บท
ตั้งค่า

บทที่ 11. เมื่อเสือร้ายกลายเป็นแมวเจ้าเล่ห์... จบตอน

คุณดารามองหน้าสามีคู่ชีวิตที่มีสีหน้าเครียดๆ ด้วยความสงสัยเพราะปกติแล้วคุณอีริคจะไม่ค่อยแสดงอาการเคร่งเครียดแบบนี้ให้เห็นบ่อยนักหลังจากที่ลูกๆ โตเป็นหนุ่มและมีความเจริญในหน้าที่การงานรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว

“มีอะไรรึเปล่าคะคุณพี่”

“ดาราคิดว่าลูกๆ มีอะไรปิดบังเราไหม”

“รู้สึกสิคะ แต่ลูกๆ คุณพี่เจ้าเล่ห์จะตาย เขาไม่บอกเราง่ายๆ หรอกค่ะ” ผู้เป็นภรรยากล่าวยิ้มๆ คุณอีริคยิ้มกว้างแล้วเดินมาโอบกอดร่างบอบบางของภรรยาที่รักไม่เสื่อมคลายไว้ก่อนจะหอมแก้มเหี่ยวย่นตามวัยนั้นด้วยความรักไม่เปลี่ยนแปลง...

“ลูกพี่คนเดียวเสียที่ไหน ลูกดาราด้วยล่ะ ร้ายกาจไม่เบาเหมือนดาราตอนสาวๆ ไม่มีผิด”

“หนูมนเป็นน้องสาวของมิ่งเมือง... คนที่ลักพาตัวหนูเล็กไปให้นายเนวินทำร้าย”

“แม้เนวินจะตายไปแล้ว และมิ่งเมืองก็ถูกพวกเขาทั้งสามคนลงโทษให้ทำงานหนักเป็นนักโทษอยู่ที่ไร่ตาเด่น แต่หนูมนก็ไม่น่าจะรอดมือเสือร้าย...”

“ถูกต้องค่ะ... และดูท่าทางเสือตัวนี้จะไม่ยอมรับด้วย” สองสามีภรรยามองหน้ากันอย่างค่อนข้างหนักใจ พวกเขาเข้าใจความรู้สึกของอัครวัฒน์ดีว่าการสูญเสียและความเจ็บปวดที่คนรักถูกทำร้ายเป็นอย่างไร แต่คนร้ายและคนผิดก็ถูกลงโทษและได้รับโทษทัณฑ์ของตนไปแล้ว ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยอย่างมนตราก็ไม่สมควรจะมาเป็นที่รองรับอารมณ์ของใคร ใครทำคนนั้นก็ควรจะรับผลกรรมของตนไป นี่คือสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่อยากให้ลูกๆ ของตนคิดตามด้วย การคิดแค้นเคืองกันแบบคนพาลไม่เคยให้ผลดีกับใคร...

“เราควรทำอย่างไรดีคะ น้องไม่อยากให้ลูกจมอยู่กับความเจ็บปวดและความแค้นหรือฝันร้ายใดๆ น้องอยากได้ตาโดมคนเดิมกลับคืนมามากกว่า”

“ไม่นานเกินรอหรอกที่รัก พี่เชื่อว่าหนูมนน่าจะช่วยเราได้”

“แน่ใจหรือคะ”

“ยิ่งกว่าแน่หรือน้องไม่ได้คิดแบบพี่”

“คิดค่ะ แอบหวังอยู่เหมือนกัน” คุณดารายิ้มให้สามีแล้วซบหน้าลงกับอกแกร่งแสนอบอุ่นของคุณอีริคที่มีให้นางมาเสมอกว่าสี่สิบปีที่ร่วมชีวิตกันมา...

“ไม่นานหรอกที่รัก ตาโดมคนเดิมของเราจะกลับคืนมา” คุณอีกริคกล่าวอย่างมั่นใจ...

“เธอพูดอะไรกับคุณแม่ฉันรึเปล่า” เสียงเข้มๆ ดังขึ้นด้านหลังทำให้คนที่กำลังนั่งลบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของตนอย่างคร่ำเคร่งสะดุ้งเฮือกแล้วรีบซ่อนมันไว้ใต้ที่นอนกลางเก่ากลางใหม่ของตน ตอนนี้เธอได้กลับมาพักอยู่ที่เรือนเล็กซึ่งเป็นบ้านพักคนงานแล้วเพื่อไม่ให้บิดามารดาของอัครวัฒน์สงสัยในความสัมพันธ์ของเธอกับเขา...

“เปล่านะคะ เพราะท่านไม่ได้ถามอะไรมน”

“แน่ใจเหรอ” เขาถามย้ำซึ่งมนตราก็พยักหน้าหงึกๆ แล้วรีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้วถอยห่างเขาไกลเป็นวาเลยทีเดียว และท่าทางของเธอก็ดูน่าขันนักในสายตาเขา เขารู้ว่าเธอกำลังทำอะไร เธอคงนึกว่าเขาไม่รู้ล่ะสิ...

“ก็ดี... รู้สถานะตัวเองก็ดีแล้ว แล้วนั่นจะเบียดตัวให้ทะลุกำแพงไปเลยรึไง”

“มนรู้ฐานะตัวเองดีเลยไม่อยากตีเสมอ หรืออยู่ใกล้เจ้านายมากไงคะ” เธอตอบเขาด้วยสีหน้าเรียบๆ แต่น้ำเสียงดื้อดึงจนรู้สึกได้

อัควัฒน์ยิ้มในหน้าเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปหาเธอเสียเองในเมื่อเธออยากจะถอยห่างเขานี่ล่ะจะรุกประชิดเธอเอง แต่มนตราที่เฝ้าคอยระวังตัวอยู่แล้วก็รีบขยับตัวหมายจะหนีให้พ้นวงแขนและพันธนาการจากเขาแต่เร็วเท่าความคิดเขาก็มาถึงตัวก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวออกจากที่ที่ยืนอยู่เสียด้วยซ้ำไป...

“ปล่อยมนนะคะ เดี๋ยวคุณท่านเรียกใช้มนแล้ว” พยายามดันอกกว้างไว้ไม่ให้ชิดแนบกับอกอิ่มของตนแต่ยิ่งผลักออกมันก็ยิ่งเหมือนจะชิดเข้ามามากกว่าเดิม

“ตอนนี้คุณแม่คงเข้านอนแล้ว คุณแม่นอนไม่ดึก ดังนั้นเธอไม่ต้องกลัวว่าคุณแม่จะเรียกใช้เธอ มีแต่ฉันนี่ล่ะจะเรียก... และตอนนี้ฉันก็อยากจะเรียกใช้เธอ...” เขาพูดพร้อมทั้งขยับสะโพกแกร่งเข้าชิดจนเธอรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่ดุนดันอยู่กับหน้าท้องเนียน มนตราหน้าแดงก่ำค้อนเขาอย่างหมั่นไส้ด้วยความอดไม่ได้ เดี๋ยวนี้อัครวัฒน์พูดจากับเธอมากขึ้นและกวนประสาทมากเสียด้วยสิ เขามักพูดจากยียวนและแหย่เย้าให้เธอเกิดความรู้สึกมากมาย ทั้งเสียใจน้อยใจ ดีใจ อบอุ่นและมีความหวังทั้งที่รู้ดีว่าตนไม่มีหวัง

ว่าแต่เขาไปให้ความหวังเธอตอนไหนกันล่ะ... คำตอบก็คือ เธอหวังไปเอง...

มนตราถามและตอบตัวเองในใจด้วยความสับสน... สับสนกับอารมณ์ของตนเองและอารมณ์ของเขา ซึ่งเธอไม่เคยเดาถูกเลยสักครั้งว่าเขาจะมาไม้ไหนกับเธอ

“ตะ แต่ มนก็ต้องพักผ่อน พรุ่งนี้มนจะลุกทำอาหารให้คุณท่านแต่เช้า”

“ถ้าเธอไม่พูดมากและยอมดีๆ ฉันจะไม่ใช้งานเธอดึกและเราจะได้นอนเร็วกว่าตีสามตีสี่แน่นอน ฉันสัญญา...” มนตราเงยหน้ามองเขาตาโต หน้านวลแดงก่ำกับคำพูดของเขาซึ่งเธอรู้ความหมายดี

“คุณ... คนทะลึ่ง ปล่อยนะ... วันนี้มนเหนื่อยมนไม่มีแรงจะทำงานให้คุณหรอก” คนตัวเล็กก็พยายามดิ้นออกจากวงแขนแกร่งด้วยความเอียงอายหัวใจสาวเต้นไหวระรัวกับคำพูดและแววตาของเขาทั้งที่แข้งขาอ่อนเปลี้ยไปหมดตั้งแต่ไดกลิ่นกายหอมสะอาดในแบบบุรุษที่คุ้นเคย ยิ่งรับรู้ความตื่นตัวของเขาเธอก็ยิ่งอ่อนแรงยิ่งกว่าขี้ผึ้งโดนไฟเสียอีก

อัครวัฒน์หัวเราะเบาๆ ในลำคอกับท่าทีเอียงอายของเธอในขณะที่มือไม้ก็ไม่ได้อยู่เฉยมันปัดนั่นแกะนี่จนเดรสสั้นตัวสวยที่เธอใส่อยู่กับบ้านมีอันหลุดร่วงไปกองอยู่ที่พื้นทั้งเนื้อทั้งตัวเธอเหลือเพียงชั้นในลูกไม้สีหวานปกปิดกาย

หญิงสาวพยายามเบี่ยงกายหลบเร้นสายตาวาววามของเขาแต่ก็ทำไม่ได้เมื่อเขาโน้มใบหน้าลงมาบดเบียดเธอไว้ด้วยกายแกร่งและริมฝีปากร้อนรุมด้วยเพลิงเสน่หาของเขา มือบางที่พยายามปิดทรวงอกอิ่มถูกเขารวมไว้ด้วยมือทั้งสองข้างที่กดข้อมือบางไว้กับผนังห้องตอนนี้เธอจึงเหมือนถูกตรึงติดไว้กับผนังเย็นเฉียบด้านหน้าของกายสาวกึ่งเปลือยก็มีร่างแกร่งของเขาเป็นปราการอีกชั้นหนึ่งซึ่งเธอทำได้เพียงแหงนเงยใบหน้าครางกระเส่าเมื่อเขาเลื่อนใบหน้าลงมาขบเม้มผิวเนื้อนวลก่อนจะใช้ฟันคมและปากร้ายรั้งบราตัวสวยออกจากเต้าอวบและครอบครองยอดอกสีหวานอย่างหิวกระหาย เรียวลิ้นร้อนที่ตวัดไล้เลียดูดดึงเร่าร้อนนั้นทำให้มนตราไม่อาจจะต้านทานกระแสเสน่หาที่เขาสร้างขึ้นได้ มือเรียวเล็กที่เป็นอิสระจากมือใหญ่ของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้นั้นสอดเสียเรือนผมดกหนาของเขาให้คลุกเคล้าแนบชิดเธออย่างเสียวกระสันทั้งเธอยังแอ่นอกท้าทายให้เขาดื่มกินอย่างลืมอายอีกด้วย

“อื้มมม... อา คุ คุณโดม พี่โดมขา มนเสียว...”

มนตราครางกระเส่าเสียงดังอย่างลืมตัวเมื่อเขาใช้ฟันคมๆ ขบยอดอกเธอแรงๆ เหมือนแกล้งให้เจ็บ แต่มันสร้างความเจ็บปนเสียวซ่านให้เธอจนเธอเสียวแทบขาดใจเพราะมือหนาอีกข้างก็เลื่อนต่ำลงไปแหย่เย้าหยอกล้อที่ยอดเกสรสาวอย่างเมามัน ร่างสาวจึงส่ายพลิ้วเสนอสนองเขาอย่างเร่าร้อนน่ารักจนอัครวัฒน์เองก็ร้อนระอุจนปวดหนึบไปทั้งท่อนกายแกร่งที่มันพยายามจะดุนดันกางเกงของเขาออกมาแสวงหาความอบอุ่นอ่อนนุ่มของกลีบดอกไม้สาวสดฉ่ำเยิ้มพราวด้วยน้ำหวานสวรรค์สวาทของเธอ

“โอว เธอทำให้ฉันคลั่งมนตรา มนจ๋า...” ชายหนุ่มครางกระเส่าไม่ต่างกันเมื่อละริมฝีปากออกมาจุมพิตหนักๆ กับปากนุ่ม ดวงตาคมขุ่นด้วยกระแสสวาทมองร่างสาวที่ส่ายร่อนเชิญชวนอย่างลืมตัวด้วยความหลงใหล ใบหน้าสาวแดงก่ำ ริมฝีปากอิ่มบวมเจ่อเผยอครางกระเส่าเร้าอารมณ์หนุ่มให้กระเจิง

ชายหนุ่มรีบถอดเสื้อเชิ้ตเนื้อดีกับกางเกงยีนยี่ห้อดังออกจากกายแกร่งอย่างเร็วไวก่อนจะเลื่อนกายลงคุกเข่ากับพื้นให้ใบหน้าหล่อเหลาเสมอกับดอกไม้สาวสดฉ่ำพรั่งพร้อมแล้วยกเรียวขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนบ่าแกร่ง ชายหนุ่มจ้องมองดอกไม้สาวที่เบ่งบานเต็มสองตาคมแล้วลำคอเหมือนจะแห้งผากดั่งคนกระหายน้ำมาแรมปีขึ้นมาทันที และเขาไม่รอช้าที่จะดื่มกินน้ำบ่อน้อยตรงหน้าแน่ๆ

“อ๊า อา... พะ พี่โดม ขา อู้ยยย ซี้ดดด...” มนตราครางเสียงแหลมจนแทบจะเป็นเสียงกรีดร้องเลยทีเดียวเมื่อลิ้นร้อนระอุแตะตวัดลงกับกลีบดอกไม้ของตน เกสรสาวถูกดูดดึงหยอกล้ออย่างเมามันด้วยปากและลิ้นของเขา

ร่างสาวสั่นเทิ้มจนขาแทบจะยืนไม่อยู่ดีที่ว่ามันสามารถพักพิงกับบ่าแกร่งและผนังห้องที่แทบจะร้อนไหม้ด้วยเพลิงสวาทที่ลามเลีย หญิงสาวแอ่นสะโพกสาวเข้าหาปากเขาอย่างร้อนรนอยากให้เขาแนบชิดลึกล้ำมากกว่าที่เป็นอยู่มือเรียวก็บีบเฟ้นทรวงอกของตนเพื่อระบายความเสียวซ่านทั้งจิกลงบนบ่าแกร่งของเขาสลับกันไปมา กลิ่นเพศรสคละคลุ้งไปทั้งห้องกระตุ้นเร้าให้หัวใจหนุ่มสาวเตลิดลิ่ว...

“โอว มนจ๋า แม่มดน้อย เธอนี่แม่มดชัดๆ” อัครวัฒน์ครางชิดดอกไม้สาว

ร่างงามเกร็งกระตุกเมื่อเขาส่งไปไปเหยียบย้ำแดนสวาทงามได้ก่อนตน ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วรั้งเรียวขาทั้งสองข้างโอบรัดรอบเอวสอบก่อนจะจับแก่นกายแข็งขึงสอดลึกเข้าไปในดงดอกไม้ฉ่ำเยิ้มของเธอช้าๆ

“โอ้ววว... คับแน่นเหลือเกินมนจ๋า สุดๆ อู้วว...” ชายหนุ่มครางหนักๆ เมื่อความคับแน่นของเธอบีบรัดตัวตนเขาแน่นจนแทบขยับไม่ได้

“อ่า อืม พี่โดม...” มนตราครางเรียกเขาด้วยความลืมตัวเมื่อเขาขยับกายช้าๆ แผ่นหลังบางที่ถูกดันชิดกำแพงแอ่นขึ้นเพื่อบดเบียดอกอวบกับอกแกร่งของเขา

ดวงตางามปรือปรอยฉ่ำพราวด้วยเพลิงเสน่หา ริมฝีปากก็เผยอครางอย่างไร้จริตยิ่งทำให้คนมองหลงใหลอดไม่ได้ที่จะบดเคล้าจุมพิตเร่าร้อนลงไป ในขณะที่สะโพกแกร่งก็ไม่หยุดเคลื่อนไหวระรัวเร็วขึ้นตามอารมณ์สวาทที่โหมไหม้ราวไฟป่าหน้าแล้ง

เสียงครางและเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องห้องเล็กประหนึ่งเสียงดนตรีสวาทเร่าร้อนที่เขาและเธอร่วมกันบรรเลงก่อนจะพากันก้าวไปสู่แดนสวาทหวามได้สำเร็จ ซึ่งอัครวัฒน์ปลอดปล่อยทุกหยาดหยดนาวาสวาทเข้าสู่กายบางเหมือนดังเช่นทุกครั้ง...

“โอว มน เธอนี่ร้ายกาจเหลือเกิน รีดพลังไปจากฉันจนหมดเรี่ยวแรง...” เขาพูดล้อเธอยิ้มๆ ทั้งยังหอบกระเส่าในขณะที่มนตราปรือตามองเขาอย่างยากเย็น

เหมือนว่าร่างกายเธอมันไม่มีกระดูกและเปลือกตาก็หนักอึ้งเหมือนใครเอาอะไรมาทับไว้หรือเย็บมันติดกันจนเธอแทบลืมตาไม่ขึ้นแต่ก็กระนั้นเธอก็ทำเสียงเล็กๆ ต่อว่าเขาในลำคอทำให้อัครวัฒน์หัวเราะคนดื้อเงียบด้วยความเอ็นดูก่อนจะช้อนอุ้มร่างงามมายังเตียงเล็กแล้วทอดกายนอนกอดก่ายเธออย่างสนิทสนม

“ลุกสิคะ มนจะอาบน้ำเหนียวตัว คุณก็ควรกลับไปที่บ้านใหญ่” เมื่อพอหายใจเป็นปกติเธอก็เบี่ยงกายหนีเขาแต่หนีไปไหนไม่ได้เมื่อเขาเกี่ยวเอวบางไว้ด้วยแขนและขาแกร่งที่รัดเธอแน่นเหมือนงูยักษ์

“ก็ดีนะ ป่ะเราไปอาบน้ำกัน”

“มนบอกให้คุณกลับไป มนจะอาบน้ำคนเดียวและไม่ได้หมายความว่าจะอาบกับคุณ”

“พูดไม่เห็นจะเพราะ เรียกพี่โดมเหมือนตอนเมื่อกี้นี้สิ” เขากลับพูดไปอีกทางหน้าตาเฉยทั้งยังทำท่าจะอุ้มเธอเข้าห้องน้ำเสียอีก

“ไม่คะ คุณควรกลับไป ห้องน้ำมันเล็กนิดเดียวมนเข้าได้แค่คนเดียว” มนตราดิ้นออกจากวงแขนเขาอย่างดื้อรั้นและเขินอายกับความใกล้ชิดที่ทำให้เธอร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ อัครวัฒน์ยิ้มใส่ตาเธอเหมือนรู้ทันยิ่งทำให้หญิงสาวอายมากขึ้น

บ้าจริง ทำไมเธอต้องเป็นและรู้สึกแบบนี้ด้วยนะ น่าอายที่สุด...

“อย่าพูดมากน่า เดี๋ยวดึกนะเรารีบอาบน้ำกันดีกว่า...” และสุดท้ายมนตราก็ครางกระเส่าระทดระทวยอยู่กับอกกว้างอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรงเมื่อการอาบน้ำในห้องน้ำแคบๆ นั้นมันเร่าร้อนจนเธอครางเสียงแหบเสียงแห้งเลยทีเดียว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel