหลังกลับมานั่งตรงข้ามกับเขา
“แล้วก็กินอาหารนี่ซะ เธอคิดไหมว่าฉันจะกินหมดได้ยังไงคนเดียว” เขาพูดอีกแล้วตักข้าวต้มร้อนๆ ใส่ชามให้ด้วยกิริยาที่อ่อนโยนแตกต่างจากน้ำเสียงเข้มๆ นั้นราวพลิกฝ่ามือ
มนตราเหลือบมองมือใหญ่ที่จัดแจงตักข้าวต้มปลาให้เธอด้วยความรู้สึกแปลกๆ ทั้งยังแอบปลาบปลื้มกับการกระทำของเขาอย่างน่าละอายทั้งที่เมื่อกี้เขาเพิ่งตะคอกเธอเสียงดังและพูดให้เธอรู้สึกต้อยต่ำ... นี่หัวใจเธอมันไม่รักดีเลยหรืออย่างไร...
“กินสิ จะกินเองหรือต้องให้ฉันป้อน...” นั่นไง พ่อคนจอมสั่งสั่งเธออีกแล้ว... หญิงสาวเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ น้ำตาที่เก็บกักไว้คลอๆ หน่วยตาเมื่อครู่มีอันเหือดแห้งไปอย่างไม่รู้ตัวและได้แต่มองเขางงๆ
“สงสัยคงต้องป้อน...”
“มะ ไม่ต้องค่ะ มนทานเองได้...” เมื่อเขาทำท่าจะทำตามที่พูดจริงๆ ทำให้มนตราตื่นจากภวังค์รีบหยิบช้อนตักข้าวต้มเข้าปากโดยไม่คำนึงถึงความร้อนของมันสุดท้ายหญิงสาวจึงได้แต่อมข้าวไว้ในปาก ตาโตกับความร้อนของข้าวต้มจะกลืนก็ไม่ได้จะคายก็ไม่ออกหน้านวลซีดเซียวเมื่อครู่แดงก่ำดูน่าขัน จนอัควัฒน์ยิ้มกว้างแล้วหัวเราะออกมาด้วยความขบขันกับหน้าตาแสนตลกน่าเอ็นดูของเธอ
และรอยยิ้มของเขาก็ทำให้โลกทั้งโลกของมนตราสว่างไสว หัวใจสาวเต้นกระหน่ำเร้าระรัว วาบไหวหัวใจที่คิดว่าจะเอาคืนมาจากเขาก็มีอันหลุดลอยกลับไปอยู่กับเขาเหมือนเดิม...
สรุปแล้ว... เธอก็ยังรักเขาเหลือเกิน...
รถหรูสองคันที่วิ่งมาจอดหน้าบ้านริมหาดทำให้มนตราวางมือจากงานที่ทำอยู่ทันที หัวใจของเธอเต้นระทึกกับกลุ่มคนที่กำลังก้าวลงรถมาจากรถซึ่งเธอยังไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร คุยกับพวกเขาแบบไหน รวมถึงอัครวัฒน์ด้วย...
“คุณแม่ค่อยๆ เดินนะครับ ผมให้แดนนี่กับดาเนียลเตรียมพื้นที่สำหรับฝึกเดินให้คุณแม่แล้ว และผมก็มีคนที่จะมาช่วยดูแลคุณแม่ระหว่างอยู่ที่นี่ด้วย”
“แม่บอกแล้วว่าไม่ต้องวุ่นวาย นี่แม่แค่กระดูกร้าวนะ ไม่ได้ขาหัก ใครกันนะที่มาปล่อยข่าวว่าแม่ขาหักน่าตีจริงเชียว...” คุณดารา ดีแลนด์ นายผู้หญิงแห่งบ้านดีแลนด์กล่าวเสียงขุ่นที่ทุกคนดูจะวุ่นวายกับการดูแลตนมากเกินไป จนคนที่เคยทำอะไรต่อมิอะไรเองเริ่มหงุดหงิดเพราะไม่คุ้นชินกับการปรนนิบัติแบบนี้แม้ว่าขาของนางจะใส่เฝือกอ่อนก็เถอะ...
“โธ่ คุณแม่ครับ ก็ทุกคนเขาเป็นห่วงกลัวว่าคุณแม่จะเป็นอะไรมาก ไม่ใช่สาวๆ แล้วนะครับคุณดารา” อัครวัฒน์กล่าวเย้ามารดายิ้มๆ ทำให้ คุณดารากับคุณอีริค สามีคู่ชีวิตหันมามองใบหน้าสะอาดสะอ้านแม้จะมีไรหนวดเขียวๆ จางๆ บนใบหน้าหล่อเหลาของลูกชายคนเล็กด้วยความงุนงง...
“เอ่อ อะไรเหรอครับคุณแม่ คุณพ่อ มองหน้าผมเหมือนไม่เคยเห็น...” อัครวัฒน์ถามเก้อๆ เมื่อเห็นสายตาของบิดามารดาที่มองตนแต่แล้ว เงาร่างของใครบางคนที่เดินออกมาต้อนรับทำให้ทั้งคุณอีริคกับคุณดาราต้องหันไปมองหญิงสาวในชุดเรียบง่ายใบหน้าอ่อนใสราวเด็กสาวมัธยมปลายอย่างสงสัยแกมคาดหวัง...
“สวัสดีค่ะคุณท่าน...”
มนตรากล่าวพร้อมทั้งทำความเคารพบุคคลทั้งสองด้วยท่าทางอ่อนน้อมน่ารักในสายตาของผู้อาวุโสกว่า อัครวัฒน์กระแอมในลำคอเบาๆ เพื่อเรียกความมั่นใจของตัวเองคืนมา
“เอ่อ นี่คือมนตราครับ เธอเป็นลูกสาวของลุงมิ่ง ที่ผมเล่าให้ฟังน่ะครับ”
“อืม... หน้าตาน่ารักดีนี่นา ไหนมาใกล้ๆ ฉันหน่อยสิ ชื่อมนตราใช่ไหม...” คุณดาราเอ่ยเรียกมนตรามองหน้าเจ้าชีวิตของตนอย่างไม่มั่นใจว่าจะทำอย่างไรดีและท่าทางลังเลเหมือนกลัวเกรงลูกชายของตน ทำให้คุณอีริคหรี่ตามองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างจับพิรุธแต่ไม่พูดออกมาแต่แสดงให้เห็นว่าตนนั้นรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของลูกชายตัวดีมากน้อยแค่ไหน คุณอีริคเดินไปโอบไหล่บอบบางของมนตราด้วยท่าทางอ่อนโยนเอ็นดูแล้วรั้งให้เธอเดินตามมายังภรรยาของตนด้วยท่าทางสุภาพอบอุ่น
“ไม่ต้องกลัวนะหนู เราไม่กัดหรอก มาใกล้ๆ คุณนายใหญ่ดีกว่า หากถูกใจ หนูขออะไรคุณดาราจัดให้หมดเลยนะ...” คุณอีริคขุดหลุมล่อลวงให้เสือร้ายเผยตัวตนและดึงความสนใจของสาวหน้าใสให้มาจดจ่ออยู่กับภรรยาของตนได้ไม่ยากเย็นก่อนจะหันมามองหน้าลูกชายอย่างคาดโทษซึ่งอัครวัฒน์ทำทีเมินหลบสายตาของผู้เป็นพ่อเสีย...
“ไหนมาตรงนี้สิ มาช่วยพยุงฉันที”
“ค่ะคุณท่าน” เมื่อคุณดาราเรียกด้วยน้ำเสียงอารีมนตรารีบเข้าไปประคองท่านทันทีด้วยความตื่นเต้นดีใจและรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด การที่เธอขาดมารดามาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนได้รับการเติมเต็มและทำให้หัวใจของเธอพองโตคับอกด้วยความอบอุ่น..
“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะโดม มีอะไรที่ปิดบังก็บอกมาซะตอนนี้ เพื่อตัวโดมเอง...” คุณอีริกบอกลูกชายขณะมองดูภรรยาที่ถูกประคองเข้าบ้านไปด้วยความเอาใจใส่จากมนตรา
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับพ่อ”
“จริงเหรอ...”
“โธ่ คุณพ่อครับ...”
“โอเค... ไม่มีก็ไม่มี...” คุณอีกริคในวัยเจ็ดสิบที่ยังคงดูแข็งแรงและสมาร์ตหล่อเหลาไม่แพ้ลูกชายกล่าวเรียบๆ แล้วเดินเข้าบ้านไปเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ในหน้านั้นซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่แพ้ลูกๆ ทั้งสามคนของตน จะว่าไปแล้วเมื่อตอนหนุ่มๆ กิตติศัพท์ความเจ้าเล่ห์เหลือร้ายของ อีริค ดีแลนด์ ก็กระฉ่อนเลื่องชื่อลือนามไม่แพ้ใครในโลกเช่นกัน...
