บท
ตั้งค่า

21. บุกจับเป็นตัวประกัน

ที่ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรงแรมอาบิเชค ที่เจ้าหญิงแอชวารย่า ประทานเลี้ยงขอบคุณคณะภรรยาฑูต และสื่อมวลชนต่างชาติ เริ่มมีคนทยอยเข้ามาจนเกือบเต็มเก้าอี้ที่จัดไว้สำหรับแปดสิบที่นั่ง ในขณะที่บริเวณภายนอกโรงแรมได้มีหน่วยรักษาความปลอดภัยอยู่โดยรอบเป็นการรักษาความปลอดภัยตามปกติที่มีบุคคลสำคัญเข้ามาอยู่ในโรงแรม

“ทำไมคนเยอะแยะไปหมดเลยล่ะ”

ฐานิกาเดินลงมาพร้อมกับมะลิถามขึ้น

“ที่ห้องข้าง ๆ กับห้องจัดเลี้ยงขอบคุณจะมีการประชุมของนักธุรกิจต่างชาติด้วยค่ะ”

มะลิตอบข้อสงสัย

“มิน่าล่ะ..แต่มะลินี่รู้ข้อมูลดีจังเลยนะ บางทีฉันยังคิดว่ามะลิจะรู้มากกว่าคุณรานียาด้วยซ้ำไป”

ฐานิกากล่าวชมมะลิ ซึ่งอีกฝ่ายได้แต่ยิ้มขวยเขิน

“มะลิส่งฉันแค่นี้ก็พอจ๊ะ..ขอบใจมากนะ”

ฐานิกาหันมาพูดกับมะลิเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงหน้าห้องจัดเลี้ยงแล้ว

“เอ้อ..คุณนิคะ..จะเปลี่ยนใจไปกับมะลิก็ได้นะคะ”

มะลิ มีสีหน้าท่าทางเหมือนกังวลใจ

“ทำไมล่ะจ๊ะ..มะลิจะให้ฉันไปไหนกับมะลิงั้นหรือ”

“ไปหาพ่อกับแม่ของมะลิที่ห้องครัวไทยไงคะ ไปดูเขาทำอาหารกัน สนใจไหมคะ”

มะลิพูดโน้มน้าวใจ

“ฉันจะต้องไปร่วมงานนี้ก่อน คุณรานียากำชับให้ฉันไปเสียด้วยสิ”

“แต่..ถ้าไม่ไปก็คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ..อีกอย่างคุณนิอยากจะพบคุณอิสมาอิลไม่ใช่หรือคะก็นัดให้เขามาหาคุณนิที่ห้องอาหารไทยสิคะ..มะลิช่วยคุณนิได้นะคะ”

มะลิ อาสากึ่งคะยั้นคะยอ

“ขอบใจจ๊ะ แต่ตอนนี้ฉันต้องเข้าร่วมงานก่อน ไม่งั้นมันจะน่าเกลียด ฉันอุตส่าห์โทรคอนเฟิร์มกับคุณรานียาแล้วด้วย”

“คุณรานียา ไม่มีเวลามาสนใจคุณนิหรอกค่ะ วันนี้เธอต้องทำหน้าที่พิธีกรในงาน แล้วก็ยังต้อนรับแขกอีกด้วย”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ..ถ้าเกิดเธอรู้ว่าฉันไม่ไปร่วมงานคงไม่ดีหรอก เธออย่าลืมสิว่าฉันมาที่นี่ในฐานะแขกของเจ้าหญิงแอชวารย่า เอาล่ะจ๊ะมะลิไปเถอะฉันจะเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง

ก่อนถ้าเกิดฉันปลีกตัวได้ จะไปหามะลิที่ห้องอาหารไทยนะ”

“งั้นก็ได้ค่ะ..มะลิจะรอนะคะ ถ้าเร็วหน่อยก็ดีค่ะ”

มะลิ กำชับก่อนจะมองตามฐานิกาเดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง หากฐานิกา สังเกตให้ดีก็จะได้เห็นท่าทางของมะลิที่ผิดปกติไปกว่าทุกวัน

ฐานิกา เดินเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงก็พบว่ารานียา กำลังทำหน้าที่เป็นพิธีกรอยู่บนเวทีตามที่มะลิได้บอกเอาไว้

“เชิญด้านนี้เลยค่ะมิสฐานิกา” มาตาจีเดินมาต้อนรับฐานิกา

“คุณมาตาจี..แล้วคุณเซเรน่าล่ะคะ”

ฐานิกา ยิ้มให้กับมาตาจีด้วยความดีใจที่ได้พบคนที่รู้จักในงาน

“ต้อนรับแขกอยู่ด้านโน้นค่ะ..”

มาตาจี ชี้ไปทางที่เซเรน่ายืนอยู่กับกลุ่มคณะภริยาฑูต

“เจ้าหญิงแอชวารย่าเสด็จมาที่งานหรือยังคะ”

ฐานิกา ถามพร้อมกวาดตามองไปที่ด้านหน้าของเวที

“อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงค่ะ..เดี๋ยวพระองค์ก็จะเสด็จมาโดยเครื่องบินส่วนพระองค์ ที่จะมาจอดบนดาดฟ้าของโรงแรมนี้แหละค่ะ..”

มาตาจี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าบนดาดฟ้าของโรงแรม สามารถให้เครื่องบินส่วนตัวขึ้นลงได้ ซึ่งจะให้บริการแขกระดับวีไอพี. ด้วย นอกเหนือจากที่เป็นเครื่องบินเล็กส่วนพระองค์ของกษัตริย์และราชวงศ์

“อย่างเครื่องบินของเจ้าชายในประเทศแถบตะวันออกกลางก็มาลงจอดบ่อยค่ะ” มาตาจี พูดเสริม

“มิน่าล่ะฉันถึงได้ยินเสียงเครื่องบินบินวนอยู่บนดาดฟ้าตั้งหลายครั้ง”

เสียงรานียา ประกาศขึ้นบนเวทีบอกหมายกำหนดการที่เจ้าหญิงแอชวารย่าจะเสด็จเข้ามาในงาน ทุกคนจึงหันไปตั้งใจฟัง รานียาบอกว่าขณะนี้เครื่องบินพระที่นั่งของเจ้าหญิงแอชวารย่ากำลังจะลงจอดที่ดาดฟ้าของโรงแรมแล้ว

พอสิ้นเสียงประกาศก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดดำสวมหมวกแบบไอ้โม่งปิดคลุมหน้าเห็นแต่ลูกตาวิ่งกรูถือปืนเข้ามาในห้องจำนวนหลายสิบคน สร้างความแตกตื่นให้กับทุกคนอย่างมาก จนต้องวิ่งไปรวมกันอยู่มุมห้อง

รานียา ตกใจกับการจู่โจมของชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนจนต้องวิ่งลงจากเวทีไปนั่งหมอบอยู่กับพื้น เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ บ้างก็ไปรวมกลุ่มกันที่มุมห้อง บ้างก็พยายามจะวิ่งหนีออกไปจากห้องแต่ก็ถูกไล่ต้อนกลับเข้าห้องมาเหมือนเดิม

“ทุกคนห้ามส่งเสียงดัง และห้ามออกไปจากห้องจนกว่าเราจะสั่ง”

เสียงประกาศกร้าวที่ดังอยู่บนเวทีแทนรานียา เป็นเสียงของชายผู้หนึ่งที่ปกปิดใบหน้าเช่นเดียวกับชายคนอื่น

ฐานิกา ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอเกาะแขนมาตาจีแน่นด้วยความกลัวเช่นเดียวกับที่มาตาจีก็กอดฐานิกาแน่นหลับตาปี๋ เพราะบัดนี้ชายฉกรรจ์ทั้งหมดได้เล็งปืนไปทุกจุดภายในห้องจัดเลี้ยง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วจนไม่มีใครได้ทันตั้งรับทัน

“คุณผู้หญิง เชิญไปรวมกลุ่มกับทุกคนด้านโน้น เร็วอย่าให้ใช้กำลัง”

เสียงกร้าวดุดันบอกกับฐานิกา กับ มาตาจี ทำให้ทั้งสองรีบเกาะแขนกันวิ่งไปรวมอยู่กับคนอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้หญิงที่อยู่ในวัยกลางคนทั้งนั้นที่เป็นภรรยาทูตจากประเทศต่าง ๆ ในแถบยุโรป รวมทั้งชายหญิงที่เป็นสื่อมวลชนด้วย

“เรามีความผิดอะไรพวกท่านถึงทำกับเราเช่นนี้”

ผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นนักข่าวชาวต่างชาติถามชายฉกรรจ์ขึ้น

“ไม่มี!..แล้วก็ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น”

เสียงที่ตอบกลับมาทำให้คนถามถึงกับหน้าถอดสี

“เอาล่ะ..เงียบ ๆ กันได้หรือยัง ใครส่งเสียงหรือพูดคุยกันอย่าหาว่าเราใจร้ายจะยิงกรอกปากทันที”

ความเงียบเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ ได้ยินเพียงเสียงรองเท้าคอมแบทที่เดินไปมาของเหล่าชายฉกรรจ์นับยี่สิบคน และบัดนี้พวกนั้นก็เริ่มทำการคัดเลือกแขกที่อยู่ในงานทีละคน โดยการถามสัญชาติ อาชีพของแต่ละคน

“ใครมีโรคประจำตัวให้แยกไปทางโน้น”

ชายชุดดำผู้บุกรุกชี้ปลายกระบอกปืนให้ทำตาม ทุกคนเริ่มละล้าละลังเพราะคิดไปต่าง ๆ นานา

ฐานิกาเองก็คาดเดาไม่ถูก ถ้าหากเธอแกล้งบอกว่ามีโรคประจำตัว แล้วจะรอดจากการถูกจับกุมตัวหรือไม่ แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าคนที่มีโรคประจำตัว อาจจะถูกฆ่าเป็นกลุ่มแรกก็ได้ เธอจึงตัดสินใจที่จะยืนอยู่นิ่ง ๆ ไว้ก่อน

การคัดเลือกถูกดำเนินการไปท่ามกลางความหวาดกลัวของผู้ที่ถูกเลือก และไม่ถูกเลือก เพราะต่างก็ไม่รู้จุดประสงค์ของผู้ก่อการร้ายที่บุกรุกเหล่านี้เลย แต่ฐานิกาก็รู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินพวกนั้นบอกว่าจะจับตัวเฉพาะภรรยาทูตกับนักข่าวผู้ชายเท่านั้น

“เชิญไปกับเราได้”

เสียงคำสั่งเฉียบขาดพร้อมกับจี้บังคับให้กลุ่มคนที่เลือกไว้แล้วเดินออกไปจากห้อง ซึ่งคณะภรรยาทูตที่ถูกคัดเลือกไปนั้นมีจำนวนสิบคน และนักข่าวชายอีกห้าคน ส่วนที่เหลือให้เอามือกุมท้ายทอยตัวเองไว้ แล้วก็นั่งลงจนกว่ากลุ่มคนที่ถูกเลือกจะออกจากห้องไปจนหมด โดยมีชายฉกรรจ์ห้าคนยืนคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง

กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสิบนาที กลุ่มชายฉกรรจ์ห้าคนก็สั่งให้ทุกคนเอามือลงแล้วก็นอนหมอบลงกับพื้น เขาบอกว่าถ้าใครลุกขึ้นมาก่อนจะถูกยิงทันที ทุกคนจะมีสิทธิ์ลุกขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วเท่านั้น

พอสั่งเสร็จชายฉกรรจ์ก็ทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง ทำให้ฐานิกาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอเผลอเงยหน้าไปสบตากับชายชุดดำคนสุดท้ายที่กำลังจะเดินออกจากห้อง ไปพอดี

“เดี๋ยว!..คุณลุกขึ้นสิ”

ชายผู้นั้นสั่งฐานิกาเสียงดัง ทำให้ฐานิกาไม่กล้าขัดขืนค่อย ๆ คลานเข่าลุกขึ้นช้า ๆ สีหน้าซีดเผือด

“คุณเป็นภรรยาทูตด้วยหรือเปล่า” เขาถามด้วยน้ำเสียงดุดัน

“ปละ..เปล่าค่ะ..”

ฐานิกา เสียงสั่น ทำไมจะต้องตอบเป็นครั้งที่สองด้วย เธอจำได้ว่าตอบไปครั้งหนึ่งแล้วนี่นา

“คุณมาจากประเทศอะไร เป็นนักข่าวหรือเปล่า”

“ฉันเป็นคนไทยค่ะ..มาจากไทยแลนด์”

“ไทยแลนด์งั้นหรือ”

ชายชุดดำทำท่าครุ่นคิด ฐานิกา แทบจะหัวใจวายตายระหว่างที่ฟังคำตัดสินของชายชุดดำ

“ไปกับเรา!”

“อะ..อะไร..นะคะ..ทะ..ทำไมฉันต้องไปด้วย ฉันไม่ได้เป็นนักข่าวไม่ได้เป็นภรรยาทูตฉันยังโสดค่ะ”

“บอกให้ไปก็ไปซี้..อยากตายรึไง”

ฐานิกา ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว นอกจากเดินตามชายฉกรรจ์ทั้งห้าออกไปจากห้องท่ามกลางความเงียบสงัดที่น่าหวาดหวั่น พอก้าวออกจากห้องไปได้ เสียงปืนก็ดังขึ้นติด ๆ กันพร้อมกับเสียงกรีดร้องระงมผสมกับเสียงร่วงกราวของหลอดไฟที่หล่นลงจากเพดานห้อง ทำให้ผู้คนที่นอนหมอบอยู่ต้องตะเกียกตะกายหนีวัสดุที่ตกหล่นด้วยความตกใจกลัว

ในขณะที่ฐานิกา ถูกนำตัวขึ้นไปยังดาดฟ้าของโรงแรม ที่บัดนี้มีเครื่องบินจอดรออยู่ เธอถูกจี้บังคับให้ขึ้นเครื่องบินไปรวมอยู่กับคนอื่น ๆ ที่ถูกจับมาก่อนแล้ว ทุกคนต่างก็นั่งหน้าซีดแววตาตื่นตระหนกไม่เข้าใจว่าถูกจับเพราะอะไร

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel