ตอนที่หนึ่ง นางมาแล้ว (กรุบกริบ)
ตอนที่หนึ่ง
นางมาแล้ว
“นางมาแล้ว” เสียงตะโกนอย่างดีใจที่ดังออกมาพาให้ดวงตาเรียวยาวคล้ายกลีบดอกท้อสอดส่ายมองหาที่มา
‘หวังมี่อิง’ หลานสาวสกุลหวังมองเห็นฝูงชนซึ่งมายืนออรอรับราวคนสำคัญจึงรู้สึกประหม่าจนกระทั่งเห็นร่างคุ้นตาของน้าสาวเดินตรงมาหา
“อิงอิง มาแล้วหรือ เหนื่อยหรือไม่” ‘หวังมี่จวง’ ผู้เป็นทั้งน้าสาวของหวังมี่อิงและฮูหยินของมู่หนิงเฉิงช่วยพยุงร่างบอบบางให้ออกจากเกี้ยวมายืนบนพื้น
“เหนื่อยนิดหน่อยเจ้าคะ” เสียงตอบอย่างอ่อนน้อมพร้อมกิริยานุ่มนวลอ่อนหวานช่วยส่งเสริมให้หญิงสาวแลดูน่าทะนุถนอมยิ่งขึ้น
แต่ชาวเมืองมิได้ต้องการสตรีผู้งดงามอ่อนช้อย พวกเขาต้องการแม่พันธุ์ชั้นดีเพื่อมาคลอดบุตรหลานหลายคนต่างหาก
สายตาเกือบทุกคู่ต่างจับจ้องฟันขาวแวววาวยามเอ่ยวาจาด้วยรอยยิ้มน้อยๆซึ่งประดับอยู่บนริมฝีปากแดง
เมื่อมองเลยไปพบแก้มอิ่มเอิบเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลกับดวงตาเป็นประกายมีแววสุกใสรับกับเส้นผมดำขลับเป็นเงางาม
“พวกเจ้าดูสิ ดวงหน้าได้รูป คิ้วปากจมูกรับกันทั้งเต็มไปด้วยเลือดฝาดแดงระเรื่อช่างเปล่งปลั่งสดใสเป็นลักษณะมงคลของหญิงที่จะนำพาความเจริญรุ่งเรือง”
เมื่อได้ยินคำชื่นชม หวังมี่จวงจึงถือโอกาสลูบไล้แขนเรียวของหลานสาวเพื่อสัมผัสความนุ่มเนียนละมุนพลางคิดในใจ
อืม...แม้เรือนร่างจะแลผอมบางไปสักหน่อยแต่ช่างอวบอัดไปด้วยส่วนสัดทองคำ สะโพกผายบั้นท้ายใหญ่น่าจะคลอดลูกได้โดยง่าย
ส่วนทรวงอก เอ่อ..เท่าที่คะเนด้วยตาน่าจะใหญ่โต ไม่น้อยคงมีน้ำนมให้เด็กได้กินจนอิ่มท้อง
ลักษณะเช่นนี้นับเป็นมงคลแก่สามีและต้องเป็นแม่ที่ดีของลูกหลานแน่
ขณะคิดอย่างมีความสุขกลับมีเสียงขัดขึ้นมา
“นางตัวเล็กนิดเดียว เท่าที่มองดูข้อมือและนิ้วทั้งห้าช่างเรียวเล็กจนกำได้รอบเพียงนั้น ทั้งเนื้อตัวหรือก็บางจนแทบจะปลิวไปตามลม จะเป็นสตรีที่เหมาะสมแก่การตั้งครรภ์ได้อย่างไร”
หวังมี่อิงถูกจับจ้องจนอดตื่นตระหนกไม่ได้ แต่ผู้คนยังไม่ทันได้โต้เถียงหรือปลอบโยนใดทั้งสิ้น เมื่อจู่ๆหญิงสาวก็รู้สึกราวมีลมหอบหนึ่งพาร่างอรชรให้ปลิวตามไปพร้อมเสียงประกาศก้องซึ่งดังจนแก้วหูสะเทือน
“ในเมื่อต้องทดสอบ เช่นนั้นข้าขอเสนอตัวเป็นหนูลองยาเสี่ยงชีวิตเป็นคนแรกก็แล้วกัน”
หวังมี่อิงได้ยินเพียงเสียงอื้ออึงซึ่งลอยมาตามสายลม กว่าจะรู้ตัวก็ถูกอุ้มพามาจนถึงเรือนหลังหนึ่งแล้ว
นี่มันเรื่องอะไรกัน โอ๊ย!...ช้าหน่อยไม่ได้หรือ
หญิงสาวหัวหมุนเมื่อถูกปล่อยให้ยืนบนพื้น ร่างเล็กเซหัวแทบปักทิ่มด้วยความมึนงงจนมือใหญ่ต้องเอื้อมมาจับไว้
“ขอโทษที่ต้องพามาด้วยวิธีนี้ ชืนชักช้าคงโดนเจ้าพวกนั้นมัวแต่หารือกันวุ่นวายจนเสียเวลา”
หวังมี่อิงเงยหน้ามองชายผู้มีใบหน้าคมเข้มเรือนกายสูงใหญ่ด้วยสายตาฉงนสงสัย
“ข้ามีนามว่า ‘เหมิงจิ่นลี่’ เป็นเจ้าเมืองถูเฉียน”
อ้อ...เจ้าเมืองคนหนึ่งนั่นเอง มิน่าจึงกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้
อืม...คิดว่าเจ้าเมืองจะอายุมาก เท่าที่คาดคะเนไม่น่าจะถึง30 ที่สำคัญกล้ามเป็นมัดแน่นปึกเชียว หน้าตาก็หล่อเหลาไม่เบา
เมื่อครู่ตอนอยู่ในอ้อมแขน หวังมี่อิงย่อมสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของมัดกล้ามเนื้อที่โอบอุ้ม
“เจ้าชื่อ ‘หวังมี่อิง’ สินะ เอาล่ะ พวกเราคงต้องเร่งทำเวลา หาไม่เจ้าพวกนั้นตามมาทันจะวุ่นวายมากเรื่อง” เสียงทุ้มยังคงบอกกล่าวในขณะที่หญิงสาวยังไม่หายสงสัย
ทำเวลา?
จะไม่ให้นางได้พักหรือตั้งตัวสักหน่อยหรือ
ว่าแต่...พวกเขาบอกว่าจะให้โอกาสนางได้ทำความรู้จักหรือเลือกเจ้าเมืองสักคนมิใช่หรือ จากนั้นค่อยจัดพิธีแต่งงานตามธรรมเนียม
หรือว่าเจ้าเมืองผู้นี้คิดจะจับนางแต่งงานโดยมัดมือชก
หวังมี่อิงรับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าการมาในครั้งนี้เพื่อเรื่องใดจึงไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก เพียงคิดหาทางถ่วงเวลาไม่ให้ถูกมัดมือชกง่ายๆเท่านั้น
แต่นางยังไม่ทันได้อ้าปากก็ถูกอุ้มไปยังห้องนอนเสียแล้ว ด้วยต้องเดินทางไกลหญิงสาวจึงสวมเสื้อผ้าอันเรียบร้อยไม่รุ่มร่าม เมื่อโดนมือหนากระชากไม่กี่คราจึงเหลือเพียงผ้าบังทรวงกับผ้าผืนน้อยสองชิ้นบนล่าง
