2 งูพิษ (1)
เมื่ออาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปผืนทรายที่ร้อนระอุก็เย็นตัวลงอีกครา ราตรีที่หมุนเปลี่ยนเริ่มทวีความเหน็บหนาวขึ้นทีละน้อย กาเรมยังวนเวียนอยู่ที่เดิมแต่นางได้หาที่พลางตัว
กระนั้นนางยังอยู่ในรัศมีของถนนสายนั้นโดยอาศัยกระโจมหลังเดิมเป็นที่กบดาน
ฝุ่นแดงยังลอยคว้างกลางอากาศเพราะฝีเท้าม้าที่ควบผ่านไปตลอด ความมืดที่โรยตัวอยู่รายรอบนั้นสามารถพลางตัวได้เป็นอย่างดี
แม้ยามค่ำคืนเมืองแห่งนี้ยังไม่ตกอยู่ในห้วงนิทรา ยังคงมีผู้คนเดินไปมา เพียงแต่ไม่หนาตาเท่าช่วงเช้า และกาเรมก็สังเกตเห็นว่าส่วนใหญ่ผู้ที่มาเดินจะเป็นผู้ชาย
คงจะเป็นพวกนักท่องราตรีกระมัง เพราะเมืองนี้ได้รับการขนานนามว่านครแห่งราตรี...
แล้วสายตาของกาเรมก็เห็นเจ้าสองคนนั้นที่หมายปองร้ายท่านชีคอาร์เรมัลเข้า การแต่งกายของคนทั้งสองยังคงเดิม แล้วหญิงสาวก็สังเกตเห็นอีกว่าพวกมันอยู่ในสภาพพร้อมลงมือแล้วเช่นกัน...
อาวุธอะไรนั้นกาเรมเห็นไม่ชัด รู้แค่ว่าเป็นถุงผ้าใบโต ในนั้นต้องมีอะไรอยู่แน่นอน ท่าทางของพวกมันดูมั่นใจจนกาเรมชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะลงมือเช่นไร
ไม่ทันจะได้ทิ้งตัวนั่งลงด้วยซ้ำ กาเรมก็เห็นพวกมันเริ่มเคลื่อนไหว แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันด้านนอกฉาบแสงสีส้มทำให้กาเรมได้เปรียบเพราะสามารถเห็นพวกมันได้ชัดเจน
มีกลุ่มชายฉกรรจ์เดินมาท่าทางสบายอารมณ์ และหนึ่งในนั้นกาเรมมั่นใจว่าต้องมีชีคชื่อยาวปนมาอย่างแน่นอน
ว่าแต่คนไหนล่ะท่านชีคอาร์เรมัล
คำถามนั่นถูกตอบโดยนางเอง เพราะหนึ่งในนั้นมีผู้ที่แตกต่างไปจากคนอื่น ชายผู้นั้นดูโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม หากมองเพียงผิวเผินคงไม่เห็นถึงในข้อนี้เพราะบุรุษทั้งหมดล้วนสวมเสื้อคลุมสีเข้มคล้ายกัน
แต่ที่แตกต่างคงเพราะชายตัวโตนั่นสูงกว่าใครและเขาใส่ต่างหูสีน้ำเงินเข้มเพียงข้างเดียว แสงประกายจากไพลินสะท้อนเข้าดวงตาของกาเรม...
“เขาจะใช่ชีคอาร์เรมัลหรือ เหตุใดถึงดูหนุ่มนัก” กาเรมพึมพำ เพราะชายที่นางเห็นดูอ่อนวัยกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก อายุคงประมาณสามสิบต้น ๆ ไม่น่าจะเกินกว่านั้นด้วยซ้ำ
ด้วยท่าทางสง่างามนั้นแฝงไปด้วยอำนาจจึงทำให้กาเรมมั่นใจว่าไม่ผิดตัว เพราะสังเกตจากคนข้าง ๆ ที่เดินมาด้วยกันนั้นดูยำเกรงบุรุษผู้นี้ไม่น้อย
“เมืองนี้เราเคยได้ยินมาว่าขึ้นชื่อเรื่องนางระบำอย่างนั้นรึอาลี?” อาร์เรมัลเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตามองไปรอบ ๆ เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศค่ำคืน
ไอเย็นผสมกลิ่นทรายฟุ้งกรุ่นด้วยละอองฝุ่นจนต้องเอาผ้าปิดจมูกเมื่อรถม้าควบผ่าน โรงระบำใจกลางเมืองทุกแห่งยังจุดตะเกียงฉาบแสงสีส้มเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว บาร์กีนครเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่เลื่องชื่อลือชาเรื่องการแสดงระบำหน้าท้องจริง ๆ
“ขอรับนายท่าน กระผมได้ยินมาว่าละแวกใกล้ ๆ มีการแสดงระบำหน้าท้องที่มีชื่อเสียง”
“อยากไปกันไหมพวกเรา?” ชีคหนุ่มหันมาถามความเห็นของผู้ติดตาม ซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่ชายหนุ่มจะมาเดินเล่นกินลมชมวิวอย่างสบายใจเช่นนี้
ชีคอาร์เรมัลหลงใหลในเสียงดนตรีมากกว่าสิ่งใด เพราะส่วนใหญ่ชีวิตของเขาจะใช้หมดไปในเรื่องการค้าและการเดินทาง ดังนั้นในยามค่ำคืนสิ่งที่จะมาทดแทนและเป็นรางวัลก็คือเสียงเพลง โดยชายหนุ่มได้รับสิ่งบันเทิงเหล่านั้นจากผู้ติดตาม บางครั้งเขาก็เป็นผู้ร่วมบรรเลงด้วย
นอกจากเสียงดนตรีที่หล่อเลี้ยงชีวิตชายหนุ่มผู้นี้ สิ่งที่เขาหวงแหนไม่แพ้เสียงเพลงอีกสิ่งหนึ่งก็คืออิสรภาพ
การได้ใช้ชีวิตเร่ร่อนในทะเลทรายจนคล้ายคนเร่ร่อนยิ่งทำให้เขาหวงแหนอิสรภาพมากนัก เพราะอาร์เรมัลรู้ว่าในภายภาคหน้าเขาต้องเสียมันให้กับ ‘คู่หมั้นของเขา’
แน่นอนว่าเขายินดีหากจะมอบอิสรภาพ และหัวใจรักให้กับดาเรียว่าที่ภรรยาของเขาด้วยความเต็มใจ...
มีสาวงามมากมายพร้อมที่จะมาเป็นผู้หญิงของเขา โดยที่อาร์เรมัลไม่ต้องแสวงหา แม้จะมีเงื่อนไขในการเป็นผู้หญิงของชีคก็ตาม แต่สตรีเหล่านั้นก็ยอมรับในสิ่งที่เขาเสนอด้วยความเต็มใจ
ข้อตกลงอันนำมาซึ่งอิสรภาพ ไร้สิ่งพันธนาการเฉกเช่นพายุทรายที่โหมกระหน่ำมาอย่างบ้าคลั่งเป็นบางครั้งบางคราวและสงบลงเมื่อสลายตัวไป
พวกนางทั้งหลายต่างยินดีและเต็มใจยิ่งนักที่ได้ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นผู้หญิงของชีคหนุ่มผู้นี้ แม้จะเพียงราตรีเดียวก็ตาม ดังนั้นแล้วหัวใจของชายหนุ่มจึงอิสระมากกว่าที่จะหยุดหรือมอบให้ผู้ใดได้...
“ไม่มีใครตอบคำถามของเราเลยรึ” คิ้วยาวสวยได้รูปรับกับใบหน้าคมเข้มเลิกขึ้น แล้วชีคหนุ่มก็ได้รับรอยยิ้มจากผู้ติดตาม
“อาลีนำทาง”
“ขอรับ” ชายผู้ติดตามค้อมศีรษะ
