3. คนไทยเหมือนกัน
“ลุกขึ้นได้แล้วจ๊ะ มะลิ”
ฐานิกา รีบบอกหลังจากที่รานียาออกไป และปิดประตูห้องให้แล้ว
“เอ้อ...ค่ะ”
มะลิยังมีท่าทีเกรงใจเธอค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
“ระหว่างที่มะลิอยู่กับฉันไม่ต้องพิธีรีตรองหรือว่าคุกเข่าให้ฉันหรอกนะ เพราะฉันไม่ใช่เจ้าหญิง”
ฐานิกา บอกด้วยความรู้สึกที่ถูกชะตากับมะลิ
“คุณเป็นอาคันตุกะของท่านหญิงก็ต้องได้รับการปฏิบัติที่ดีเช่นกันค่ะ..ไม่เช่นนั้นมะลิก็ต้องถูกตำหนิ”
“ฉันไม่ชินกับการที่จะมีคนคอยดูแลปรนนิบัติหรอกจ๊ะมะลิ โดยเฉพาะการที่มะลิดูอ่อนน้อมกับฉันมากเกินไปคือมันทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีน่ะ” ฐานิกาบอกตามตรง
“แต่มะลิเคยชินกับการที่จะต้องปฏิบัติแบบนี้อยู่แล้ว คุณไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอให้มะลิปฏิบัติต่อฉันแบบนี้ก็เฉพาะอยู่ต่อหน้าคนอื่น ๆ เท่านั้นนะ แต่ถ้าเราอยู่กันสองคนแบบนี้ ไม่ต้องถึงกับคุกเข่าแบบเมื่อกี้นะ ทำตัวตามสบายเป็น
กันเองกับฉันได้ไหมจ๊ะ”
“ก็ได้ค่ะคุณฐานิกา” มะลิตอบรับสีหน้าบ่งบอกว่าสบายใจ
“ออ..แล้วก็เรียกฉันว่าคุณนิ ก็พอจ๊ะ ฐานิกามันดูเป็นทางการไปหน่อย”
“ค่ะคุณนิ..”
“ดีจ๊ะ”
“คุณนิ จะอาบน้ำเลยไหมคะ มะลิจะเปิดน้ำอุ่นที่อ่างให้ หรือจะอาบเป็นน้ำวนก็ได้นะคะ”
“อุ๊ย..ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ฐานิการีบร้องบอก
มะลิ มีท่าทางลังเล รู้สึกไม่สบายใจที่ฐานิกาไม่ยอมใช้ให้เธอทำอะไรให้
“ทำไมทำหน้าเศร้าแบบนี้ล่ะมะลิ” ฐานิกาถามด้วยความแปลกใจ
“ก็คุณนิ ไม่ยอมใช้มะลิเลยนี่คะ ถ้าหากท่านหญิงรู้ว่าส่งมะลิมาแล้ว ไม่คอยรับใช้คุณแบบนี้ มะลิคงถูกท่านหญิงตำหนิเอาแน่ ๆ เลยค่ะ” มะลิบอกความกังวลใจให้ฟัง
“ฉันไม่บอกท่านหญิงของมะลิหรอกจ๊ะ”
“แต่...”
“ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนจากการรับใช้มาเป็นคุยกับฉันแทนได้ไหมล่ะ” ฐานิกาบอกยิ้ม ๆ
“ได้ค่ะ มะลิยินดีค่ะ”
มะลิบอกด้วยสีหน้าสดชื่นที่เห็นฐานิกาไม่ไล่ให้ตนไปนอน
“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งที่โซฟานี่คุยกันก่อนสิจ๊ะ”
ฐานิกาตบโซฟาเบา ๆ มะลิมานั่งข้าง ๆ อย่างว่าง่าย
“มะลิมาอยู่ที่ประเทศสินาการ์เดียนานหรือยัง” ฐานิกาชวนคุย
“อยู่ตั้งแต่เกิดค่ะ เพราะพ่อแม่ของมะลิมาทำงานที่นี่ แต่พวกท่านก็พามะลิ กลับไปเยี่ยมเมืองไทยบ่อยค่ะ แล้วก็พูดภาษาไทยกับมะลิมาตั้งแต่เกิด พวกท่านทำงานเป็นคนปรุงอาหารที่วังค่ะ ตั้งแต่สมัยกษัตริย์ซัมปง พระองค์ก่อนค่ะ”
มะลิ มีท่าทางระมัดระวังมากขึ้น เมื่อต้องเอ่ยถึงกษัตริย์ที่ถูกลักพาตัวเป็นข่าวดังไปทั่วโลกเมื่อห้าปีก่อน
“งั้นก็ ตั้งแต่ที่ยังเป็นประเทศบูซานใช่ไหมจ๊ะ”
“ใช่ค่ะ..”
“แล้วพ่อแม่ของมะลิล่ะจ๊ะตอนนี้ท่านทั้งสองยังทำงานอยู่ในวังด้วยหรือเปล่า”
“เอ้อ..เปล่าค่ะ..หลังจากพระราชาซัมปงกับพระราชินีทิมพู และเจ้าชายซัป ถูกลักพาตัวไปแล้ว พ่อกับแม่ของมะลิก็ไม่ได้ทำอาหารไทยที่วังอีก เพราะเมื่อก่อนนี้พระราชินีทิมพู กับ เจ้าชายซัป โปรดอาหารไทยมาก พอไม่มีพระองค์ท่านแล้ว ที่ในวังก็ไม่มีรับสั่งให้ทำอาหารไทยขึ้นโต๊ะเสวยเลย พ่อกับแม่ของมะลิจึงไม่ได้ทำงานในวังอีก แต่เจ้าหญิงแอชวารย่า ให้มาเป็นพ่อครัวแม่ครัวอยู่ที่ครัวไทยในโรงแรมนี้แหละค่ะ..ส่วนมะลิเองก็ขอถวายตัวรับใช้ท่านหญิง ซึ่งท่านก็มีพระเมตตารับไว้ค่ะ”
“อุ๊ย..ที่โรงแรมอาบิเชค มีห้องอาหารไทยด้วยหรือจ๊ะ” ฐานิกาถามด้วยความดีใจ
“มีค่ะ..มีอาหารหลายชาติ ทั้งยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม ที่ห้องอาหารนานาชาติค่ะ”
“มะลิ รับใช้เจ้าหญิงแอชวารย่าอยู่ที่ในวังเปตาบาฮะดูร์เหรอ” ฐานิกาถามต่อ
“ใช่ค่ะ..ที่วังท่านหญิงมีหลายคนทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน แต่มะลิจะคอยรับใช้ใกล้ชิดภายในห้องบรรทมด้วยค่ะ”
“แล้วในวังใหญ่มากไหม” ฐานิกาซักต่อด้วยความอยากรู้
“ก็ถือว่ากว้างขวางนะคะ เพราะภายในพระราชวังจะมีตำหนักที่ประทับสามแห่ง คือตำหนักทองเป็นที่ประทับของพระราชานูรี บาฮะดูร์กับพระราชินีมามุนี บาฮะดูร์ ตำหนักเพชรเป็นที่ประทับของเจ้าชายอาบิเชค ส่วนตำหนักเงินเป็นที่ประทับของเจ้าหญิงแอชวารย่า แต่ก็มีตำหนักสีฟ้ากับตำหนักสีแดงซ่อนตัวอยู่ส่วนหลังของพระราชวังด้วยนะคะ”
“ตำหนักฟ้ากับแดงเป็นที่ประทับของใครงั้นหรือ”
“ไม่ใช่ที่ประทับถาวรหรอกค่ะ แต่เป็น.....”
เสียงโทรศัพท์มือถือของฐานิกาดังขึ้น มะลิเองก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าได้เผลอเล่าไปหลายอย่าง พอมีเสียงมือถือก็เหมือนช่วยเตือนให้มะลิชะลอเอาไว้ได้ทันพอดี ฐานิกา กล่าวคำขอโทษมะลิก่อนจะกดรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงหวานแล้วก็หันมาบอกมะลิว่า
“งั้นเอาไว้แค่นี้ก่อนนะมะลิ ขอบใจมากไปนอนเถอะจ๊ะ”
ฐานิกา บอก ก่อนจะเดินไปยังห้องนอนใหญ่ส่วนตัวด้วยสีหน้ามีความสุข มะลิ เดาว่าคนที่โทรมาคงจะเป็นคนสำคัญ จึงทำให้ฐานิกาดูตื่นเต้นเช่นนั้น
“คิดถึงนิใจจะขาดแล้ว รู้หรือเปล่า”
เสียงออดอ้อนมาจากเมืองไทย ทำให้ฐานิกา นอนยิ้มฟังเสียงตามสายอย่างมีความสุข
“อย่ามาปากหวานหน่อยเลย ทีเห็นหน้ากันไม่เห็นจะพูดแบบนี้”
ฐานิกาแกล้งทำเสียงต่อว่าแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ก็ตอนนั้นเห็นหน้ากันทุกวันนี่ครับ แต่ตอนนี้ นิมาอยู่ตั้งไกลแถมยังจะอยู่นานเป็นเดือนใครจะทนคิดถึงไหวล่ะ กลัวนิจะไปหลงเสน่ห์หนุ่มแขกขาวหล่อรวยด้วย เห็นเพื่อน ๆ เขาบอกว่าประเทศนี้มีแต่คนหล่อ ๆ สวย ๆ เค ก็เลยกลัวนิจะหลงความเริดหรูอลังการจนลืมหนุ่มหล่อแบบไทย ๆ อย่างเคน่ะสิ”
ชนกานต์ คนรักของฐานิกาหยอกล้อมาทางมือถือ
“บ้า..เพ้อเจ้อ” ฐานิกาต่อว่าเสียงสดใส
“ถึงบ้าก็บ้ารักนินะ”
“บ๊องอีกแล้ว..แล้วนี่ทำอะไรอยู่”
“อู้งานอยู่ พอดีช่วงพักกะน่ะก็เลยรีบโทรมาเช็คว่านิถึงสินาการ์เดีย หรือยัง”
“ถึงตั้งแต่ตอนทุ่มกว่าแล้ว”
“แล้วตอนนี้นิพักอยู่ที่ไหน”
“โรงแรมอาบิเชค อยากดูในห้องพักไหม จะได้เปิดวีดีโอคอลคุยกัน”
“ไม่ดีกว่า ตอนนี้เค ยังอยู่ที่ทำงานเดี๋ยวจะดูไม่ดี เค.อ่านในอินเตอร์เน็ทโรงแรมนี้ชั้นเยี่ยมเลยนี่แถมมีวิวทิวทัศน์สวยงามมากมีเทือกเขาสวยชื่อหิมาลัยใช่ไหมนิ”
“เมืองที่อยู่ใกล้เทือกเขาหิมาลัยไม่ใช่เมืองหลวงนี้หรอกจ๊ะ รู้สึกจะอยู่ทางตอนเหนือของประเทศนะ เอาไว้นิไปเที่ยวแล้วจะถ่ายคลิปส่งให้ดู แล้วก็รอชมในช่องยูทูปด้วยล่ะ”
“มีแฟนเป็นทั้งช่างภาพ ตากล้อง แล้วก็นักเขียนสารคดีท่องเที่ยวก็ดีแบบนี้แหละ” เขาบอกด้วยความภูมิใจ
“อยากให้เค มาด้วยจัง..”
“เรื่องเที่ยวเอาไว้ก่อนดีกว่า ตอนนี้เค ขอทุ่มทำงานเก็บเงินไว้ซื้อรถขับก่อนดีกว่า เค กะว่าจะซื้อเงินสดเลย ขี้เกียจผ่อน แล้วจากนั้นก็จะเก็บไว้สร้างเรือนหอแต่งงานกับนิไงจ๊ะ”
ฐานิกา หน้าแดงด้วยความสุข ชนกานต์มักจะพูดเรื่องแต่งงานกับฐานิกา บ่อยขึ้นในระยะนี้ทำให้เธอรู้สึกมั่นใจกับอนาคตที่จะมีชีวิตคู่ร่วมกับเขาในวันข้างหน้า
ชนกานต์ คบหากับ ฐานิกา ในฐานะคนรักได้เกือบสิบปีแล้ว ตั้งแต่ทั้งคู่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย และความรักของทั้งคู่ก็มั่นคงมากระทั่งต่างเรียนจบปริญญาตรีมีงานทำกันทั้งสองฝ่าย
ชนกานต์ ทำงานอยู่บริษัทเอกชนที่ส่งออกสินค้า ในขณะที่ฐานิกา เป็นยูทูปเบอร์ที่หารายได้ด้วยตนเองมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมาประสบความสำเร็จจากการทำรายการ “ลุยเดี่ยวเที่ยวทั่วโลก” นี้เอง
“ระหว่างที่นิไม่อยู่ ห้ามไปเจ้าชู้ที่ไหนเด็ดขาด ถ้ารู้นิจะตามไปฉีกอก” เธอแกล้งพูดขู่คนรัก
“โอ้ย..กลัวแล้วจ้า..”
“อย่ามาทำพูดดีหน่อยเลย นิจะโทรบอกให้ยัยติ๊ก คอยสอดส่องเป็นหูเป็นตารายงานให้ทราบถึงพฤติกรรมของเค ด้วยช่วงที่นิอยู่ต่างประเทศ”
ฐานิกา อ้างชื่อของเพื่อนซี้ขึ้นมาด้วย
“เค ติดสินบนยัยติ๊กอยู่ รับรองนิจะได้รับทราบแต่รายงานความเท็จจ๊ะ”
ฐานิกา หัวเราะชอบใจกับคำพูดเชิงหยอกล้อของคนรัก ก่อนจะพูดคุยกันในเรื่องอื่น ๆ จนเกือบชั่วโมงจึงได้วางสาย
