บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

และที่สำคัญ ตรงนั้นกลับมีสเต๊กซึ่งสุกได้ที่ของเขาวางอยู่ด้วย หรือว่าเจสันจะชนหัวขโมยเข้าให้ ทีปต์ก้มลงไปหยิบสเต๊กที่ยังคงอุ่นๆ มาถือไว้ ถ้าใช่อย่างที่เขาคิด ป่านนี้หัวขโมยนั่นคงหนีหายไปแล้วเป็นแน่

“นายเจออะไรไหมทีปต์”

“ไม่เจอ”

“ฉันก็ไม่เจอ หรือฉันจะตาฝาดไปก็ไม่รู้” เจสันยังลังเล แต่เขามั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาดแน่นอน ยังรับรู้ถึงความรู้สึกที่ขับรถชนคนที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้ดี แต่ในเมื่อไม่เจอใครแบบนี้ เขาก็คงทำอะไรไม่ได้

“นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

“ขอบใจนายมากทีปต์ เดี๋ยวฉันคงเรียกประกันให้มาจัดการต่อ”

“อื้อ…ถ้าไม่มีอะไร ฉันขอตัวกลับเข้าบ้านก่อนแล้วกัน”

“โอเค” เจสันพยักหน้าให้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.หาบริษัทประกัน ส่วนทีปต์เองก็กลับเข้าบ้าน โดยไม่หยิบสเต๊กชิ้นนั้นมาด้วย ไหนๆ มันก็ถูกขโมยไปแล้ว เขาก็ยกให้แล้วกัน

ในขณะที่กำลังเดินกลับบ้าน เท้าของทีปต์กลับเหยียบถูกอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มยกเท้าออกแล้วก้มลงไปหยิบสร้อยหินพร้อมจี้สีดำสนิทที่ด้านในมีรูปพระจันทร์ขึ้นมาถือไว้

“ของใคร?” เขาพึมพำออกมา หันซ้ายหันขวามองหาคนที่อาจเป็นเจ้าของสร้อยหินเส้นนี้ แต่เมื่อไม่พบก็หยิบมันติดตัวเข้าบ้านด้วย แล้ววางไว้ในลิ้นชัก

เพราะยังคงหิว ทำให้ชายหนุ่มกลับมายืนย่างสเต๊กอีกชิ้น ซึ่งชิ้นนี้เขาเฝ้าจับตามองมันเป็นพิเศษ กระทั่งในที่สุดสเต๊กก็สุก จัดจานแบบง่ายๆ ก่อนจะหั่นเนื้อสเต๊กและส่งเข้าปากอย่างไม่ลังเล

“อ่าห์…แบบนี้สิ เขาถึงเรียกว่าความสุข” ทีปต์เอ่ยกับตัวเอง เพราะตรงหน้าคือความสุขที่มีอยู่จริง ไม่ใช่ความสุขจอมปลอมที่สร้างขึ้น เพื่อปั่นหัวและทำลายล้างกลุ่มคนที่มีความเห็นหรือสายเลือดที่แตกต่าง หรือตอนนี้อาจเรียกว่านั่นคือลัทธินอกรีตก็คงไม่ผิด ลัทธิที่เฝ้าไล่ล่าและทำลายล้างบางอย่างมานานหลายสิบปี แม้จะไม่เคยทำสำเร็จ แต่ก็เฝ้ากรอกหูให้ผู้มีอุดมการณ์เดียวกันให้ยังคงเชื่อมั่นอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าพวกตนทำถูก

เสียงฝีเท้าที่ตรงมายังบ้านร้าง ทำให้ลูน่าตื่นตัว ก่อนจะคว้าลูกสาวคนเล็กเข้ามากอด นั่นเพราะรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติ

กระทั่งประตูถูกผลักออกสุดแรง และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเอซ ผู้เป็นสามี

“พวกมันมาทางนี้แล้ว เราต้องรีบไป” น้ำเสียงที่แฝงด้วยความหอบเหนื่อยเอ่ยบอก พร้อมกับคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายเตรียมพร้อม

“แต่โรสยังไม่กลับ”

“โรสไปไหน” เสียงห้วนเอ่ยถาม นั่นเพราะเขาสั่งให้ทุกคนรออยู่ที่นี่ แต่ทำไมโรสถึงขัดคำสั่งแบบนี้

“พี่โรสออกไปหาอะไรให้ลูกกินค่ะ” ฮันน่าเอ่ยขึ้น เวลานี้ใจดวงน้อยรู้สึกห่วงพี่สาวมาก มากเสียจนเกือบจะร้องไห้

“ฉันขอออกไปตามโรสก่อนนะพี่” ลูน่าอาสา นั่นเพราะเธอจะไม่ไปไหน หากโรสยังไม่กลับมา

“แต่เราไม่มีเวลาแล้วลูน่า”

“พวกมันอยู่ตรงนี้ ตามข้ามา เร็วเข้า” เสียงตะโกนที่ได้ยิน ทำให้ทั้งสามต่างมองหน้ากันและกัน เวลานี้พวกเขาต้องหนีก่อน เพราะหากถูกจับได้ คงได้จบชีวิตลงตรงนี้เป็นแน่

“เราต้องไปแล้ว ไปเร็ว” เอซคว้าข้อมือของลูน่าและฮันน่าให้ออกวิ่งไปทางหลังบ้าน แต่การหนีในเวลานี้ช่างลำบากนัก เพราะมีหิมะเป็นอุปสรรค ประจวบกับถูกไล่ต้อนกระชั้นชิดเข้ามาทุกขณะ เอซจึงกลายร่างเป็นหมาป่าสีน้ำตาลตัวใหญ่ ส่วนลูน่าตอนนี้ก็กลายร่างเป็นหมาป่าสีขาวด้วยเช่นเดียวกัน

จะเหลือก็เพียงฮันน่าที่ยังเล็กและยังไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของตัวเองนั้นเป็นอะไร ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากโรสนัก นั่นเพราะโรสเองก็ถูกสะกดการกลายร่างด้วยสร้อยหินที่ดีแลนให้ไว้ มันคือเครื่องรางลงอาคมที่แขวนติดคอทุกคนในครอบครัวเขาเสมอ โดยเอซตั้งใจจะค่อยๆ บอกความจริงให้โรสได้ตั้งรับและปรับตัวกับความจริง

เพราะเมื่อจิตใจพร้อม การกลายร่างเป็นหมาป่าหรือจากหมาป่ากลับมาเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทุกอย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เอซรอเวลาให้ถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในวัยยี่สิบปีของโรส นั่นก็คือคืนนี้ แล้วจะบอกความจริงทุกอย่างให้รับรู้ แต่เหตุการณ์ที่กำลังเผชิญ ทำให้เอซต้องเลื่อนเวลาออกไปอีกหน่อย

“แม่ พ่อ ลูกกลัว” ฮันน่ายืนมองพ่อและแม่ด้วยท่าทางตกใจกับภาพที่เห็น จากนั้นก็หมดสติไป

นั่นทำให้ลูน่าจำต้องกลายร่างกลับมาเป็นคนเพื่ออุ้มเธอไว้แนบอก รู้สึกสงสารลูกสาวคนนี้จับใจ แต่ความจริงก็คือความจริง ฮันน่าคือหมาป่าตัวน้อยที่ยังต้องอาศัยเวลาเรียนรู้และเติบโตเช่นเดียวกับโรส

“อุ้มลูกไว้แล้วขึ้นขี่หลังพี่ เร็วเข้า” เอซเอ่ยบอก ลูน่าก็ทำตามอย่างไม่ลังเล จากนั้นหมาป่าตัวใหญ่ก็วิ่งด้วยความเร็วมุ่งหน้าเข้าป่าทันที

“พวกมันหนีไปทางนั้น ตามไป”

“ไม่ต้อง” เสียงห้วนมีพลังเอ่ยห้าม นั่นทำให้ผู้ติดตามรีบถามถึงเหตุผลทันที

“ทำไมล่ะท่าน ในเมื่อเราจะได้ตัวพวกมันมาอยู่แล้ว”

“ขืนเข้าป่าเวลานี้ พวกเจ้ามีแต่จะตายกับตายน่ะสิ ป่าในยามกลางคืน คือที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับเรา” แววตาของไรเกอร์ ผู้นำคนสำคัญของลัทธินอกรีตเอ่ยขึ้น นั่นเพราะเวลานี้ใกล้จะค่ำเต็มทีแล้ว ขืนเข้าป่ามีหวังได้กลายเป็นศพแน่

“แล้วเราจะปล่อยมันไปอย่างนี้น่ะเหรอ”

“ใครบอก รอพรุ่งนี้ เราค่อยตามมันไป”

“ตามยังไงท่าน ขืนรอหิมะก็กลบรอยเท้าพวกมันหมด” ชายคนเดิมยังคงแย้ง นั่นเพราะยังไม่อยากกลับมือเปล่า อีกนิดเดียวก็จะได้ปลิดชีพมนุษย์หมาป่าแล้วแท้ๆ

“หมาหนีเข้าป่า เราก็แค่ใช้หมาอีกฝูงตามล่าก็สิ้นเรื่อง ไป...กลับ” ไรเกอร์เอ่ยคำเดียว อีกสิบชีวิตก็พากันกลับอย่างไม่คิดแย้ง ผิดกับอัลบาสที่ไม่พอใจมาก แต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมาตอนนี้ ได้แต่หวังว่าสักวันตนจะได้รับหน้าที่ผู้นำในการล่า เพื่อออกคำสั่งเช่นนี้บ้าง

คำสั่งที่เปรียบเหมือนคำสั่งของผู้เป็นเจ้า ที่มอบหน้าที่ให้พวกตนกำจัดมนุษย์หมาป่าที่แสนจะน่ารังเกียจให้หมดไปจากโลกใบนี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel