บทที่ 2 ตาม! (3)
เธอยืนพิงประตูอย่างหมดแรงก่อนพ่นลมหายใจออกมาทางปาก จากนั้นจึงชะโงกหน้าออกมานอกหน้าต่างซึ่งสามารถมองเห็นลานจอดรถได้ดี ตอนนี้ไม่มีธวัชหรือชายชุดดำรูปร่างใหญ่โตอีกแล้ว
“เฮ้อ รอดตัวไป”
จันทร์ฉายถอนหายใจอีกเฮือก แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ได้เก็บอาหารที่ซื้อมาตุนไว้ติดมือขึ้นมาด้วย หญิงสาวจึงเซ็งอารมณ์อีกครั้ง
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อเชิ้ตตัวโคร่ง และกางเกงขาสั้นใส่สบายเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงหันมาเล่นเฟสบุ๊กเพื่อพูดคุยกับเพื่อน ๆ และติดต่อกับรินดาว พี่สาวฝาแฝดซึ่งอยู่ประเทศอิตาลี พอบอกว่าเธอถูกพักงานเพราะมีเรื่องกับแฟนหนุ่มเท่านั้น รินดาวจึงชวนเธอเดินทางมายังอิตาลีทันที
“ทำเรื่องลาพักร้อนเพิ่มสิ ฉันจะได้พาเธอเที่ยว”
รินดาที่อยู่ในชุดสีแดง สวมทับด้วยเสื้อสูท สวมต่างหูวงโต ซึ่งเป็นเจ้าแม่แฟชั่นชวนคุยผ่านกล้องโน้ตบุ๊ก ซ้ำเธอกำลังแต่งหน้า
“เปลี่ยนเป็นเธอบินมาเมืองไทยไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้หรอก พักนี้ฉันงานล้นมือ ต้องเก็บตัวทำงาน ยังเดินทางไม่สะดวกเท่าไหร่” รินดาวบอกด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ พลางใช้พูกันป้ายสีลิปสติกแล้วนำมาวาดบนริมฝีปาก
“เสียดายค่าตั๋วเครื่องบินน่ะ ฉันยิ่งถูกสั่งพักงาน กำลังขาดรายได้” จันทร์ฉายบ่นกระปอดกระแปดตามแต่เรื่อง
ด้วยว่าเธอไม่ได้โชคดี ร่ำรวย หรือมีเงินถุงเงินถังใช้ อย่างที่ใคร ๆ เข้าใจ แต่เงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่หามาได้นั้น ต้องใช้น้ำพักน้ำแรงเข้าแลกเลยทีเดียว
“งกไปได้ ให้รางวัลตัวเองบ้างสิ เหนื่อยมาทั้งปีแล้ว ทำงานมาสองปี ไม่เคยขาด ไม่เคยลาพักร้อน มีที่ไหน” รินดาวไม่วายแหย่น้องสาวฝาแฝดเล่น
“ก็คนอยากรวยนี่ ใครจะโชคดีเป็นหนูตกถังข้าวสารเหมือนเธอเล่า ได้แฟนเป็นมหาเศรษฐี ซ้ำยังมีงานดี ๆ ทำอีก”
ใช่ว่าอิจฉาพี่สาวฝาแฝดนะ แต่เมื่อนำชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง และพี่สาวฝาแฝดมาเปรียบเทียบกัน จันทร์ฉายจะรู้ว่าเธอด้อยกว่ารินดาวตลอดมา ซึ่งเรื่องที่รินดาวทำงานเป็นดีไซเนอร์ผู้มีชื่อเสียง ได้สร้างความภาคภูมิใจให้จันทร์ฉายเช่นกัน
คนไทยอาจไม่รู้จักพี่สาวของเธอ แต่ชาวต่างชาติต่างให้การยกย่องพี่สาวของเธอเป็นอย่างมาก จะบอกว่ารินดาวเป็นเจ้าแม่แฟชั่น และเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นของอิตาลีก็ว่าได้
“ไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า ชีวิตฉันไม่เลิศหรูอย่างที่เธอเห็นหรอก ว่าแต่เธอจะมาเที่ยวอิตาลีมั้ย เดี๋ยวฉันออกค่าตั๋วไปกลับให้”
“จริงเหรอ” จันทร์ฉายทำตาโตใส่คู่แฝดทันที
“แหม พอบอกของฟรีตาโตเลยนะยะ มามั้ยล่ะ เดี๋ยวให้คนไปรับ”
“ไปสิ” จันทร์ฉายรีบตอบรับ ชนิดโยนความลังเลไม่แน่ใจทิ้งทันที
ส่วนรินดาวหัวเราะคิกคัก “รีบมาเร็ว ๆ ล่ะ ได้เที่ยวบินแล้วบอกฉันด้วย”
“โอเค แค่นี้ก่อนนะ ขอฉันจัดการเรื่องก่อน”
บอกสั้น ๆ เท่านั้น จันทร์ฉายจึงยกเลิกการติดต่อ จากนั้นจึงเปิดตู้เย็นเพื่อหาของกินที่แช่อยู่ในตู้ แต่กลับไม่มีอะไรเหลือให้เธอกินได้เลย นอกจากมะเขือเทศสองลูกที่เธอซื้อมาสำหรับพอกหน้า สุดท้ายจันทร์ฉายจึงจำใจต้องออกจากห้อง ลงไปยังชั้นล่างเพื่อหาซื้ออาหารสำเร็จรูป ระหว่างนั้นวิสุทธิ์ได้โทรเข้ามาเสียก่อน
“ว่าไง?”
“โปรแกรมวันหยุดทำอะไรบ้างครับคุณผู้หญิง?” วิสุทธิ์ล้อเล่นตามประสาคนอารมณ์ดี
“อยู่ห้อง ช็อปปิ้ง” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ
“นึกว่าไปเที่ยวไหนซะอีก”
“กำลังวางแผนอยู่ ที่ทำงานเป็นไงบ้างล่ะ?”
“หัวปั่นน่าดู ลูกค้าเยอะเช็คอินเยอะมาก พอดีมีลูกทัวร์จากจีนมาลงน่ะ ผู้จัดการคิดผิดมากเลยนะที่สั่งพักงานฉายน่ะ”
จันทร์ฉายหัวเราะ “สมน้ำหน้าผู้จัดการ แล้วนายโทรมามีอะไรล่ะ?”
“เราว่าจะชวนเธอไปดูหนัง”
เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เธอจะไปไหนมาไหนกับวิสุทธิ์และเพื่อน ๆ ในกลุ่ม และไม่ใช่เรื่องแปลกหากเธอกับวิสุทธิ์จะไปไหนมาไหนกันสองต่อสอง
“ไปเมื่อไหร่?”
“คืนนี้เลยเป็นไง?”
“ขี้เกียจออกจากห้อง พอดีเพิ่งมีเรื่องน่ะ”
“เรื่องอะไร?” น้ำเสียงของวิสุทธิ์เต็มไปด้วยความห่วงใยทันที
“เรื่องธวัชน่ะสิ ตามตอแยฉันไม่เลิกเลย เจ้าหมอนั่นโกรธที่ฉันเตะผ่าหมากแล้วชิงบอกเลิกก่อนไง ก็เลยตามมาคิดบัญชี”
คนฟังถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมธวัชถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ส่วนจันทร์ฉายถูกเล่นงานจนต้องพักงาน ทั้งที่ตลอดเวลาจันทร์ฉายคือพนักงานดีเด่นของทางโรงแรม ไม่เคยขาด ลา หรือมาสายเลยสักครั้ง
“เป็นเรา เราก็โกรธว่ะ”
“อ้าวเฮ้ย พูดแบบนี้ได้ไง นายเป็นเพื่อนฉัน นายควรจะเข้าข้างฉันนะเว้ย” จันทร์ฉายของขึ้นทันที เมื่อวิสุทธิ์พูดจาเข้าข้างธวัช
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดสิ เราเข้าข้างเธอนั่นล่ะ แต่ไม่คิดว่าจะเล่นหนักขนาดนี้”
“ช่วยไม่ได้ นายนั่นอยากหาเรื่องนอกใจฉันทำไมล่ะ” น้ำเสียงของจันทร์ฉายมิได้ใยดีกับธวัชแม้แต่น้อย อีกทั้งเลิกเสียใจทันทีเมื่อได้เห็นธาตุแท้ของธวัช
