2 งูพิษ (4)
“ยังไม่นอนอีกหรือขอรับ” เสียงอาลีคนติดตามผู้ซื่อสัตย์ดังขึ้น เมื่อเข้ามาเห็นผู้เป็นนายนั่งเหม่อม้วนผ้าผืนเก่าเล่น
“เรานอนไม่หลับ ว่าแต่ท่านเถิด ทำไมถึงยังไม่พักผ่อน?”
ชีคหนุ่มถามผู้ติดตาม
“คำตอบเดียวกับนายท่านขอรับ” อาลีโค้งศีรษะตอบ ชีคหนุ่มยิ้มฟันขาว
“ไม่ต้องห่วงเราหรอก เราไม่เป็นอะไร” อาร์เรมัลตอบอย่างรู้ทันความคิดอาลี
“ขอรับ” อาลีทิ้งตัวนั่นบนพรมแดงแล้วจุดกำยานเหมือนที่ทำทุกราตรี
“แถบนี้มีพวกวณิพกเยอะหรือ?”
อาลีชะงักมือไป นี่ล่ะมั้งคือสาเหตุที่ทำให้ชีคอาร์เรมัลไม่ยอมเข้านอน
“มีแต่ไม่มาก เท่าที่กระผมรู้เขตนี้เป็นเขตการค้าเสรีปลอดภาษี แต่คนของทางการค่อนข้างเข้มงวดไม่ปล่อยให้พวกขอทานเร่ร่อนเข้ามาเร่ขอทานขอรับ”
“มิน่า เจ้าหนุ่มน้อยนั่นถึงรีบเผ่นแนบเมื่อเห็นคนของทางการ”
อาลีรับฟังเงียบ ๆ
“พอจะรู้ไหมว่าคนพวกนั้นพักอยู่ที่ไหน?”
“ยินว่าอยู่ไม่เป็นที่ ค่ำไหนนอนนั่น”
คำตอบของอาลีทำเอาชายหนุ่มถอนใจยาวด้วยสังเวชใจคนพวกนี้นัก แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย
“เจ้าสองตัวนั่นเปิดปากหรือยัง?”
“ยอมบอกแล้วขอรับ มันสารภาพว่าเป็นคนของ ‘ลอร์เวียอิม’ ที่โดนพวกเราถล่มยับ”
ชายหนุ่มรับฟังเงียบ ๆ อย่างใช้ความคิด อาลีจึงตัดสินใจส่งกันจาร์เล่มเก่าที่ได้จากหนึ่งในสองคนร้ายให้กับชีคอาร์เรมัล ชายหนุ่มรับมาดูตราสัญลักษณ์ที่ปลายด้าม ดวงตาสีนิลกาฬหรี่ลง แล้วปรายตามองอาลีพร้อมยื่นมีดกันจาร์ให้อาลีดังเดิม
“มีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกไหม?”
“ตอนที่สอบปากคำ กระผมแยกพวกมันออกจากกัน ทั้งสองตอบตรงกันว่าไม่มีขอรับ”
“ดีมากอาลี”
“นายท่านจะลงโทษพวกมันสถานใดหรือขอรับ?”
ชีคอาร์เรมัลยิ้มเย็น
“เราไม่ใช่ผู้กำหนด แต่คนพวกนั้นกำหนดความตายเอาไว้ในตัวมันเองแล้ว”
เสียงนั้นเย็นเยือกนัก อาลีรู้ว่าชีคอาร์เรมัลจะใช้วิธีใดกำจัดทรชนทั้งสอง
...งูนั้นคืนสนอง
เช้าวันต่อมา เสียงนกร้องปลุกให้กาเรมตื่นจากห้วงนิทรา
หญิงสาวลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมาแล้วรีบจัดการกับตัวเองทันทีเมื่อเห็นดวงอาทิตย์เป็นสีส้มสว่างจ้า มันงดงามมากหากแต่กาเรมไม่มีเวลาชื่นชมความงามของมัน เพราะตอนนี้สายมากแล้ว
หญิงสาวออกไปขอทานตามเดิมโดยไม่ลืมเอาเครื่องดนตรีติดมือไปด้วย นางมาตั้งหลักที่เดิม ที่ตลาดใจกลางเมือง
ถึงจะสายแต่ผู้คนยังเดินกันให้พลุกพล่านส่งเสียงจอแจเอ็ดตะโรตามแต่เรื่อง เสียงอุปกรณ์ปรุงอาหารดังก๊อกแก๊ก และกลิ่นอาหารหอม ๆ ก็โชยเข้าจมูก
กาเรมเลียปากแผล็บเมื่อท้องร้องหาอาหาร
เศษเงินยังพอมีติดก้นกระเป๋า หญิงสาวยินดีนำมันไปแลกกับอาหารเมื้อแรกของวัน นางถือคติ ‘ท้องหนักไว้ก่อนเป็นพอ’ พออิ่มท้องกาเรมก็ตบพุงแปะ ๆ แล้วหาที่เหมาะ ๆ นั่งลง
วันนี้กาเรมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเพราะเห็นพวกเดียวกันเข้า ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าสหายร่วมอาชีพถึงจะถูก ทั้งสามคนแต่งกายไม่ต่างจากนาง ยังยึดรูปแบบขอทานมอมแมมเหนียวแน่น สายตาที่มองมายังนางดูไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลย หญิงสาวเลยถอนใจยาว...
‘เลี่ยงได้ก็เลี่ยงบ้างเถอะกาเรม’ หญิงสาวบอกตัวเองแล้วเดินหนีไปทางอื่น
จนเวลาล่วงเข้ามายามบ่าย ความร้อนระอุจากดวงอาทิตย์ที่แผดเผาลงมาราวลงโทษเม็ดทรายก็ทำให้กาเรมทิ้งตัวนั่งลงริมทางที่มีเงาบ้านทรงสี่เหลี่ยมก่อจากดินเหนียวสีอิฐทอดบัง ความร้อนจากมวลอากาศทำให้นางคอแห้งนัก วันนี้โชคไม่เข้าข้างนางเลย ไม่มีคนใจดีให้อัฐกับนางสักคน
หายร้อนและเหนื่อยแล้ว หญิงสาวก็ลุกขึ้นเดินสำรวจตลาดบาร์กีเพื่อดูนั่นดูนี่ตามแต่ใจปรารถนา มีสินค้ามากมายที่น่าซื้อหา แต่กาเรมมองดูสินค้าเหล่านั้นอย่างตื่นใจเท่านั้น
ผ้าสีสดสวยกองขายอยู่ริมทางเดิน มันดึงดูดความสนใจจากกาเรมได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะสิ่งที่กาเรมให้ความสนใจมากกว่าก็คือเครื่องดนตรีชิ้นสวย
หญิงสาวเลือกที่จะเดินดูเงียบ ๆ โดยไม่แตะต้องสินค้านั้นแม้แต่ปลายเล็บ
นางรู้สภาพการเงินของตัวเองดี เพราะเห็นป้ายบอกราคาเป็นตัวเลขอาราบิกนั่น กาเรมก็รู้ว่านางคงต้องขอทานเป็นแรมปี ถึงจะรวบรวมเงินซื้อเครื่องดนตรีชิ้นงามได้ แม้จะสนใจในเครื่องดนตรี แต่นางก็จำต้องตัดใจเพราะเสียงไล่ของพ่อค้า
“ไป ๆ ข้าไม่ซื้อขายกับพวกขอทาน”
หญิงสาวมองหน้าพ่อค้านั่นและก้มหน้าเดินจากไปเงียบ ๆ
‘ขอทานไม่ใช่คนหรือไง’ หญิงสาวตะโกนก้องในใจด้วยความเจ็บใจเท่านั้น
