16. กลุ่มกอบกู้บัลลังก์
ภายในห้องโถงที่จัดตกแต่งในสไตล์พื้นเมืองของบูซาน ที่เก้าอี้นวมใหญ่หัวโต๊ะ ถูกจัดเป็นแบบรูปตัวยูให้เป็นที่นั่งของชายสูงวัย แต่หน้าตาคมเข้มผิวขาวไว้หนวด แววตาของเขาดูดุดันมีอำนาจจนทุกคนที่นั่งล้อมวงอยู่ในห้องประชุมให้ความเกรงใจ
“อะไรกัน ป่านนี้สโรชินี ยังไม่ได้เข้าเฝ้าเจ้าชายอาบิเชค อีกรึ..มันเกิดอะไรขึ้น”
นายพลเซกาอูน กวาดตามองไปทีละคนเพื่อให้ได้คำตอบ
“สายของเรารายงานว่าตอนนี้เจ้าชายเชค กำลังติดพันหลงใหลสตรีชาวไทยผู้หนึ่งอยู่ จึงไม่สนใจที่จะเรียกสโรชินีเข้าเฝ้าในเวลานี้ แม้แต่สาวงามที่การันต์ เสนอชื่อไปก็ไม่เรียกหาแม้แต่คนเดียวครับ”
ผู้พันยังตี้ เป็นคนตอบคำถามนี้
“ผู้หญิงไทยคนนั้นเป็นใครกัน สวยกว่าชินี่ ลูกสาวของเรากระนั้นหรือ ถึงได้ทำให้เจ้าชายไม่คิดสนใจไยดี”
นายพลเซกาอูน ถามเพื่อจะได้ข้อมูล
“เท่าที่สายของเราส่งภาพมาทางมือถือนับว่าสวยจัดคนหนึ่งทีเดียวครับ” ผู้พันยังตี้ตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมาย ให้ชินี่ได้เข้าเฝ้าพระราชานูรีแทน” นายพลบอก
“เห็นจะยากครับท่าน เพราะเราเคยเสนอไปที่กษัตริย์
นูรี ครั้งหนึ่ง แล้วก็เงียบหายไป เราถึงได้เปลี่ยนไปเสนอที่เจ้าชายเชค ยังไงล่ะครับ เหตุที่พระราชานูรี เริ่มปฏิเสธสาวงาม
หลายรายนั้น สายรายงานว่าเกิดจากช่วงนี้พระวรกายไม่พร้อม อาจจะมีปัญหาสุขภาพน่ะครับนับตั้งแต่เมื่อครั้งที่เกิดไวรัสโควิด19 ครั้งก่อน”
ผู้พันยังตี้เล่าต่อ
“ก็น่าอยู่หรอก พระองค์รู้สึกจะหักโหมเรื่องอิสตรีเหลือเกินนี่ พอช่วงที่เกิดโควิดระบาด พระองค์ก็ติดเชื้อโควิดด้วย พอรักษาหาย ร่างกายก็ไม่เหมือนเดิมเพราะอายุก็มากขึ้นแล้วด้วย จะให้เตะปี๊บเหมือนตอนหนุ่ม ๆ ก็คงจะไม่ไหว”
อีกคนพูดขึ้นมีเสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกัน
“เจ้าชายเชค ก็เป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจากพระบิดาหรอก อีกหน่อยก็คงจะร่างกายทรุดโทรมไม่แพ้กัน เผลอ ๆ ไม่ทันได้ขึ้นครองราชย์ ซะก็ได้” อีกคนรีบพูดเสริมขึ้น
“แต่ก็แปลกนะที่เจ้าชายเชค ไม่มีรับสั่งให้เรียก สโรชินีเข้าเฝ้าเสียที ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยเว้นช่วงนานถึงเพียงนี้”
“ก็คงอย่างที่ผมได้เรียนนั่นแหละ พระองค์กำลังไปหลงเสน่ห์สาวต่างชาติอยู่” ผู้พันยังตี้บอกแก่ทุกคน
“แบบนี้แผนการส่งสโรชินี เข้าวังเพื่อเป็นสายให้เรา เห็นทีจะขยายเวลาออกไป คงจะต้องหันไปใช้แผนของท่านโทคาแล้วกระมัง”
นายพลเซกาอูน บอกกับทุกคนในที่ประชุม
“กลุ่มบารากัส ก็พร้อมสนับสนุนแผนของท่านโทคาอยู่แล้วนี่ครับนายพล” ผู้พันยังตี้พูด
“ถ้าเช่นนั้นคืนนี้ เราจะไปรายงานให้ท่านโทคาทราบเพื่อจะได้วางแผนกับกลุ่มบารากัส”
“แล้วเราจะไว้ใจกลุ่มบารากัสได้แค่ไหนครับท่านนายพล ขนาดพระราชานูรี พวกนั้นก็ยังกล้าทรยศได้เลย”
ใครคนหนึ่งในที่ประชุมถาม
“พวกบารากัส ใช่ว่าจะเลวร้ายนักหรอก พวกเขาเป็นพวกที่มีอุดมการณ์ มีศักดิ์ศรี หากมีสัจจะกับพวกเขา เชื่อว่าเราก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ แต่ที่พวกบารากัส คิดทรยศก็เพราะพระราชานูรีไม่ทำตามสัญญาที่จะให้พวกเขาแบ่งแยกดินแดนซาร์มองเป็นอิสระต่างหากล่ะ”
คำพูดของนายพลเซกาอูน ทำให้ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
กลุ่มบารากัส ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มต่อต้านหัวรุนแรงที่ต่อสู้เพื่อที่จะขอแบ่งแยกเมืองซาร์มอง ทางตอนเหนือของประเทศบูซาน ให้เป็นรัฐอิสระมานานหลายสิบปีแล้ว
โดยพวกเขาให้เหตุผลถึงการเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่มีเลือดของชาวบูซานอย่างเข้มข้น และการต่อสู้เรียกร้องขอแบ่งแยกดินแดนก็มีมาตลอดนับตั้งแต่เมื่อครั้งที่กษัตริย์ อนาราฟ ทรงรับเอาหญิงสามัญชนจากเผ่าชนพื้นเมืองเชื้อสายอินเนปา เป็นมเหสีฝ่ายซ้าย ให้มีความสำคัญเทียบเท่ากับพระราชินีญังเจ็น ชิกเม นัมยีกัล ซาลากาน ซึ่งเป็นพระมเหสีเชื้อพระวงศ์ชาวบูซาน แท้ ๆ ทำให้กลุ่มต่อต้านขอประกาศปกครองตัวเองโดยไม่ขออยู่ภายใต้ระบบกษัตริย์อีกต่อไป
ถึงแม้ว่ากลุ่มบารากัส จะไม่สามารถกระทำให้ความสำเร็จในการแบ่งแยกดินแดนได้ แต่การก่อความไม่สงบอยู่บ่อยครั้ง จนครั้งที่รุนแรงคือการส่งกองโจรเข้าไปยิงถล่มเมือง ซาร็อง เมืองหลวงของบูซานในขณะนั้น ก็ทำให้ทหารและพลเรือนล้มตายไปหลายพันคน แม้กลุ่มบารากัส จะไม่ได้รับชัยชนะ แต่ก็สร้างความหวาดหวั่นให้กับรัฐบาลและราชวงศ์ไม่น้อย
ในระหว่างที่มีความขัดแย้งภายในประเทศเกิดขึ้นนั้น กษัตริย์อนาราฟ ก็สวรรคต และเจ้าชายซัมปง ชิกเม นัมยีกัล ซาลากาน ซึ่งเป็นพระราชโอรสในกษัตริย์อนาราฟ ที่ประสูติแก่ มเหสีญังเจ็น ก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ในราชวงศ์ซาลากาน สืบต่อจากพระราชบิดา
พร้อมกันนั้น พระราชาซัมปง ก็ได้แต่งตั้งเจ้าชายซัป ชิกเม นัมยีกัล ซาลากาน พระราชโอรสขึ้นเป็นรัชทายาทลำดับหนึ่งทันที ทำให้เจ้าชายนูรี(ปัจจุบันคือพระราชานูรี บาฮะดูร์) พระราชโอรสในกษัตริย์อนาราฟ ที่ประสูตแก่มเหสีมีราเบน ซึ่งเป็นมเหสีฝ่ายซ้าย ผู้มีเชื้อสายอินเนปา ขอเจรจาลับกับหัวหน้ากลุ่มบารากัส
โดยเจ้าชายนูรี ได้ส่งคนสนิทไปยื่นข้อเสนอที่จะยอมให้กลุ่มบารากัส แบ่งแยกเมืองซาร์มองออกไปเป็นอิสระ ไม่ต้องปกครองภายใต้ระบบกษัตริย์ แต่มีเงื่อนไขว่า กลุ่มบารากัสจะต้องช่วยกำจัดพระราชาซัมปง และองค์รัชทายาทคือ เจ้าชายซัป ให้ได้เสียก่อน
กลุ่มบารากัส ยอมรับในข้อเสนอทันที และได้ใช้วิธีลักพาตัวพระราชาซัมปง พร้อมด้วยพระราชินีทิมพู และเจ้าชายซัป ในช่วงที่ทั้งสามพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปในงานหนึ่งโดยรถยนต์พระที่นั่งคันเดียวกัน
กลุ่มบารากัส ส่งข่าวว่าได้สังหารทั้งสามพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว โดยส่งภาพวีดีโอให้มเหสีมีราเบน และเจ้าชายนูรี ได้ทอดพระเนตรด้วย ซึ่งข่าวการสวรรคตของพระราชาซัมปง พร้อมด้วยพระราชินี
และข่าวการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายซัป สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วประเทศบูซาน ยังความเศร้าโศกเสียใจให้กับประชาชนจำนวนมาก มีการก่อตั้งกลุ่มต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อเรียกร้องให้ติดตามทั้งสามพระองค์ให้พบ หากพวกเขาไม่ได้เห็นพระศพของทั้งสามพระองค์ก็ยังถือว่าพระราชาซัมปง ยังคงเป็นกษัตริย์ของพวกเขาอยู่ ซึ่งตอนแรกข้อเสนอนั้นก็ดูเหมือนจะได้รับการตอบสนอง ทำให้กระแสเรียกร้องแผ่วลงไปกระทั่งเงียบหายไปในที่สุด
แต่เพียงไม่นานนัก ก็มีการประกาศขึ้นครองราชย์ของเจ้าชายนูรี เป็นกษัตริย์นูรี บาฮะดูร์ พร้อมกับสถาปนาราชวงศ์ใหม่เป็นราชวงศ์บาฮะดูร์ ไม่ใช่ ราชวงศ์ซาลากาน เหมือนที่ผ่านมา อีกทั้งยังได้เปลี่ยนชื่อประเทศจากบูซาน เป็นสินาการ์เดีย อีกด้วย และที่ทำให้หลายคนแปลกใจก็คือ กลุ่มก่อการร้ายบารากัส ไม่ได้ออกมาต่อต้านรัฐบาลของพระราชานูรี แม้แต่น้อย จะมีกลุ่มที่ต่อต้านก็เป็นกลุ่มอื่น ๆ แทน
ทว่า..เบื้องหลังที่ทำให้กลุ่มบารากัส ยอมเงียบสงบนั้น ก็เพราะได้รับผลประโยชน์จากกษัตริย์นูรี บาฮะดูร์ ที่ยอมให้กลุ่มบารากัส มีสิทธิ์ร่วมกันในธุรกิจอัญมณีหินสีในเมืองซาร์มอง แต่เวลาต่อมากลุ่มบารากัสก็เริ่มถูกกีดกันให้ออกจากธุรกิจไปทีละเล็กทีละน้อยด้วยการออกกฏหมาย
และคำสัญญาที่กษัตริย์นูรี ทรงได้ให้ไว้ว่าจะยอมให้กลุ่มบารากัส แบ่งแยกดินแดนเมืองซาร์มอง เป็นอิสระไม่อยู่ภายใต้การปกครองของระบบกษัตริย์นั้น ก็มีเค้าลางที่จะไม่เป็นจริง เพราะกษัตริย์นูรีได้กุมพระราชอำนาจทางการเมืองการปกครองเอาไว้อย่างเบ็ดเสร็จแล้วนั่นเอง
กลุ่มบารากัส จึงวางแผนที่จะตอบโต้กษัตริย์นูรี อย่างเงียบ ๆ ด้วยการซ่องสุมกำลังพล ฝึกการซ้อมรบอย่างเข้มแข็งมาเป็นเวลาเกือบสามปี ซึ่งเรื่องนี้กษัตริย์นูรี ก็คงจะคาดไม่ถึง แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือ หากพระองค์ได้ทราบความจริงว่าแท้จริงแล้วพระราชาซัมปง พร้อมด้วยพระมเหสี และเจ้าชายซัป ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เพื่อรอคอยที่จะทวงราชบัลลังก์คืน โดยมีกลุ่มบุคคลที่จงรักภักดีต่อพระราชาซัมปง และราชวงศ์ซาลากาน คอยเป็นหน่วยสนับสนุนอยู่อย่างลับ ๆ
