บท
ตั้งค่า

23. วางแผนช่วยตัวประกัน

นายราม บาฮะดูร์ นายกรัฐมนตรีของสินาการ์เดีย มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด เขาเข้าเฝ้ากษัตริย์นูรี บาฮะดูร์ ผู้เป็นพระเชษฐา ตามพระกระแสรับสั่งที่วัง เปตาบาฮะดูร์ พร้อมด้วยผู้บัญชาการกลาโหม นายพลซิงราห์

“ไอ้กาน่า มันออกข่าวส่งข้อเรียกร้องไปทั่วโลก ว่าการบุกจับตัวประกันที่โรงแรมเป็นฝีมือของพวกมัน พวกเจ้าคิดว่ามันเป็นไปได้หรือไม่”

กษัตริย์นูรี ตรัสถามพระอนุชาของพระองค์ และนายพลซิงราห์ ด้วยความร้อนพระทัยยิ่ง

“กระหม่อมส่งสายลับไปสืบมา คิดว่าเป็นเจ้ากาน่าหัวหน้ากลุ่มบารากัสแน่นอนพระเจ้าข้า”

นายพลซิงราห์กราบทูล

“ราม..ไหนเจ้าเคยรายงานให้พี่มั่นใจเสมอมาไม่ใช่รึว่ากลุ่มบารากัส มันอ่อนแอสลายตัวไปหมดแล้ว”

คราวนี้พระองค์ทรงหันไปจ้องหน้าราม บาฮะดูร์ ผู้เป็นพระอนุชา

“คนของหม่อมฉันรายงานเช่นนั้นจริง ๆ นะเจ้าพี่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจู่ ๆ มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

นายกรัฐมนตรีของสินาการ์เดียตอบด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

“ก็คนของเจ้า มันส่งแต่รายงานเท็จน่ะสิ..เหตุไฉนเจ้าถึงไม่มีการตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อนว่าจริงตามรายงานหรือไม่”

“เป็นความผิดพลาดของกระหม่อมเองพระเจ้าข้า..ที่ไว้ใจผู้ใต้บังคับบัญชาจนเกินไป”

นายพลซิงราห์ รีบเข้ามาพูดเพื่อปกป้องนายกรัฐมนตรีเสียเอง

“พวกเจ้ามันไม่ได้เรื่องทั้งสองคนนั่นแหละ”

พระองค์ทรงตำหนิทั้งคู่ด้วยสุรเสียงดุดัน

“หม่อมฉันคิดว่าจะต้องมีหนอนบ่อนไส้อย่างแน่นอนเจ้าพี่..” นายกรามบอกกับพระเชษฐา

“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นพระเจ้าข้า” นายพลซิงราห์เห็นพ้อง

“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าจะช้าอยู่ไย ไฉนไม่รีบลากคอพวกมันมาประหารเล่า” กษัตริย์นูรีแทบจะตวาด

“ตอนนี้กระหม่อมกำลังเสาะหาเบาะแสอยู่พระเจ้าข้า แต่คิดว่าอีกไม่นานจะต้องได้ตัวไอ้คนทรยศอย่างแน่นอน”

นายพลซิงราห์ รับคำหนักแน่น ทำให้กษัตริย์นูรี ทรงมีท่าทีผ่อนคลายลงไปได้บ้าง ก่อนจะหันพระพักตร์มายังพระอนุชา

“ราม..ลองลำดับเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พี่ฟังอีกทีสิ”

“ก็อย่างที่หม่อมฉันได้มีรายงานให้เจ้าพี่ทราบนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ เริ่มจากมีการดักทำร้ายหน่วยรักษาความปลอดภัยตามจุดต่าง ๆ ของโรงแรม แล้วก็ถอดเอาเสื้อผ้าของรปภ.ไปสวมรอยเข้าเวรยามแทนคนของเรา จากนั้นกลุ่มก่อการร้ายอีกพวกหนึ่งก็จี้เครื่องบินส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงแอชวารย่า บรรทุกคนร้ายโรยตัวด้วยเชือกลงที่ดาดฟ้าของโรงแรมเข้าทำการบุกจับตัวคณะทูต และนักข่าวต่างประเทศขึ้นเครื่องไปที่เมืองซาร์มอง”

“ตอนนี้พวกมันมีฐานที่มั่นอยู่ที่ซาร์มอง คนของรัฐบาลที่ส่งไปควบคุมดูแลซาร์มองนั้น บัดนี้ก็ได้แปรพักตร์ กลายเป็นสมุนของพวกบารากัสกันหมดแล้วพระเจ้าข้า”

นายพลซิงราห์ กล่าวเสริมจากนายก ราม บาฮะดูร์

“บัดซบ!..ซาร์มองจะต้องเป็นของพวกกลุ่มบารากัสอย่างนั้นรึ”

กษัตริย์นูรี ทรงสบถด้วยแววพระเนตรแข็งกร้าว

“พวกบารากัส ไม่ได้ต้องการแค่ซาร์มองน่ะสิเจ้าพี่..แต่พวกมันล้ำเส้นบังอาจยื่นข้อเรียกร้องให้เจ้าพี่สละราชสมบัติ แล้วก็ให้มีการเลือกตั้งภายในสามเดือน มิเช่นนั้นมันก็จะฆ่าตัวประกันทั้งหมดออกสื่อไปทั่วโลก เพื่อทำลายภาพลักษณ์ของประเทศสินาการ์เดียแล้วก็รัฐบาลของพระองค์”

“ไอ้กาน่า มันกำเริบเสิบสานนัก มันกล้ามากเกินไปแล้ว”

กษัตริย์นูรี ทรงขบกรามด้วยความกริ้วจนพระพักตร์แดงก่ำพระเนตรวาวโรจน์ พระหัตถ์สองข้างทรงกำแน่น

“ที่มันกล้าเหิมเกริมถึงขนาดนี้ กระหม่อมคิดว่ามันจะต้องมีใครอยู่เบื้องหลังแน่พระจ้าข้า”

นายพลซิงราห์ วิเคราะห์

“แล้วเจ้าคิดว่ามันเป็นผู้ใด” พระราชาตรัสถามดุดัน

“กระหม่อมคิดว่าอาจจะเป็นกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มอื่นที่รวมกำลังกันหวังโค่นล้มรัฐบาลของพระองค์ก็ได้ และอาจจะมีประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศอัฟบาร์สนับสนุนกองกำลัง

ก็ได้พระเจ้าข้า” นายพลซิงราห์เป็นคนตอบ

“แล้วเจ้าล่ะ คิดเช่นใด” พระองค์หันไปขอความเห็นจากพระอนุชาบ้าง

“หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะเป็นไปได้ว่าตลอดเวลาที่พวกบารากัส อยู่อย่างสงบมาเกือบสามถึงสี่ปีนั้น แท้จริงแล้วพวกมันแอบสร้างเครือข่ายกับกลุ่มต่าง ๆ ที่ต่อต้านรัฐบาลและราชวงศ์ของพระองค์ หม่อมฉันคิดว่ามันมีกลุ่มของพวกมันแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวงนี้ด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นมันก็คงจะไม่สามารถรู้ความเคลื่อนไหวได้ จะต้องมีคนให้เบาะแสชี้เส้นทางให้พวกมันบุกจู่โจมเข้าไปจับคนในโรงแรมอย่างแน่นอน”

คำพูดวิเคราะห์ของทั้งสองคนทำให้กษัตริย์นูรีทรงนิ่งอึ้งเห็นคล้อยตามอยู่บ้าง แต่ลึกลงไปในพระราชหฤทัยแล้ว พระองค์ทรงหวาดหวั่นถึงพระดำรัสของพระชนนีมีราเบนที่ทรงวิตกถึงภาพวิดีโอที่กลุ่มบารากัสได้ส่งมาให้ดูเมื่อห้าปีก่อน

“พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่ากลุ่มบารากัส ได้สังหารปลิดชีพพระราชาซัมปงกับลูกเมียจริง”

จู่ ๆ กษัตริย์นูรีก็ทรงถามขึ้น

“เหตุใดเจ้าพี่จึงได้สงสัยในเรื่องนี้ ทั้งที่ผ่านมาตั้งห้าปีแล้ว”

นายก ราม กราบทูลถาม เพราะเขาเองก็รู้พอ ๆ กับพระเชษฐา เนื่องจากได้ร่วมมือในการทำตามแผนการของสมเด็จย่ามีราเบน และพระราชานูรีในการอยู่เบื้องหลังกลุ่มบารากัส ลักพาตัวพระราชาซัมปง กับครอบครัว

“ก็เพราะพี่สังหรณ์ใจน่ะสิ สิ่งที่ไอ้กาน่ามันเคยบอกเอาไว้เมื่อห้าปีก่อนว่าได้สังหารสามคนนั่น มันอาจจะเป็นแค่กลลวงของพวกมันก็เป็นได้”

กษัตริย์นูรี ทรงกล่าวในสิ่งที่พระราชชนนี คือ สมเด็จย่ามีราเบน ทรงมีกังวลเรื่องนี้

“แต่พวกนั้นก็ส่งวีดีโอ การสังหารทั้งสามมาให้พระองค์ทอดพระเนตรแล้วนี่พระเจ้าข้า”

นายพลซิงราห์ กล่าว เขาเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่รู้เห็นในแผนการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์นูรี เป็นอย่างดี ซึ่งย้อนไปเมื่อห้าปีก่อน นายพลซิงราห์ เป็นเพียงหัวหน้าองค์รักษ์ของมเหสีมีราเบน แต่เพราะความมักใหญ่ใฝ่สูง เมื่อถูกหว่านล้อมและชักจูงให้เข้าร่วมในแผนการ กับมเหสีมีราเบน และเจ้าชายนูรี เขาจึงไม่รีรอที่จะตอบรับด้วยความฮึกเหิมเพื่อหวังในอำนาจทางการทหาร และเขาก็สมหวังในตำแหน่งสูงสุดทางทหารที่ได้ควบคุมกำลังพลของทั้งประเทศ

“มันก็เป็นเพียงภาพที่ส่งมาเท่านั้น แต่ไม่มีใครได้เห็นการสังหารนั่นด้วยตาไม่ใช่รึ” พระองค์ยังทรงกังวล

“แต่กระหม่อมคิดว่าทั้งสามพระองค์ถูกสังหารไปแล้วล่ะพระเจ้าข้า..เพราะถ้าทั้งสามพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ป่านนี้ก็คงจะไม่เงียบหายไปเช่นนี้หรอก ขอพระองค์อย่าทรงวิตกกังวลในเรื่องนี้เลย”

นายพลซิงราห์ กราบทูลเพื่อหวังให้พระองค์ทรงคลายความวิตก

“นั่นสินะ..เราไม่ควรจะกังวลในเรื่องนี้เลย สิ่งที่ควรกังวลคือทำอย่างไรจึงจะรับมือกับไอ้พวกทรยศนี่ได้ ตอนนี้มาช่วยกันคิดวางแผนรับมือกับพวกบารากัสกันจะดีกว่า พวกนั้นมันขีดเส้นตายให้เราตัดสินใจภายในสัปดาห์นี้แล้ว”

“เราจะต้องถล่มเมืองซาร์มองเพียงอย่างเดียวเท่านั้นพระเจ้าข้า” นายพลเสนอ

“เจ้าไม่คิดรึไงว่า ตัวประกันต่างชาติจะเป็นเช่นใด...เอะอะก็จะใช้กำลังทหารน่ะมันล้าสมัยไปแล้วนะ ทุกวันนี้มีการจับตามองจากทั่วโลก ขืนบุ่มบ่ามใช้แต่กำลัง ภาพลักษณ์ของรัฐบาลและประเทศของเราจะเป็นยังไง เจ้าคิดเสียก่อนให้รอบคอบ”

พระองค์ตรัสคล้ายจะตำหนินายพลซิงราห์อยู่กราย ๆ

“ใช่..เราเห็นด้วยกับเจ้าพี่ ตอนนี้ชาวโลกกำลังจับตามองอยู่ว่ารัฐบาลของกษัตริย์แห่งราชวงศ์บาฮะดูร์จะช่วยเหลือตัวประกันได้อย่างไร ตอนนี้ความปลอดภัยของชาวต่างชาติคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” นายก ราม กล่าว

“เจ้ากล่าวถูกต้องทีเดียวน้องพี่..กลุ่มบารากัส มันฉลาดนักเลือกจับภรรยาทูตเป็นตัวประกันหลัก เพราะมันรู้ว่าตัวประกันเหล่านี้มีความสำคัญแค่ไหน มีความอ่อนไหวทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพียงใด”

“แต่พวกนั้นก็ขู่เอาไว้แล้วว่าจะฆ่าตัวประกันทิ้งหมด หากพระองค์ไม่ทำตามเงื่อนไข” นายพลกล่าวต่อ

“ก็นั่นแหละที่เราจะต้องรักษาชีวิตตัวประกันเอาไว้ ด้วยการยอมเจรจากับพวกบารากัส” กษัตริย์นูรีทรงกล่าว

“พระองค์คงจะไม่ยอมทำตามข้อเสนอของพวกมันหรอกนะพระเจ้าข้า”

นายพลซิงราห์ กราบทูลถามด้วยความตกใจ เขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นเพราะหากทำตามข้อเสนอของกลุ่มต่อต้านบารากัส ก็เท่ากับเขาจะต้องหมดอำนาจวาสนาไปด้วย

“เราจำต้องรับข้อเสนอของพวกมันไปก่อน ด้วยการยอมให้มีการเลือกตั้งเพื่อลดกระแสการต่อต้าน แต่เรื่องการสละราชบัลลังก์ เราจะยังไม่พูดถึง ดังนั้น เราจะยอมมันไปเพียงข้อเดียวก่อนเพื่อให้พวกมันยอมปล่อยตัวประกันออกมาเสียก่อน”

พระราชานูรี ทรงบอกถึงแผนการที่เตรียมไว้แล้ว

“แต่เจ้าพี่...การเลือกตั้งมันอาจจะทำให้เราพ่ายแพ้ไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาลก็ได้”

นายก รามก็รู้สึกเช่นเดียวกับนายพลซิงราห์ ที่ไม่อยากจะสูญเสียอำนาจเช่นกัน

“เออน่า..ข้อนั้นพี่รู้ดี แต่เจ้าจะหวั่นใจทำไมเล่า ในเมื่ออำนาจรัฐอยู่ในมือของรัฐบาลเราอยู่แล้ว”

กษัตริย์นูรีทรงให้ความหวังแก่ทั้งคู่ด้วยแววพระเนตรมุ่งมั่น

“หมายความว่า..จะโกงการเลือกตั้งใช่ไหมพระเจ้าข้า”

นายพลกราบทูลถามด้วยแววตามีประกายความหวังขึ้นมา กษัตริย์นูรีทรงพยักพระพักตร์แววพระเนตรทรงฉายความเจ้าเล่ห์

“ถ้าไม่โกงการเลือกตั้ง เราก็ต้องแพ้แน่นอน เพราะมีพวกที่ยังต่อต้านรัฐบาลและราชวงศ์ของเราอยู่ไม่น้อยทีเดียว เพียงแต่ที่ผ่านมา เราสามารถควบคุมกำลังทหารไว้ในมือได้ จึงทำให้พวกต่อต้านไม่กล้าทำอะไรรุนแรง อีกทั้งกฎหมายที่รัฐบาลเราตราขึ้นมาก็เป็นเกราะกำบังให้เราอยู่”

กษัตริย์นูรี ทรงทราบอยู่ในพระทัยถึงข้อนี้เสมอมา นับตั้งแต่พระองค์ได้สถาปนาราชวงศ์บาฮะดูร์ และเปลี่ยนแปลงการปกครองมาได้เกือบห้าปี

“เจ้าพี่ทรงพระปรีชายิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

นายก ราม กล่าวชมพระเชษฐา แล้วทั้งสามก็หัวเราะออกมาได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel