3 ชีวิตที่ไร้ทางเลือก
ตอนที่ 3
ชีวิตที่ไร้ทางเลือก
หญิงสาวหน้าตาสะสวยแต่ดูไม่สดใส ใต้ตาดำคล้ำเพราะอดหลับอดนอนมานานหลายวันติดต่อกัน เธอเป็นคนรูปร่างดี ส่วนแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ก็เรียกสายตาหนุ่มๆทั้งโรงพยาบาลได้ไม่ยาก ขวัญสุดาเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสวยเหมือนกับแม่ของเธอที่มีดีกรีเป็นถึงนางนพมาศ
“มาเฝ้าแม่อีกแล้วเหรอจ๊ะน้องขวัญ”
หญิงสาวพยักหน้ายิ้มบางๆ เธอไม่ค่อยอยากสนทนากับฝ่ายตรงข้ามสักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจหรือดูแคลนพวกเขา เพียงแต่ว่าคำพูดและสายตาของพวกเขาทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยชอบใจ คล้ายกับกำลังถูกคุกคาม
“ถ้าไม่รีบนั่งคุยกับพวกพี่ก่อนไหม”
ตรงนี้เป็นมุมอับของโรงพยาบาล ไม่ค่อยมีคนผ่านมาทางนี้ เนื่องจากเป็นโซนควบคุมเครื่องต่างๆ หญิงสาวมีความจำเป็นต้องเดินผ่าน เนื่องจากอีกทางที่ใช้สัญจรปิดปรับปรุงช่วงกลางคืน
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
หญิงสาวไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งคุยเล่นกับใคร เพราะแม่กำลังนอนรออยู่ที่หอผู้ป่วย เธอต้องรีบเอาอาหารไปให้แม่ก่อนที่ประตูจะปิดในอีก 5 นาที
“หยิ่งว่ะ”
“ก็รู้ว่าน้องเขารีบ ถ้าเขาหยิ่งคงไม่หยุดคุยกับพวกเราหรอก”
ชายหนุ่มอีกคนแก้ต่าง เขายอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบหญิงสาว แต่เขาไม่เคยพูดจาคุกคามเธอเหมือนคนอื่นๆ ได้แต่แอบชอบเงียบๆอย่างเจียมตัว ขวัญสุดาสวยขนาดนั้น คงไม่ลดตัวลงมาคบกับผู้ชายหน้าตาธรรมดาอย่างเขา
หญิงสาวมาถึงหอผู้ป่วยใน ก่อนเวลาประตูปิดเพียงนาทีเดียวเท่านั้น เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่มาได้ทันไม่อย่างนั้นคืนนี้อาจจะไม่ได้นอนเฝ้าแม่
“แม่ ขวัญมาแล้ว”
หญิงสาวฝืนยิ้ม มองดูหน้าจอที่ยังมีสัญญาณของชีพจรเคลื่อนไหวอยู่ ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ได้ตื่นมาคุยกับเธอนานนับเดือนแล้ว แต่อย่างน้อยๆเธอก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของแม่ หญิงสาวมีกำลังใจที่จะทำงานหาเงินเพื่อมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่เป็นเศษส่วนเกินจากสิทธิขั้นพื้นฐาน เธอไม่อายที่ต้องไปทำงานสารพัดอย่างเพื่อหาเงิน ในขณะที่เพื่อนวัยเดียวกันกำลังเรียนหนังสือมีอนาคตที่สดใส
มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าเจ็บปวดสำหรับผู้หญิงอายุ 20 ปีที่ยังอยู่ในวัยเรียนแต่ต้องแบกรับปัญหาต่างๆเอาไว้ ตอนแรกขวัญสุดาก็ยังตั้งหลักไม่ได้ เธอร้องไห้ทุกวัน ทั้งกลัวและกังวลว่าจะไม่มีแม่ ชีวิตของเธอมีกันสองคนแม่ลูกเท่านั้น ญาติพี่น้องก็ไม่เคยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพราะทุกคนต่างก็มีภาระ
หญิงสาวไม่เคยบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากญาติ เพราะเธอรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถช่วยได้ จึงพยายามหาทางดิ้นรนด้วยตัวเอง
ขวัญสุดาตัดสินใจคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา ขอ พักเรียนเอาไว้ก่อนระหว่างนี้เธอจะจ่ายค่ารักษาสถานะนักศึกษาทุกเทอมจนกว่าจะกลับมาเรียนอีกครั้ง
ซึ่งครูที่ปรึกษาก็ใจดี นอกจากจะช่วยเหลือเธอแล้ว ยังคอยทักมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเสมอ
ทุกวันนี้ขวัญสุดาจะออกไปทำงานตั้งแต่เช้าและกลับมาอีกทีช่วงเย็น โดยงานหลักๆที่เธอทำอยู่ในตอนนี้ คือล้างจานให้กับร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า หลังจากนั้นเธอก็ไปเสิร์ฟอาหารที่ร้านอาหารใกล้โรงพยาบาลต่อเพื่อที่จะได้มีรายได้ 2 ทาง
แม้จะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดแต่เธอก็ไม่ย่อท้อ ความฝันของหญิงสาวคือการเก็บเงินพาแม่ไปรักษาโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้
เธอมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกหดหู่ มันแย่มากกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ คนจนแทบไม่มีสิทธิ์มีเสียง ไม่มีทางเลือก มองดูพัดลมเก่าๆที่หมุนช้าๆเธอก็ได้แต่ถอนหายใจ หยิบพัดขึ้นมาพัดคลายร้อนให้ผู้เป็นแม่
“วันนี้หนูไปทำงานมาด้วยนะแม่ มีลูกค้าให้ทิปหนูด้วย วันนี้ได้ทิปเยอะเป็นพิเศษหนูก็เลยเก็บใส่กระเป๋าไว้ ตอนนี้หนูเริ่มเก็บเงินได้นิดหน่อยแล้วนะ อีกไม่นานหนูก็คงจะมีเงินพาแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลดีๆ”
เนื้อที่ฝ่ามือแห้งจนติดกระดูก อาจเพราะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนทำให้แม่ของเธอผอมลงเรื่อยๆ หญิงสาวหนักใจ ได้แต่มองแม่ที่อาการทรุดลงทุกวันด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเพราะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย
“แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะ หนูจะทำงานหาเงินเยอะๆ ไม่ว่างานอะไรหนูก็เอาทั้งนั้น หนูอยากให้แม่ฟื้นขึ้นมาอยู่กับหนูอีกครั้ง”
หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาๆ ในห้องรวมที่มีคนไข้มากกว่าสามสิบชีวิตแออัดอยู่ ทำให้บางครั้งหญิงสาวก็รู้สึกอึดอัดเพราะไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย
ด้วยเหตุผลนี้เธอถึงอยากย้ายแม่ไปอยู่ห้องพิเศษ อย่างน้อยๆได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีอาจทำให้อาการของแม่ดีขึ้น
ขวัญสุดาไม่ได้ย่อท้อต่อโชคชะตา พ่อของเธอหนีไปแต่งงานใหม่และไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย แม่ของเธอเข้มแข็งมาก ในวันที่เจ็บปวดรวดร้าวมากที่สุด ก็ยังคงทำงานหนัก ไม่เคยร้องไห้ฟูมฟายจมกับน้ำตาให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
ในตอนนั้นขวัญสุดาเคยถามแม่ว่าเสียใจไหมที่พ่อจากไป แต่แม่ไม่ตอบ ตอบเพียงแค่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งแรกที่แม่จะนึกถึงก็คือเธอ แม่รู้แค่ว่าต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เธอได้อยู่สุขสบาย ได้เรียนหนังสือสูงๆ ผลักดันเธอให้ได้อยู่ในสังคมที่ดี แม่รักเธอขนาดนี้แล้วจะไม่ให้เธอสู้เพื่อแม่ได้ยังไง
เธอยอมรับว่ารู้สึกท้อใจกับอาการป่วยของแม่ แต่เธอไม่ท้อเลยที่จะทำงานหาเงินเพื่อย้ายแม่ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่า
“ถอยไปๆ”
หญิงสาวสะดุ้งรีบถอยเมื่อพยาบาลดันรถเข็นเข้ามาใกล้ นี่คือสิ่งที่เจอทุกวันจนกลายเป็นเรื่องปกติชินตา
ขวัญสุดาไม่ชอบเลย ที่ได้รับการปฏิบัติไม่เท่าเทียม ถึงแม้ว่าเธอจะจน แต่เธอก็เป็นคน มีชีวิตจิตใจ ถึงจะไม่มีเงินแต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีคุณค่า
เพราะคุณค่าของคนไม่ได้วัดกันที่เงินตรา แม่ของเธอมักจะสอนเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นในโลก ความเป็นจริงมันก็ทำให้ขวัญสุดาเห็น ว่าเงินคือตัวตัดสินชนชั้นอย่างแท้จริง
ใครมีเงินน้อยก็จะถูกถีบไปอยู่ชนชั้นล่าง โดน ดูถูกดูแคลนแต่หากใครมีเงินมากก็จะได้รับ การยอมรับเชิดชู ไว้เหนือหัว ได้รับคำสรรเสริญแม้จะไม่ได้ทำความดีอะไรเลยก็ตาม
หญิงสาวรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ยุติธรรม แต่เพราะเธอไม่มีเงินจึงไม่มีปากไม่มีเสียง พูดอะไรไปก็คงไม่มีใครสนใจ ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมตัวเองไปวันๆ
